Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 213 เห็นแก่ของแพง
บทที่ 213 เห็นแก่ของแพง
บทที่ 213 เห็นแก่ของแพง
ซูโย่วอี๋มองไปที่พวกเขาสองคนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแล้วกล่าว “ขอบคุณค่ะ”
ในเมื่อรับของไว้แล้ว ก็คงไปได้แล้วใช่ไหม
หากแต่ซวี่เฟิงเหลือบมองอวิ๋นเหมี่ยวอย่างตำหนิ “คุณซูยังไม่เห็นของขวัญ ทำไมคุณถึงให้ผู้ช่วยเก็บไปแล้วล่ะ”
“คุณซู เปิดดูสิว่าเหมาะกับคุณไหม”
ซูโย่วอี๋แทบจะอดกลั้นไว้ไม่ไหว ในโลกนี้มีคนโง่แบบนี้จริง ๆ เหรอ?
ก็เธอไม่ได้อยากดูตั้งแรกหรือเปล่า?
แต่อวิ๋นเหมี่ยวผลักซวี่เฟิง “ช่างมันเถอะค่ะ โย่วอี๋กลับไปเปิดดูทีหลังก็เหมือนกันนั่นแหละ”
“มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง? ถ้าคุณซูไม่ชอบ คราวหน้าผมจะให้ของขวัญชิ้นอื่นไง”
ดวงตาของเหมยเหมยเต็มไปด้วยความสงสัย ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนของอวิ๋นเหมี่ยวจริง ๆ เหรอ?
ทำไมเขาถึงแสดงความใส่ใจกับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าแฟนตัวเองล่ะ?
ซูโย่วอี๋ยิ่งพูดไม่ออก เธอหยิบกระเป๋าถืออย่างเงียบ ๆ และหยิบของในกระเป๋าออกมา
กระเป๋าสะพายข้างใบเล็กสไตล์ขนมจีบสีดำหนังวัวแท้สุดคลาสสิค
หลังจากซูโย่วอี๋หยิบขึ้นมาถือก็เห็นใบเสร็จร่วงลงมา
ในตอนแรก ซูโย่วอี๋ไม่ต้องการหยิบมันขึ้นมา แต่เมื่อเธอเห็นดวงตาของซวี่เฟิงที่รู้สึกตื่นเต้น เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เธอเห็นราคากระเป๋า!
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและหยิบใบเสร็จขึ้นมาจากพื้น เธอชำเลืองมองราคาก็เห็นว่ากระเป๋าใบนี้ราคาสามหมื่นกว่า
จากนั้นเธอก็ยัดใบเสร็จลงในกระเป๋าและใส่ไว้ในกระเป๋าถือด้วยสีหน้าว่างเปล่า
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขอบคุณนะคะ ฉันชอบมันมาก”
ซวี่เฟิงต้องการที่จะเห็นความประหลาดใจและความสุขบนใบหน้าของซูโย่วอี๋ แต่เขาก็ต้องผิดหวัง
เขารู้สึกหดหู่ใจอยู่พักหนึ่ง อวิ๋นเหมี่ยวบอกว่าซูโย่วอี๋เติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ใช่เหรอ?
เธอน่าจะไม่เคยมีอะไรแบบนี้
มีคนให้กระเป๋าราคาแพงกับเธอแท้ ๆ แต่เธอกลับไม่แยแส?
อวิ๋นเหมี่ยวอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “โย่วอี๋ ประธานลู่น่าจะซื้อของพวกนี้ให้คุณบ่อย ๆ สินะ”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “อืม เขาให้ของขวัญที่มีค่ามากกว่ากระเป๋ากับฉันมากเลยค่ะ”
ตอนนี้คนสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอารมณ์ไม่ดี พวกเขาจึงเดินออกไป
เหมยเหมยเก็บกระเป๋าของเธอด้วยความสงสัยเล็กน้อย “คุณซู ประธานลู่ให้อะไรคุณบ้างเหรอ”
เธอเป็นคนดูแลในชีวิตประจำวันของซูโย่วอี๋แท้ ๆ แต่ไม่เคยเห็นของมีค่าอะไรเลยนี่
แต่แล้วการแสดงออกที่ทำให้คนมาเห็นหมั่นไส้ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูโย่วอี๋
ก็ไม่รู้สินะ
จากนั้นไม่นาน เธอรู้สึกเบื่อจึงเลื่อนดูโพสต์ซุบซิบเกี่ยวกับลู่เฉิน โดยมันเขียนเอาไว้ว่าเขาเป็นหนุ่มฮอตที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดอันดับหนึ่งในจีน
โดยที่มีการประมูลกันใต้คลิป
การประมูลตัวของลู่เฉิน คืนเดียวสูงถึง 50 ล้านแล้ว!
