Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 192 ไปทำงานกันได้แล้ว
บทที่ 192 ไปทำงานกันได้แล้ว
บทที่ 192 ไปทำงานกันได้แล้ว
เถ้าแก่เนี้ยพูดถึงบทของแต่ละคนออกมาด้วยความยิ้มแย้มยินดี “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าดาราดังจะติดดินถึงขนาดมากินอาหารที่ร้านเล็ก ๆ ของพวกเราแบบนี้”
“เหล่าหลิว นี่ดาราดัง ต่อไปถ้าพวกเขามากินอาหารเช้าที่ร้านของพวกเราไม่ต้องคิดเงินนะ”
เถ้าแก่เจ้าของร้านพยักหน้า “ฉันก็ว่าทำไมหน้าตาดีจัง”
ซูโย่วอี๋ตื่นเช้ามาก็กระหายน้ำ แม้ความอยากอาหารจะมีไม่มาก แต่เธอก็ดื่มน้ำเต้าหู้ไปหนึ่งขวดจนหมดและค่อยเริ่มกินซาลาเปา
แต่ตะเกียบของฮันเจ๋อหยางกลับคีบซาลาเปาในจานของซูโย่วอี๋ไปอย่างรวดเร็ว ซูโย่วอี๋เงยหน้ามองเขาและกระพริบตาปริบ ๆ “รุ่นพี่คะ ถ้าตามมารยาทแล้วฉันก็ต้องกินซาลาเปาของพี่ชิ้นหนึ่งสิ”
“ฉันว่าเธอดูไม่ค่อยอยากกินเลยช่วยกินชิ้นนึง”
ซูโย่วอี๋บุ้ยปาก “ฉันแค่กำลังกินน้ำเต้าหู้ก่อนเองนะ?”
อวิ๋นเหมี่ยวไม่สามารถพูดแทรกอะไรขึ้นมาได้เลย แต่ดันน้ำเต้าหู้ของตัวเองไปด้านหน้า “คุณกินของฉันเถอะค่ะ ฉันยังไม่ได้ดื่มเลย”
ซูโย่วอี๋เลิกคิดที่จะต่อสู้กับฮันเจ๋อหยาง “คุณอวิ๋น ฉันสั่งใหม่อีกแก้วก็ได้ค่ะ”
“พวกเราถ่ายละครกันมาตั้งหนึ่งอาทิตย์แล้ว คุณยังเรียกฉันว่าคุณอวิ๋นอีก มันดูห่างเหินกันเกินไปแล้ว”
“เรียกฉันว่าเหมี่ยวเหมี่ยว หรือจะเรียกชื่อเลยก็ได้”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ตกลง”
ซาลาเปาหนึ่งเข่งมีสิบลูก แน่นอนว่าซูโย่วอี๋กินไม่หมด เธอพยายามกินเข้าไปหกลูกแล้วก็วางตะเกียบลง “เถ้าแก่ร้านนี้นี่จริง ๆ เลย เข่งหนึ่งทำไมเยอะจัง”
“เธอนี่ก็จริง ๆ เลย”
ฮันเจ๋อหยางเหน็บแนมขึ้นและใช้ตะเกียบคีบอีกสี่ชิ้นที่เหลือกินหมดอย่างรวดเร็ว “อย่ากินทิ้งขว้าง เข้าใจไหม?”
อวิ๋นเหมี่ยวก้มลงกินโจ๊กเงียบ ๆ แต่ในใจเต็มไปด้วยความประหลาดใจ โดยปกติแล้วฮันเจ๋อหยางผู้สูงส่งเวลาอยู่กับผู้คนจะเกรงใจและตีตัวห่าง
แต่ทำไมถึงได้ดูสนิทกับซูโย่วอี๋แบบนี้?
