Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 200 พยายามให้เหมาะสมและคู่ควร
บทที่ 200 พยายามให้เหมาะสมและคู่ควร
บทที่ 200 พยายามให้เหมาะสมและคู่ควร
ฮันเอินจีเดินไปยังโซฟาเดี่ยวและนั่งลง ผมสีดำดูเงางามมากภายใต้แสงของโคมไฟ
ซูโย่วอี๋นั่งลงตรงข้ามกับเธอ “อาจารย์ฮัน มีเรื่องอะไรพูดได้เลยค่ะ”
“ฉันไม่ชอบเธอ”
ฮันเอินจีพูดตรงไปตรงมา “เดาว่าเธอเองก็น่าจะรู้”
ซูโย่วอี๋เงียบไป เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าฮันเอินจีจะตรงไปตรงมามากขนาดนี้
แต่หากเปรียบเทียบกับการเสแสร้งของอวิ๋นเหมี่ยว เธอชอบบุคลิกและนิสัยตรงไปตรงมาของฮันเอินจีมากกว่า เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไม
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความรักไหนไร้เหตุผลและก็ไม่มีความเกลียดไหนไร้เหตุผลเช่นกัน
ซูโย่วอี๋สังเกตเห็นสายตาของฮันเอินจีที่จ้องมองมายังใบหน้าของเธอเป็นครั้งที่สอง
“บนหน้าฉันมีอะไรเหรอคะ?”
ฮันเอินจีหลบสายตาและพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ไม่มี”
“ฉันเกลียดเธอ ตอนแรกก็เพราะลู่เฉิน หรือว่าเขาไม่เคยบอกเธอเลยว่าฉันกับเขาเคยหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ”
ความตกใจปรากฏขึ้นในดวงตาของซูโย่วอี๋
ซึ่งฮันเอินจีก็ได้เข้าใจแจ่มแจ้ง “เขาไม่ได้บอกเธอจริง ๆ สินะ เธอคิดว่าจะมีใครชอบคนที่มาแย่งแฟนของตัวเองไปได้บ้างล่ะ?”
“อาจารย์ฮัน นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะคะ”
ในยุคที่ทุกคนล้วนแต่รักอิสระ ทำไมยังมีคนที่พยายามผูกมัดผู้ชายไว้ด้วยการหมั้นหมายอยู่อีก
ฮันเอินจีตกใจ “เธออยู่ในฐานะอะไรถึงได้กล้าพูดกับฉันแบบนี้?”
พูดจบก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ฉันลืมไป คุณเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เล็ก ไม่มีความรู้เรื่องกฎเกณฑ์ทางสังคมชั้นสูง ฉันจะบอกให้นะ การหมั้นหมายอาจเป็นเรื่องเล็กในสายตาของคนทั่วไป แต่ในเรื่องของวงศ์ตระกูลมันไม่ใช่ สิ่งที่พวกเราให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือความเหมาะสม!”
การแต่งงานโดยผ่านผู้เฒ่าผู้แก่นั้นแทบจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
อีกทั้งคนรุ่นก่อนยังสามารถควบคุมลูกหลานของตัวเองได้ ใครต่างก็ต้องเพิ่มอำนาจของวงศ์ตระกูล ก็เหมือนกับฮัวจิงที่ถูกครอบครัวจัดการให้สู่ขอผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้ชอบ?
มีเพียงลู่เฉินเท่านั้นที่อาจกลายเป็นข้อยกเว้น!
และออกมาท้าทายตระกูลฮันทั้งสองอย่างโจ่งแจ้งก็เพื่อซูโย่วอี๋!
ฮันเอินจีทั้งอิจฉา ริษยา และไม่มีทางเลือก
ซูโย่วอี๋ทั้งไร้จิตสำนึกและความสามารถ
เมื่อได้ยินฮันเอินจีเยาะเย้ยว่าเธอกำพร้าและไม่คู่ควรกับลู่เฉิน สีหน้าของซูโย่วอี๋ยังคงเป็นปกติ “ฮัน…เอินจี คุณบอกว่าฉันไม่ต้องเรียกคุณว่าอาจารย์ฮันใช่ไหม ในเมื่ออายุของเราไล่เลี่ยกัน ฉันขอเรียกชื่อเธอเลยละกันนะ”
“นี่เธอ!” ฮันเอินจีโกรธ
ซูโย่วอี๋ เธอกล้าปีนเกลียวเกินไปแล้ว!
“คนมาใหม่อย่างเธอจะเรียกชื่อรุ่นพี่อย่างนั้นเหรอ?”