ห้าสิบล้านต่อคืน!
เมื่อลองคำนวณดูแล้ว รายได้ที่มองไม่เห็นของซูโย่วอี๋จะสูงถึงหลายร้อยล้าน!
ดีกว่ากระเป๋าใบนี้เสียอีก
เมื่อฮันเจ๋อหยางมาถึง เขาเห็นซูโย่วอี๋นั่งยิ้มอยู่คนเดียวจึงเอ่ยปากถามเธอว่า “ทำไมเธอถึงมีความสุขจัง”
“ก็ได้ของขวัญนี่ ต้องมีความสุขอยู่แล้ว”
ฮันเจ๋อหยางถามเหมยเหมยผ่านสายตา เหมยเหมยก็เลยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ฮันเจ๋อหยางกลับแสดงความไม่พอใจออกมา “เธอก็ดูเหมือนคนที่ไม่ได้เห็นแก่ของแพงเลยนะ นี่แค่กระเป๋าใบเดียวก็ซื้อใจเธอได้แล้วเหรอ”
ซูโย่วอี๋รู้ว่าเขาเข้าใจผิด แต่ก็ไม่คิดอธิบาย “ใช่ ฉันก็เป็นคนแบบนี้แหละ ถ้ารุ่นพี่ซื้อกระเป๋าให้ฉัน ฉันก็จะคิดว่ารุ่นพี่เป็นคนดีมาก”
เธอจงใจยั่วโมโหเขา
ฮันเจ๋อหยางจ้องมาที่เธอสองสามวินาที จากนั้นเขาก็มอบกำปั้นให้เธอ
“ถ้าเธอชอบ ฉันก็จะซื้อให้เธอ! จะกี่สิบใบก็ได้ ดูสิว่าจะสู้กระเป๋าใบละหลายหมื่นใบนั้นได้หรือเปล่า? ถ้าเธอจะตาต่ำแบบนั้น ฉันก็จะฟาดเธอด้วยกระเป๋าใบละหลายแสนเลย”
จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็สนใจขึ้นมา “พี่ไม่ใช่พี่ชายของฉันสักหน่อย”
ทำไมถึงดีกับฉันจัง
จะซื้อกระเป๋าแพงขนาดนั้นให้ฉันเลยเหรอ?
ฮันเจ๋อหยางเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย “สาว ๆ อย่างพวกเธอนี่อ่อนไหวง่ายจริง ๆ ใครบอกว่าเธอไม่ใช่น้องสาวฉัน พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอกลับบ้านด้วยเลย และให้แม่รับเธอเป็นลูกสาว”
ซูโย่วอี๋หัวเราะเสียงดัง “เอาล่ะ ฮันเอินจีคงได้ขยุ้มหัวฉันแน่ ถ้าตอนนั้นพวกเราตบตีกัน พี่จะช่วยใคร”
แต่ทันใดนั้นทีมงานวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาบอกว่า “ผู้กำกับสวีให้มาบอกให้พวกคุณเตรียมตัวครับ การถ่ายทำจะเริ่มในอีกสิบนาที”
ทั้งสองจึงหยุดทะเลาะกันและหยิบบทออกมาท่อง
อาจกล่าวได้ว่าบทบาทของซูโย่วอี๋ในวันนี้มีความสำคัญที่สุด!
สวีโหมวตะโกนด้วยโทรโข่ง “เริ่มถ่ายทำ!”
ซูโย่วอี๋ถูกมัดไว้กับไม้กางเขนโดยที่เสื้อผ้าบนเรือนร่างของเธอขาดรุ่งริ่งและมีเลือดเปื้อน
เฟ่ยชินทั่วโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ทหารทั้งหมดออกจากคุกใต้ดิน และไม่ได้รับอนุญาตให้ดักฟังคำพูดของพวกเขา
ในคุกใต้ดินเกิดความเงียบสงัดขึ้นเป็นเวลานาน
เฟ่ยชินทั่วพูดช้า ๆ ราวกับไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงได้ “นี่เจ้าเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ”
ฮั่วเสวียนรู้ว่าตัวตนของนางไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่ได้ปฏิเสธ
“ใช่”
เฟ่ยชินทั่วตกตะลึง เขามองไปที่นางและพึมพำ “เจ้าเป็นหญิง จะลงมาที่สนามรบได้อย่างไร แล้วหญิงสาวจะเป็นแม่ทัพได้อย่างไร เป็นหญิงจะกล้าหาญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร”
ฮั่วเสวียนยิ้มอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เหตุใดถึงไม่ได้”
“แหกตาดูเสีย แม่ทัพผู้นี้เป็นตัวอย่างให้เจ้าแล้ว!”