ใกล้ชิดจนถึงขั้นเกินเลยคำว่าความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาวทั่ว ๆ ไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่แปลกที่อวิ๋นเหมี่ยวจะคิดเช่นนั้น ซูโย่วอี๋เองก็รู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินกับท่าทีของฮันเจ๋อหยางแบบนี้เลย “รุ่นพี่ นั่นที่ฉันกินเหลือไว้นะคะ”
ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้ว “ทำไงได้ล่ะ ฉันทำจนชินแล้วตอนอยู่ที่บ้านกับน้องสาว จะว่าไปช่วงนี้ไม่ค่อยได้ติดต่อเอินจีเลยแฮะ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของฮันเอินจี ซูโย่วอี๋ก็นิ่งเงียบไป
ตั้งแต่ที่เธอรู้จักกับฮันเจ๋อหยาง เธอมักจะแยกสองคนนี้ออกจากกันโดยไม่รู้ตัว น้อยมากที่จะนึกได้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะฮันเจ๋อหยาง เธอจึงรู้สึกดีกับฮันเอินจีขึ้นมาไม่น้อยเลย
รอจนอวิ๋นเหมี่ยวกินโจ๊กเสร็จ ทั้งสามคนก็ลุกออกมาจากร้าน
แม้ว่าเถ้าแก่เจ้าของร้านจะบอกว่าไม่คิดเงิน แต่ฮันเจ๋อหยางก็ยังคงแอบวางเงินไว้ใต้จานยี่สิบหยวน
จนเถ้าแก่เนี้ยมาเก็บจานจึงได้พบเข้าและมีท่าทีร้อนใจ “บอกแล้วว่าไม่รับเงินก็ยังจะให้มาอีกสิน่า แถมยังให้มาเยอะเกินไปด้วย”
เถ้าแก่เจ้าของร้านปลอบใจภรรยา “ต่อไปถ้ามาอีกก็คิดเงินให้ถูกลงก็ได้ ไม่ต้องโกรธไปหรอก”
หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ทั้งสามคนต่างก็ถูกผู้ช่วยดึงตัวเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำของทีมละคร
เพราะออกเดินทางไล่เลี่ยกัน เวลาที่ไปถึงก็พอ ๆ กัน
ทั้งสามจึงเดินเข้าไปพร้อมกัน
ทีมงานเห็นว่าทั้งสามคนมาพร้อมกันก็ส่งสายตาเหลือเชื่อออกมา หลังจากนั้นก็มองตากัน
“ฉันคิดว่าทั้งสองคนน่าจะไม่ชอบหน้ากันเสียอีก ไม่อยากเชื่อเลยว่าพวกเขาจะสนิทกันขนาดนี้?”
“นั่นสิ ถ้าฉันถูกชาวเน็ตพูดถึงแบบนั้นคงจะโกรธมากแน่ ๆ”
“ไอ้หยา เธอถึงเป็นดาราไม่ได้ไง ความอดทนต่ำเกินไปแล้ว”
“คุณอวิ๋นนิสัยดีมากนะ พูดจาก็ดี ไม่เคยโวยวาย ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นะ”
“อืม ยังไงพวกเขาก็เล่นละครด้วยกันอยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องซุบซิบนินทาอะไรแล้ว ไปทำงานกันได้แล้ว”
ทีมละครเริ่มเตรียมการก่อนถ่ายทำ ซูโย่วอี๋ใช้โอกาสนี้เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เล่นและพึ่งเข้าใจความหมายจากสายตาของทีมงานเมื่อครู่นี้
ตอนนี้ซูโย่วอี๋ขึ้นอันดับการค้นหาร้อนแรงอีกครั้ง
อวิ๋นเหมี่ยวเองก็เช่นกัน
ชาวเน็ตชื่นชมซูโย่วอี๋เป็นอย่างมากแต่กลับเหยียบย่ำอวิ๋นเหมี่ยวให้ต่ำลง
[โอ้ไม่ ใครก็ได้บอกฉันทีว่ากู้ชิงเฉิงต้องเป็นคนสวยจนทำให้ทั้งเมืองต้องสั่นคลอนจริง ๆ ใช่ไหม]
[นั่นสิ ความน่าดึงดูดของกู้ชิงเฉิงน้อยกว่าฮั่วเสวียนอยู่มากเลยนะ]
[คุณโหมวคะ คุณช่วยลืมตาดูหน่อยค่ะ นี่คือความงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้จากการเลือกผู้หญิงนับหมื่นแล้วหรอ?]
[ถ้าให้ฉันพูด ฉันว่าเลือกซูหยินไม่ดีกว่าหรอ อย่างน้อยหน้าตาก็ดูไม่ได้แย่เกินไป]
[ใช่ ซูหยินไง! เธอคงจะได้รับการยอมรับมากแน่ ๆ]
[ฮั่วเสวียนของฉันทำอะไรผิด ทำไมถึงแพ้ให้กับกู้ชิงเฉิงแบบนั้น ฉันจะยื่นหนังสือขอเปลี่ยนนางเอก]
[ใช่! ให้คุณโหมวได้ฟังคำร้องของพวกเรา เปลี่ยนนางเอกซะ]
ในแต่ละวันของซูหยินผ่านพ้นไปด้วยดี คิดไม่ถึงว่าจะมีวันที่ความนิยมของละครรักในฝัน ทำให้เธอกลับไปติดอันดับการค้นหาอันร้อนแรงได้
เธอรีบส่งข้อความในวีแชทไปหาซูโย่วอี๋ในทันที