มุมปากของซูโย่วอี๋กระตุกขึ้น “อยู่ที่ว่าเธอให้คำนิยามของคำว่ารุ่นพี่ไว้อย่างไร สำหรับฉัน คำว่ารุ่นพี่คือคนที่เคยประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งมาก่อน ไม่ก็ต้องมีความสามารถที่เป็นที่ยอมรับ ไม่ทราบว่าฮันเอินจี เธอเคยมีผลงานอะไรมาก่อนบ้างไหม?”
หลายปีที่ฮันเอินจีเดบิวต์มา เธอชอบเต้น แต่ความสำเร็จในด้านการเต้นนั้นก็ไม่สูงมาก พูดได้แค่ว่าจะสูงก็ไม่สูงจะต่ำก็ไม่ต่ำ
แต่เพราะการพึ่งพาตระกูลฮันทำให้เธอได้รับรางวัลมากมาย แต่ความสามารถนั้นไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใหญ่คนโตในด้านนี้
ซูโย่วอี๋จงใจยั่วยุเธอ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางพูดจาทำร้ายจิตใจและไร้มารยาทแบบนี้แน่
“ซูโย่วอี๋ เมื่อก่อนฉันประเมินเธอต่ำไป ไม่รู้มาก่อนว่าเธอจะปากดีขนาดนี้ เธอเลยอยากคบหากับพี่ชายฉันงั้นเหรอ? มีลู่เฉินอยู่แล้วไม่พอ ยังอยากจะแย่งพี่ชายของฉันไปอีก”
นี่ไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของซูโย่วอี๋เลยจริง ๆ
“ฉันเปล่า”
ฮันเอินจีกลั้นลมหายใจ “ซูโย่วอี๋ฉันจะบอกเธอให้นะ ของปลอมก็คือของปลอม ของจริงไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้ ตอนนี้พี่ชายของฉันดีกับเธอ แต่ถ้าเกิดว่าฉันไม่มีความสุข เธอคิดว่าเขาจะทำร้ายฉันที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ เพื่อเธองั้นเหรอ?”
“เธอก็แค่คนที่เขาพร้อมจะโยนทิ้งไปได้ตลอดเวลาก็เท่านั้น”
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอย่างไรก็ทิ่มแทงอารมณ์อันละเอียดอ่อนของซูโย่วอี๋เข้าทั้งนั้น ทำให้อารมณ์ของเธอก็ตกลงสู่จุดต่ำสุด
“ฉันเข้าใจแล้ว เธอพูดจบแล้วใช่ไหม? พูดจบแล้วก็เชิญออกไปด้วย ฉันอยากพักผ่อน”
ฮันเอินจียิ้ม “พูดจบแล้ว”
ในที่สุดเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาและเดินจากไป
ซูโย่วอี๋นอนอยู่บนเตียงและฝังศีรษะของตัวเองไว้ในผ้านวม
สุนัขจิ้งจอกได้ยินที่ทั้งสองคุยกันอย่างชัดเจน มันจึงมองเธออย่างเป็นห่วงและเหยียดหางออกตบลงที่ไหล่ของซูโย่วอี๋ [ซู่จู่ ปากของผู้หญิงที่ชื่อว่าฮันเอินจีคนนี้ไม่ดีเลย คุณอย่าไปใส่ใจ]
“อืม” เธอตอบเสียงอู้อี้
ซูโย่วอี๋เกลียดมากที่ถูกคนอื่นพูดคำว่า ‘ทิ้ง’ ใส่!
ตั้งแต่เด็ก เธอถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้เติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ได้ยินคำนินทาจนชินว่าไม่มีใครต้องการเธอกับซูหยิน และพวกเธอก็เป็นแค่สิ่งของที่เสียเงินเปล่า ๆ
และสิ่งที่เธอเกลียดมากที่สุดคือการที่เธอไม่ถูกเลือกให้เป็นตัวเลือกแรก
ถ้าหากไม่ถูกเลือกด้วยความแน่วแน่ เช่นนั้นเธอก็ไม่ต้องการ
ทั้งความรัก เครือญาติ รวมถึงเพื่อนฝูง!
ซูโย่วอี๋พลิกตัวกลับไปและโทรศัพท์หาลู่เฉิน
ลู่เฉินรับสาย “[ฮัลโหล]”
เสียงทุ้มต่ำเหมือนกระซิบอยู่ข้างหู
ซูโย่วอี๋รู้สึกปวดใจมากขึ้น แต่ยังสามารถควบคุมเอาไว้ได้ “ลู่เฉิน ถ้าเกิดว่าพ่อกับแม่ของคุณไม่ชอบฉัน คุณยังจะคบกับฉันอยู่ไหม?”
