Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 233 จูบฉัน
บทที่ 233 จูบฉัน
บทที่ 233 จูบฉัน
ซูโย่วอี๋อยู่อย่างนั้นจนถึงรุ่งสาง เธอนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดว่ากู่อวี๋เฉิงจะรู้สึกยังไงถ้าได้เห็นความคิดเห็นของชาวเน็ต
เขาจะเก็บมาใส่ใจไหม…
เธอลุกขึ้นนั่งจากเตียงด้วยความรู้สึกหนักใจ ก่อนจะโทรหาเหมยเหมยพร้อมกับรอยคล้ำใต้ตา “ขอเปลี่ยนไฟลท์ให้บินเร็วกว่านี้ได้ไหม”
“[เอ่อ ไม่น่าจะได้นะคะ ถึงจะเปลี่ยนให้เร็วขึ้น แต่ด้วยตารางงาน เราก็คงไปไม่ได้ คุณซูมีธุระด่วนอะไรหรือเปล่าคะ]”
ซูโย่วอี๋เกาหัวของเธอ “เปล่า งั้นเอาตามเดิมก็ได้”
เธอตื่นแต่เช้าเพื่อจัดกระเป๋าแล้วจัดผ้าปูที่นอนให้เรียบร้อย
แม้แต่ขยะก็ถูกเก็บออกไปวางไว้นอกประตู
เหมยเหมยเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะ “คุณซู คุณนี่ทำงานหนักจริง ๆ”
แม้ว่าซูโย่วอี๋อ่อนเพลีย แต่ก็ฮึกเหิม แปลกจริง ๆ
ส่วนเจ้าจิ้งจอกเน่าส่งเสียงร้องเมื่อเห็นว่าจะได้เห็นพี่ไป๋เป็นครั้งสุดท้าย
ซูโย่วอี๋คิดว่าไป๋เสิ่นเฉียวทำอาหารให้เธอกินเป็นเวลานาน เธอจึงควรจะบอกลาต่อหน้า จะได้เผยความรู้สึกที่จริงใจออกไป
แต่เมื่อเธอมาถึงห้องครัว ก็มีคนบอกว่า “คุณหมายถึงแม่ครัวสวย ๆ คนนั้นใช่ไหม เธอไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว เห็นบอกว่ากำลังจะไปซื้อสูตรอาหารที่ไหนสักแห่ง”
“เธอบอกว่าไม่ต้องบอกลา เดี๋ยวก็ได้เจอกันเร็ว ๆ นี้”
จิ้งจอกเน่ามองไปรอบ ๆ พร้อมกับชะเง้อดู แต่ก็ต้องก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
ซึ่งซูโย่วอี๋ก็สังเกตเห็นมัน “นี่ยังเช้าอยู่เลย ทำไมถึงทำสีหน้าแตกสลายแบบนั้น?”
จิ้งจอกเน่าหันกลับมาที่เธอ
“เธอกับลู่เฉินเป็นเพื่อนกัน เราได้พบเธออยู่แล้ว อีกอย่างนายสามารถดูภาพของคนอื่นแบบเรียลไทม์ได้ไม่ใช่เหรอ”
จิ้งจอกเน่ากวาดหางของมัน [ฉันมีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ฉันจะถือวิสาสะดูคนอื่นแบบนั้นได้ยังไง แล้วถ้าพี่ไป๋กำลังอาบน้ำอยู่ล่ะ]
[ได้ไม่คุ้มเสียเลยนะ]
แก้มของจิ้งจอกเน่ามีสีแดง มันดูน่ารักมาก
มุมปากของซูโย่วอี๋ยกยิ้มขึ้น จิ้งจอกเน่ากำลังมีความสุข
หลังจากเธอเดินไปรอบ ๆ ผู้กำกับสวีและฮันเจ๋อหยางก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว พวกเขาน่าจะไปที่กองถ่ายเพื่อถ่ายทำ
ซูโย่วอี๋จึงเดินตรงไปที่รถ MPV
ส่วนเหมยเหมยไปเก็บสัมภาระไว้ที่ท้ายรถ
อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่ควรปรากฏตัวกลับมายืนอยู่ข้างรถและโบกมืออย่างมีความสุขเมื่อเห็นเธอเดินผ่านไป
“โย่วอี๋”
แม้ซูโย่วอี๋จะสงสัย แต่เธอก็มียกยิ้ม “อรุณสวัสดิ์”
เสิ้งเซี่ยก้าวไปข้างหน้าและจับมือเธอ “คุณก็รู้ว่าช่วงนี้ฉันมีฉากค่อนข้างน้อย ช่วงนี้ฉันไม่ได้ถ่ายทำในส่วนของฉันเลย ทางบริษัทเลยโทรหาฉันว่ามีลูกค้าจากโฆษณาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวติดต่อมา ฉันก็เลยต้องกลับไปปักกิ่งก่อน”
ซูโย่วอี๋พอจะเดาได้ว่าเธอกำลังวางแผนอะไร
“ฉันขอติดรถคุณไปด้วยได้ไหม เมื่อกี้ฉันถามเหมยเหมยแล้ว เธอบอกว่ายังมีที่ว่างอยู่”
เหมยเหมยพูดไม่ออก
เสิ้งเซี่ยไม่ได้บอกว่าเธอต้องการติดรถไปด้วย เธอก็แค่ชวนคุยเรื่องทั่วไป แต่ตอนนี้เธอกลับมาบอกว่าเหมยเหมยสัญญาจะให้เสิ้งเซี่ยติดรถไปด้วย
ซูโย่วอี๋หยุดชะงัก “ไปด้วยกันสิคะ”
เสิ้งเซี่ยดูดีใจ “โย่วอี๋ใจดีจัง ขอบคุณนะ”
หลังจากเข้าไปในรถ MPV เธอก็ชื่นชมการตกแต่งภายใน
“ว้าวเสี่ยวอี๋ รถของคุณหรูมาก ไม่เหมือนรถคันอื่นเลย มองแวบแรกก็รู้แล้วว่ามันต้องแพงมากแน่ ประธานลู่ดูแลคุณดีมากเลยนะ”
แต่ซูโย่วอี๋ไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดของอีกฝ่าย “ไม่รู้สิ”
เธอไม่รู้จริง ๆ เพราะเธอไม่เคยนั่งรถคันอื่นเลย
จากนั้นรถเริ่มแล่นช้า ๆ ทิวทัศน์ในโม่เป่ยพาดผ่านสายตาของเธอไปเรื่อย ๆ
เสิ้งเซี่ยพูดพล่ามไปเรื่อย ดูเหมือนเธอจะสนใจความสัมพันธ์ของเธอกับลู่เฉินเป็นพิเศษ
“โย่วอี๋ ประธานลู่ใจดีกับคุณเสมอเลยเหรอ เขาเคยให้อะไรแพงกว่านี้ไหม”
ซูโย่วอี๋แอบนึกถึงมันแล้วตอบว่า “ไม่มี”
เสิ้งเซี่ยแสดงสีหน้าไม่เชื่อ “ไม่มีทาง พวกกระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับ รถยนต์ เขาไม่เคยให้เหรอ”
“ไม่เคย”
แม้ว่าลู่เฉินจะให้บ้านเธออยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ให้เธอ
ถือว่าไม่นับ
น้ำเสียงเสิ้งเซี่ยดูผิดหวัง “ประธานลู่เป็นคนค่อนข้างเอาใจใส่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ฉันคิดว่าการได้เป็นแฟนกับเขา คุณน่าจะมีความสุขมากแน่เลย”
ซูโย่วอี๋ไม่อยากพูดคุยเรื่องนี้อีกต่อไป แต่เธอก็อยากให้ทุกคนมองลู่เฉินในแง่ดีด้วยเหมือนกัน “ฉันมีความสุขมากจริง ๆ”
เสิ้งเซี่ยตกตะลึง “มีความสุขแค่ไหน?”
ซูโย่วอี๋แสร้งทำเป็นครุ่นคิด “เขาหล่อ ใช่ แค่มองก็มีความสุขมากแล้ว”
เสิ้งเซี่ย “…”
หล่อแล้วกินได้หรือไง?
ซูโย่วอี๋กำลังจะอวดว่าผู้มีพระคุณของเธอทั้งหล่อทั้งรวยอย่างนั้นเหรอ?