[ที่รักดูนี่ ชาวเน็ตตาแหลมจริง ๆ ฮ่า ๆ ผู้กำกับสวีไม่เลือกฉันเพราะตาไม่ถึงจริง ๆ นั่นแหละ]
ซูโย่วอี๋เม้มปากยิ้ม [สวยจ้าสวย]
[ยินดีด้วยนะที่รัก เล่นละครเรื่องแรกก็ดังเป็นพลุแตก ปีนี้เธอได้เป็นนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมแน่]
ในขณะเดียวกัน อวิ๋นเหมี่ยวเองก็เห็นที่ชาวเน็ตวิจารณ์อย่างร้อนแรง เธอกดเข้าไปในเวยป๋อก็พบกับการค้นหาร้อนแรงของวันนี้
[ขอแนะนำแบบจริงจังเลยนะ ละครรักในฝันเปลี่ยนนางเอกเถอะ]
[นี่สิถึงจะเรียกว่าหญิงงามที่ทำให้ทั้งเมืองต้องสั่นคลอน]
[ซีรี่ย์ที่หลี่จื้อตาบอด]
พอกดเข้าไปในแต่ละหัวข้อ เนื้อหาทั้งหมดล้วนเป็นรูปภาพการเปรียบเทียบของฮั่วเสวียนและกู้ชิงเฉิง
ผู้ช่วยที่ยืนอยู่อีกฝั่งก็รู้สึกสงสารอวิ๋นเหมี่ยวขึ้นมา “คุณอวิ๋น พวกคนในอินเตอร์เน็ตก็ชอบไหลไปตามน้ำ ถ้าพูดกันตามความจริง หน้าตาของพวกเธอสู้คุณไม่ได้เลยค่ะ”
อวิ๋นเหมี่ยวกัมหน้าลงด้วยสีหน้าหม่นหมอง
คำปลอบโยนของผู้ช่วยไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
ในใจเธอกลับยิ่งปิดกั้นมากขึ้น
เธอเป็นถึงอวิ๋นเหมี่ยว จะเอากลุ่มคนธรรมดา ๆ มาเปรียบเทียบได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้เธออยู่ในกองถ่ายจึงไม่กล้าโวยวายและตอบกลับนิ่ง ๆ “อืม ขอบคุณนะคะ”
“ฉันทำหมวกตกไว้ที่รถ คุณไปเอามาให้หน่อยได้ไหม”
ผู้ช่วยรีบไปหยิบหมวกให้เธอ
อวิ๋นเหมี่ยวรอจนผู้ช่วยจากไป เธอค้นหาเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งจากสมุดโทรศัพท์และกดไปอย่างรวดเร็ว
“ถ่ายรูปเมื่อตอนเช้าเสร็จหรือยัง?”
“[เสร็จแล้ว]”
“ส่งไปให้พวกอินฟลูเอนเซอร์กับนักข่าว”
คนที่อยู่ปลายสายตอบกลับอย่างรวดเร็ว “[ได้ครับ คุณอวิ๋น]”
จากนั้นสวีโหมวหยิบเครื่องกระจายเสียงและตะโกน “เตรียมถ่ายได้แล้ว”
ฉากนี้เป็นฉากที่ฮั่วเสวียนตัดสินใจไปหาหลี่จื้อที่หร่งตี๋พร้อมกับกู้ชิงเฉิง ก่อนออกเดินทาง เธอเรียกให้เหล่าผู้ใต้บังคังบัญชาเข้าไปในกระโจมเพื่ออธิบายเรื่องราวอย่างตรงไปตรงมา
หากแต่ชุยดาบเดียวเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นคัดค้าน “ท่านแม่ทัพ ทำเช่นนั้นมิได้นะขอรับ การแทรกซึมเข้าไปในกองทัพของศัตรูขณะที่กองทัพของทั้งสองกำลังทำสงครามกัน นี่มันเหมือนวิ่งหาที่ตายไม่ใช่หรือขอรับ?”
แม้ว่าหัวหน้าคนอื่นจะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็เห็นด้วยกับความคิดของชุยดาบเดียว
แต่ฮั่วเสวียนกลับมีท่าทีสงบลง “โม่อ๋องหายไปกว่าครึ่งเดือนแล้วและไม่เคยได้ยินข่าวคราวกลับมาเลย”
เป็นไปได้สูงมากว่าอาจจะตายไปแล้ว …
แต่ฮั่วเสวียนไม่อาจยอมแพ้ก็เท่านั้น
“เขาเป็นองค์ชายรัชทายาทและกำลังตกอยู่ในอันตราย หากว่าข้าไม่ทำอันใดเลย ราชวงศ์ก็คงจะต้องลงโทษทั้งกองทัพตระกูลฮั่วเป็นแน่”
“เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปเถิด” ชุยดาบเดียวก้าวออกมาหนึ่งก้าว “ท่านแม่ทัพ แม้ว่าท่านพูดอยู่เสมอว่าพวกเราต้องปฏิบัติต่อคนที่มาจากเมืองหลวงและราชวงศ์ด้วยความเคารพ ในเวลาปกติข้ารับฟังท่านได้ แต่ต่อหน้าความเป็นความตายนี้ หลี่จื้อผู้นั้นจะเทียบกับท่านได้เช่นไร หากเขาตายในหร่งตี๋ก็เพราะว่าเขาด้อยกว่าผู้อื่น จะโทษใครคงไม่ได้”
“เหตุใดท่านต้องยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อไปช่วยเขากัน? หากมีผู้ใดที่ต้องรับผิดชอบในการตายของเขา ก็ให้ข้าน้อยไปเถิด ข้าผู้นี้จะไปหาเขาที่หร่งตี๋เอง”
แม้เขาพูไม่สุภาพ แต่ฮั่วเสวียนกลับไม่สามารถลงโทษเขาได้
ชุยดาบเดียวก็แค่ภักดีต่อเธอ