“[ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะ?]”
“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เลยสงสัยในคำตอบของคุณนิดหน่อย”
ลู่เฉินตอบอย่างไม่ลังเล “[คบสิ ความชอบของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม]”
“งั้น คุณรักฉันไหม?”
ลู่เฉินไม่เคยพูดว่ารักเธอมาก่อนเลย
คำที่ลู่เฉินมักจะใช้ก็คือ ‘เหมือนว่าจะชอบนิดหน่อย’ ‘เหมือนว่าจะชอบมากกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย’
แล้วนิดหน่อยมันคือเท่าไหร่กัน?
ลู่เฉินรับรู้ถึงความผิดปกติของซูโย่วอี๋ “[คุณเป็นอะไรไป?]”
“นี่คุณตั้งใจเปลี่ยนเรื่องอยู่ใช่ไหม?“
“หรือในใจของคุณเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน?”
“หรือว่าคุณเองก็ไม่ได้…”
ซูโย่วอี๋กำลังคิดฟุ้งซ่าน…
“[ผมรักคุณ]” เสียงของลู่เฉินดังขึ้นมาจากโทรศัพท์
โดยไม่มีความลังเลอยู่เลยแม้แต่น้อย
“[ไม่ว่าคุณจะไปได้ยินหรือเห็นอะไรมา หรือสงสัยในตัวผม หรือรู้สึกไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ของเรา ผมก็จะรักคุณและซื่อสัตย์กับคุณตั้งแต่นี้และตลอดไป]”
ซูโย่วอี๋จ้องมองเพดานนิ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนจุดพลุขึ้นไปบนเพดานห้อง
มันงดงาม
ราวกับความฝัน
เธอนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “อืม ฉันเชื่อ แต่ลู่เฉิน ฉันจะต้องพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพื่อให้เหมาะสมและคู่ควรกับคุณ”
เธอไม่อยากเป็นผู้หญิงที่ยึดติดอยู่กับผู้ชาย
แต่ต้องเป็นคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน!
“[อืม ไม่ว่าคุณทำอะไร ผมจะสนับสนุนคุณเอง]”
ทันใดนั้น เหมือนซูโย่วอี๋จะเห็นเส้นทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เธอจะต้องพยายามเปล่งประกายออกมา ทำให้ทุกคนบนโลกได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเธอ!
รอให้เธอแข็งแกร่งมากพอโดยที่ไม่ต้องสนใจปัญหาที่ว่าคู่ควรหรือไม่คู่ควร!
เช้าวันต่อมา ตอนที่ซูโย่วอี๋ออกมา เธอเจอกับฮันเจ๋อหยางและฮันเอินจีที่กำลังออกมาจากห้องพัก
ฮันเจ๋อหยางยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ ซูโย่วอี๋”
“อืม อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ซูโย่วอี๋ยิ้มกลับไปเบา ๆ หลังจากนั้นก็มองไปยังฮันเอินจี “อาจารย์ฮัน”
ฮันเอินจียังคงคิดว่าซูโย่วอี๋คงไม่อยากพูดคุยกับเธออีกเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้ แต่ตอนนี้เธอเล่นละครอะไรอยู่?
แสร้งทำเป็นอ่อนโยนและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อหน้าพี่ชายของเธองั้นเหรอ?
เมื่อคืนหลังจากที่ฮันเจ๋อหยางคุยกับน้องสาวต่ออีกสักพัก ในที่สุดเขาก็เข้าใจปมในใจของฮันเอินจี เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะประนีประนอมกันไม่ได้ และตั้งใจที่จะพูดคุยปรับความเข้าใจของทั้งสองคน
จากนั้นทั้งสามคนลงมากินอาหารเช้าพร้อมกัน แต่ซูโย่วอี๋มีแม่ครัวประจำตัว จึงไม่ต้องกินอาหารในห้องอาหารของโรงแรมพร้อมกับคนอื่น ๆ
ก่อนหน้านี้ฮันเจ๋อหยางจะลงมากินอาหารเช้ากับเธอเสมอ เพียงแต่ว่าถ้าไปก็คงไม่ดีเท่าไหร่เพราะกลัวว่าฮันเอินจีจะโกรธ
ซูโย่วอี๋เห็นภาพนั้นก็มองผ่านไปและกล่าวลาเขา
เธอเดินไปยังห้องส่วนตัว เห็นเหมยเหมยรออยู่ข้างใน เธอกำลังช่วยเตรียมจาน เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋มาคนเดียวจึงถามขึ้นอย่างสงสัย “คุณฮันล่ะคะ?”