แต่ทว่าซูโย่วอี๋ไม่สนใจสิ่งที่อีกฝ่ายคิด เธอเอาผ้าห่มผืนบางมาคลุมไว้และนอนหลับไป
ในที่สุดบรรยากาศในรถก็ตกอยู่ในความเงียบ
ทั้งสองจองเที่ยวบินเดียวกันแต่โชคดีที่นั่งแยกกัน
ทั้งซูโย่วอี๋และเหมยเหมยนั่งติดกัน
เหมยเหมยจึงมีเวลาอธิบาย “คุณซู ฉันไม่ได้สัญญากับเธอว่าจะให้เธอติดรถมากับเรา”
“ฉันเข้าใจ ไม่เป็นไร นั่งลงเถอะ”
เหมยเหมยยังคงตำหนิตัวเองว่าเธอจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี
แต่ซูโย่วอี๋ง่วงนอนมาก เธอนอนหลับไปจนเครื่องลงจอด
เมื่อถึงที่หมาย เหมยเหมยสะกิดไหล่เธอ “คุณซู เราถึงปักกิ่งแล้ว”
ซูโย่วอี๋พูดด้วยความงุนงง “ถึงแล้วเหรอ”
เมื่อเห็นเสิ้งเซี่ยจากหางตา เธอก็รีบจูงเหมยเหมยไปข้างหน้าด้วยมือข้างเดียว
เธอไม่อยากคุยกับเสิ้งเซี่ยแล้ว
เพราะอย่างนั้นไม่ต้องยุ่งกับอีกฝ่ายจะดีที่สุด
แต่เสิ้งเซี่ยยังคงต้องการเดินไปกับพวกเธอ แต่เธอถูกฝูงชนขวางไว้และไม่สามารถลุกขึ้นได้
ที่ด้านนอกสนามบิน ลู่เฉินมารอเธออยู่แล้ว
ซูโย่วอี๋เปิดสัญญาณโทรศัพท์มือถือของเธอก่อนจะเห็นข้อความที่ลู่เฉินส่งมา จึงจำได้ว่าเขาสัญญาจะมารับเธอที่สนามบิน
หญิงสาวรีบจัดผมให้เรียบร้อย “เหมยเหมย ฉันดูดีหรือยัง”
เหมยเหมยกระพริบตาปริบ ๆ “ถึงคุณจะสวมหน้ากากกับแว่นกันแดด แต่คุณก็ยังดูเป็นผู้หญิงที่สวยมากค่ะ”
เธอแอบถามเบา ๆ “ประธานลู่มารับคุณที่นี่เหรอ”
“อื้ม” ซูโย่วอี๋ยกยิ้มอย่างมีความสุขโดยไม่ปิดบังอะไร
“งั้นฉันไม่กวนพวกคุณสองคนแล้ว เดี๋ยวฉันจะนั่งแท็กซี่กลับบริษัทเองนะคะ”
ตอนที่เหมยเหมยพาซูโย่วอี๋ไปส่งที่รถของลู่เฉิน เธอก็เห็นว่าเขากำลังคุยธุระอยู่
ซูโย่วอี๋เคาะกระจกรถ ลู่เฉินวางโทรศัพท์มือถือและลงจากรถ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชาและเคร่งขรึมของเขา ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นเปล่งประกายเจิดจ้าเมื่อต้องแสงแดด
หัวใจของซูโย่วอี๋อ่อนยวบลงในทันที
เธอคิดถึงลู่เฉินมากเมื่อต้องห่างไกลกัน
เธอไม่เคยเบื่อที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับเขา
เป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากต้องแยกกันไปนาน
และในเมื่อคน ๆ นี้ยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว ซูโย่วอี๋ก็เข้าไปกอดลู่เฉินอย่างไม่ลังเล
“ฉันคิดถึงคุณมากเลย”
แม้ว่าลู่เฉินจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้น แต่เขาก็อดยิ้มที่มุมปากไม่ได้ ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ผมก็คิดถึงคุณ”
มันอบอุ่น
เหมยเหมยจากไปอย่างเงียบ ๆ
ส่วนซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขน เธอเปล่งน้ำเสียงอันนุ่มนวลออกมาอย่างแผ่วเบา “จูบฉันสิ”
ดวงตาของลู่เฉินหรี่ลงทันที เขาถอดหน้ากากออกด้วยนิ้วเรียวยาวของเขา และลดศีรษะลงเพื่อประทับรอยจูบกับริมฝีปากของหญิงสาว
ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
หัวใจของเธอเต้นระส่ำระส่าย
แต่แล้วซูโย่วอี๋ก็เป็นคนผลักลู่เฉินออกเบา ๆ และมองไปรอบ ๆ “ฉันเป็นบุคคลสาธารณะนะ”
“คุณเพิ่งมานึกออกตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ?”