Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 196 พานางหนีไป
บทที่ 196 พานางหนีไป
บทที่ 196 พานางหนีไป
อีกทั้งเฟ่ยชินทั่วเป็นคนโหดร้าย หัวหน้าจึงคิดว่าไม่เข้าไปยุ่งน่าจะเป็นการดีกว่า
เขาจึงโบกมือขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปเถิด”
ฮั่วเสวียนและอีกสองคนจึงรีบออกไปจากคุก
ในมุมมืด กู้ชิงเฉิงถามขึ้น “ท่านแม่ทัพ เรายังต้องค้นหาต่อไปอีกไหม?”
ฮั่วเสวียนส่ายหัว “รีบออกไปจากที่นี่เถิด”
พวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าทหารของหร่งตี๋ไปแล้ว แม้จะยังไม่ถูกจับได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีทางหาพบ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอันตราย
แต่ครั้งนี้ โชคไม่ได้เข้าข้างพวกเขา
หัวหน้าทหารมองไปยังทางที่ฮั่วเสวียนหายไปและสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกประหลาด แต่กลับคิดไม่ออกในตอนนี้
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาหัวเราะขึ้น “ท่านคิดมากเกินไปหรือเปล่า?”
หัวหน้าทหารตบไปยังคนที่พูดขึ้น “นี่เจ้ามีพิรุธอย่างนั้นหรือ!”
ผู้ที่ถูกตีปิดแก้มของตัวเองเอาไว้ “ท่านหัวหน้า ข้าจะมีพิรุธได้อย่างไร?”
“งี่เง่า พวกที่มันผ่านไปเมื่อครู่ มันได้ทำท่าทางเคารพแบบทหารหรือไง?”
เขาเองก็เป็นทหารใหม่ไม่มียศทางการทหาร หากไม่ใช่เพราะต้องการท้าทาย ก็เป็นเพราะไม่รู้ว่าต้องทำความเคารพด้วย!
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชามองหน้ากัน คิดเพียงแค่ว่าหัวหน้าอยากจะอวดตัวว่าเป็นผู้บังคับกองพัน แต่พวกเขาก็ไม่กล้าคัดค้านอะไร
มีคนถามขึ้นอย่างยอมจำนน “หรือพวกมันแค่ลืมเฉย ๆ ?”
หัวหน้าทหารรู้สึกเดือดพล่านและด่ากลาดไปทั่ว ก่อนจะเลือกคนออกมาสองคน “พวกเจ้าตามข้าเข้าไปดูในคุก ส่วนที่เหลือจับตาดูประตูใหญ่เอาไว้ให้ดี!”
หัวหน้าทหารรีบร้อนและใช้มือดึงดาบที่คาดไว้ที่เอวออกมา เขาเดินไปด้วยออกแรงเคาะประตูไม้ไปด้วย ทำให้คนทั้งคุกต่างตื่นตกใจ
“นอนอะไรกันอยู่ได้ ทุกคนลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
หัวหน้าทหารกวาดสายตามองดู ภาพที่เห็นคือทุกคนกำลังมองไปยังเขาด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงที่เก้าอี้ตรงกลางด้วยความพอใจ “พวกคนที่เข้ามาเมื่อครู่นี้ มันเข้ามาทำสิ่งใดกัน?”
บางคนหลับเป็นตาย บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนเข้ามา พอได้ยินเช่นนั้นก็มีท่าทางสับสนมึนงง
เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบคนนั้นมองหัวหน้าทหารด้วยความหวาดกลัว เขาตัวสั่นขึ้นอย่างอดไม่ได้
ภายในคุกเงียบสงัด ไม่มีผู้ใดตอบกลับมาเลย
หัวหน้าทหารยิ้มอย่างโหดร้าย “ไม่พูดงั้นรึ? เช่นนั้นข้าจะถามทีละคน”
เขาหยิบกุญแจที่แขวนไว้ที่เอวและเปิดห้องขังห้องหนึ่งออก โบกมือให้ชายสองคนเข้าไป “ไปซ้อมพวกมัน”
ทันใดนั้น เกิดเสียงร้องโหยหวนอันน่าเวทนาดังขึ้นภายในคุก
ความโกรธ ความไม่แยแส และความกลัว…กระจายไปทุกหนแห่งในคุกใต้ดิน
จนในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ไหว “ข้า…ข้าพูดเอง มีคนสามคนเข้ามาในนี้จริง ๆ พวกเขาใส่หมวกทำให้มองเห็นไม่ชัด เข้ามาเดินรอบ ๆ คุกชั่วขณะหนึ่งแล้วก็จากไป”
หัวหน้าทหารไม่แม้แต่จะขยับคิ้ว “ไม่สิ! พวกเจ้าจะต้องปกปิดสิ่งสำคัญเอาไว้แน่ ๆ เป็นแค่มดตัวเล็ก ๆ ยังไม่ซื่อสัตย์อีกรึ ช่างสมควรตายเสียจริง”
เพียงแค่ 15 นาที นักโทษสองห้องถูกทุบตีจนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะพูด
แต่คนเป็นหัวหน้าทหารก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ต่อไป!”