ดวงตาของเฟ่ยชินทั่วกวาดไปทั่วใบหน้าขาว ลำคอที่เรียวยาว และผ้าคาดหน้าอกที่เปื้อนเลือดของฮั่วเสวียน
อีกทั้งแขนที่เปื้อนเลือดและนิ้วก้อยที่ขาดนั้นด้วย
ตามรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ฮั่วเสวียนไม่ได้ร้องขอความเมตตาเลยแม้แต่น้อย แม้ถูกตัดนิ้ว
เขามีทั้งความชื่นชมและสมเพชในแววตา “หญิงสาวไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งเพียงนี้ นี่ต้าเซี่ยไม่มีผู้อื่นแล้วหรืออย่างไร?”
เฟ่ยชินทั่วแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา “พวกเจ้าไม่กลัวว่าจะพ่ายแพ้เลยหรือ”
เฟ่ยชินทั่วจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป
“เรื่องนี้ข้าคงจัดการไม่ได้แล้ว ข้าจะรายงานให้ท่านผู้นำอูทราบโดยตรง ก่อนที่ท่านผู้นำอูจะกลับมา ข้าจะไม่ทรมานเจ้าอีก ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับท่านผู้นำอู”
หลังจากพูดจบเขาก็หันหลังกลับและจากไป
ฮั่วเสวียนมองไปที่แผ่นหลังที่แข็งแกร่งของเขา “เฟ่ยชินทั่ว ถ้าเจ้าต้องการที่จะฆ่าข้า ก็ลงมือเลย โปรดทำตามที่เจ้าต้องการ แต่อย่าพูดถึงการเป็นหญิงของข้า”
เฟ่ยชินทั่วไม่หันกลับมามอง “ข้าจะไม่พูดอะไร”
ฮั่วเสวียนผงะและสงสัยว่าเขากินอะไรผิดสำแดงไปหรืออย่างไร!
เฟ่ยชินทั่วคำนวณเวลา นี่ก็เป็นเวลาสี่วันแล้วนับตั้งแต่ครั้งที่เขาส่งจดหมายถึงท่านผู้นำอู
เขารู้จักท่านผู้นำอูดี ถ้าเขารู้ว่าฮั่วเสวียนถูกจับ เขาจะถอนกำลังทหารและกลับมาที่ค่ายเป็นแน่
กองทัพทั้งสองต่อสู้กัน แม้แต่ผู้นำของศัตรูก็ยังถูกจับ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป
หากขี่ม้าจากแนวหน้ามายังฐานของหร่งตี๋ เร็วที่สุดจะใช้เวลาสามวัน และท่านผู้นำอูน่าจะมาถึงในวันรุ่งขึ้น
ดังนั้นเฟ่ยชินทั่วจึงไม่ได้เขียนจดหมายเพิ่มเติมเพื่ออธิบายตัวตนของฮั่วเสวียน เพียงแต่รอเงียบ ๆ เพื่อให้ผู้บัญชาการกลับมาที่ค่าย
เขาไม่คาดคิดว่าท่านผู้นำอูจะมาเร็วกว่าที่คิด
ในคืนวันที่ห้า มีเสียงเกือกม้าดังกึกก้องนอกค่ายของหร่งตี๋ เฟ่ยชินทั่วลุกขึ้นจากเตียงทันที ก่อนที่เขาจะไปที่ประตูเพื่อต้อนรับ อูซือม่านก็ตรงไปที่ห้องของเฟ่ยชินทั่วทั้งที่อยู่ในชุดเกราะโดยพลัน
เขาเข้ามาอย่างร้อนรน!
“เจ้าจับฮั่วเสวียนได้หรือ?”
เฟ่ยชินทั่วไม่มีเวลาสวมเสื้อผ้า ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นและทำความเคารพทั้งอย่างนั้น “ขอรับท่านผู้นำ ตอนนี้เขาถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดิน”
อูซือม่านเพ่งดูสถานที่ที่อยู่ไม่ไกลอยู่นาน “เขาสารภาพอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ คนของข้า… ทรมานฮั่วเสวียน แต่นางไม่พูดอะไรสักคำ”
มุมปากของอูซือม่านกระตุกเล็กน้อยตามคาด “ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น”
เฟ่ยชินทั่วรู้สึกใจสลายเมื่อเห็นว่าท่านผู้นำหมายถึงอะไร ดูเหมือนว่าเขาจะมีความเห็นอกเห็นใจ
อูซือม่านลุกขึ้น “ช่างเถิด ข้าจะไปพบเขา”