ผู้ใต้บังคับบัญชามาถึงประตูห้องที่เด็กชายตัวเล็กและแม่ถูกคุมขังอยู่
เด็กชายคนนั้นแอบอยู่ด้านหลังของแม่ เขาตัวสั่นจนฉี่รดกางเกง
ชายคนหนึ่งเตะผู้หญิงจนล้มลงไปกับพื้นและเริ่มเตะต่อยต่อไป
เด็กชายร้องไห้ “พวกท่านอย่าตีแม่ของข้าเลยขอรับ ข้าขอร้อง”
ไม่มีใครสนใจเขาเลย
แม่มองดูลูกวัยเจ็ดขวบอย่างหมดหวัง จนเลือดไหลออกมาพร้อมน้ำตา แต่เธอกลับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องกลัว”
เด็กชายตัวเล็กรีบกระโดดเข้าไปกอดขาของผู้ชายเอาไว้ “ข้ารู้ ข้าเห็นทุกอย่างเลย”
หัวหน้าทหารเงยหน้าขึ้น “หยุด”
“เจ้าเห็นสิ่งใดกัน?”
เด็กชายตัวน้อยโถมตัวเข้าหาแม่ “พวกเขาเป็นคนต้าเซี่ย พวกเขาพูดออกมาเอง”
สีหน้าของหัวหน้าทหารโกรธเกลียดถึงขั้นสุด เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่อยากเชื่อ ในตอนแรกไม่มีใครรู้สึกว่าทั้งสามคนนั้นมีพิรุธอะไรและคิดแค่ว่าหัวหน้าคงแค่อยากหาเรื่องรังแกนักโทษเล่น ๆ พวกเขาจึงได้ตามมาด้วย
อาจเป็นเพราะเขาโกรธมาจากที่อื่นและต้องการหาที่ระบายเฉย ๆ
คิดไม่ถึงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นจริง ๆ
หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาพูดขึ้นอย่างไม่แน่ใจ “คำพูดของเด็กน้อยคนหนึ่งจะมีความจริงมากน้อยแค่ไหนกันขอรับ ไม่ใช่ว่าเขาโกหกรึ”
หัวหน้าทหารลุกขึ้นยืน “เด็กพูดโกหกไม่เป็นอยู่แล้ว รีบสั่งการทันที ตีฆ้องให้ทุกคนตื่นและออกค้นหาพวกมัน อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
เขามีลางสังหรณ์ว่าถ้าจับสามคนนั้นได้ มันจะต้องเป็นผลงานชิ้นยอดเยี่ยมแน่นอน!
ผู้ใต้บังคับบัญชาฝืนใจตัวเองก้าวออกมา “ท่านหัวหน้าขอรับ เรื่องนี้เราไม่รายงานให้ท่านนายพลเฟ่ยชินทั่วทราบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจหรือขอรับ?”
หัวหน้าทหารหันกลับมาและตบลงไปอีก “รายงาน ๆ ๆ รายงานแม่เจ้าสิ! หากรอให้เจ้ารายงาน พวกนั้นก็หายไปกันหมดพอดี”
ผู้ใต้บังคับบัญชาถูกตบถึงสองครั้งในวันเดียว จึงไม่กล้าพูดอันใดอีก และรีบจัดเตรียมผู้คนให้วิ่งกระจายข่าว
ทั่วทั้งกระโจมเดือดพล่านราวกับข้าวต้มที่กำลังเดือด
อีกด้านหนึ่ง อีกแค่ไม่กี่ก้าวฮั่วเสวียนและอีกสองคนจะสามารถหนีออกไปจากค่ายทหารได้แล้ว แต่ทหารเฝ้าประตูใหญ่กลับเพิ่มกำลังพลขึ้นมาอย่างกะทันหัน สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือพวกเขาได้ยินว่าทหารทุกคนในหร่งตี๋ถูกเรียกออกมาเพื่อตามล่าทั้งสามคน
หากจะไปต่อ คงยากแล้ว…
การต่อสู้อันดุเดือดใกล้เข้ามาแล้ว
ฮั่วเสวียนกลับดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ในหัวคิดหาวิธีมากมายเพื่อแก้ไขปัญหานี้
แต่ภายใต้สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำมากเช่นนี้ โอกาสหนีรอดออกไปได้นั้นน้อยมาก
พอเงยหน้าขึ้น ดวงตาของฮั่วเสวียนกลับแนวแน่มาก เธอมองไปยังนักดาบและสบตาเขาอย่างแน่วแน่ และมองไปยังกู้ชิงเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ
เป็นสัญญาณให้นักดาบทราบว่าเมื่อตกอยู่ในช่วงเวลาอันตราย ให้รีบพากู้ชิงเฉิงออกไปก่อน
เขาแอบพยักหน้า
ส่วนกู้ชิงเฉิงก็สังเกตเห็นแผนการของทั้งสองคน “ถ้าจะไป เราก็ต้องไปด้วยกัน ถ้าจะตาย ก็ต้องตายด้วยกัน”
ฮั่วเสวียนยิ้ม “แม่นางชิงเฉิง พวกเราจะต้องมีชีวิตอยู่ขอรับ”
จนกระทั่งคนของหร่งตี๋ล้อมประตูใหญ่จนเป็นเหมือนปราการเหล็กไร้ช่องโหว่
ครั้งนี้ไม่ใช่การใช้ประโยชน์จากกองทหารที่อ่อนแอเพื่อพยายามหนีออกไป
“ตามข้ามาติด ๆ ล่ะ หลังจากออกจากประตูใหญ่ก็พยายามวิ่งไปยังทางที่ม้าอยู่”
ขณะกำลังวุ่นวายอยู่นั้น ฮั่วเสวียนและทั้งสองคนเดินไปยังประตูใหญ่ พวกเขาสวมใส่ชุดของหร่งตี๋อยู่จึงไม่มีใครสงสัย
ขอแค่… ผ่านประตูนั้นไป
หากแต่หัวหน้าทหารถูกสั่งให้มาปกป้องประตูใหญ่ รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่ตามมาด้านหลังติด ๆ
ทันใดนั้น หัวหน้าทหารเหล่ตามองเห็นทั้งสามคนเดินเรียงกันอยู่
“หยุดพวกมัน อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
และรีบพุ่งตัวไปด้านหน้าทันที
ฮั่วเสวียนเห็นว่าตนเองถูกจับได้แล้วจึงไม่คิดซ่อนตัวอีกต่อไป “ชักดาบ วิ่ง!”
เหล่าทหารพุ่งเข้ามาราวกับกระแสน้ำล้อมทั้งสามคนเอาไว้
ฮั่วเสวียนและนักดาบรวมถึงกู้ชิงเฉิงถูกล้อมไว้อยู่ตรงกลาง ในมือชักดาบออกมาเพื่อคิดสู้
แต่หัวหน้าทหารมองทั้งสองคนที่ยังพอมีทักษะพิเศษอยู่ก็ยิ้มขึ้น “วันนี้จับปลาตัวใหญ่ได้เสียแล้ว”
หลังจากนั้นก็มองดูสถานการณ์อย่างไม่รีบร้อน
แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ “ท่านหัวหน้า ท่าน… ไม่เข้าไปหรือ?”
หัวหน้าทหารดูอารมณ์ดีขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าจะเอาชนะไม่ได้หรืออย่างไร?”
ตอนนี้เขากำลังใช้เหล่าทหารเพื่อทำให้ฮั่วเสวียนอ่อนกำลังลง
ทำไมฮั่วเสวียนจะไม่รู้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเขาจะต้องตายแน่
นางชักกระบี่ออกมาจากเอว มือขวาถือดาบ มือซ้ายร่ายรำกระบี่ สังหารผู้ที่มาปิดล้อมอย่างไร้ความปราณี
ใบหน้าของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยคราบเลือดจนมองใบหน้าไม่ชัด นางหันกลับมา “พาแม่นางไป เร็ว!”
นักดาบหมุนตัวและรีบช่วยกู้ชิงเฉิงออกไป
หัวหน้าทหารรีบร้อนพุ่งตัวไล่ตามไป นักดาบใช้พลังที่มีผลักกู้ชิงเฉิงให้นำหน้าและพูดขึ้นมาแค่คำเดียว “วิ่ง”
ก่อนที่เขาจะหันกลับไปขัดขวางหัวหน้าและเหล่าทหารที่ไล่ตามมา