Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 245 เปลื้องผ้าและโยนออกไป
บทที่ 245 เปลื้องผ้าและโยนออกไป
บทที่ 245 เปลื้องผ้าและโยนออกไป
ดวงตาของลู่เฉินแน่วแน่ ช่วงเวลาที่ซูโย่วอี๋สัมผัสตัวเขานั้นทั้งร่างกายราวกลับถูกปลอบประโลม เขากลับมาได้สติอีกครั้ง
เหมือนกับว่าคนที่ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขา
เหอมี่มี่มองดูเฉินเฉินที่พื้น เลือดที่อาบไปทั่วใบหน้าของเฉินเฉินทำให้เธอตกใจจนหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด
ภาพนี้ทำให้เธอไม่กล้าพูดเรื่องกฎหมายอะไรขึ้นมาอีก
น้ำเสียงของลู่เฉินเบาลงจนเป็นปกติ “จับพวกเขาเปลื้องผ้าแล้วโยนออกไปจากคลับนี้ซะ”
บอดี้การ์ดเดินเข้าไปหาทั้งสองคนในทันที ทำให้เหอมี่มี่กลัวจนต้องถอยหลังหนี “ออกไป พวกแกออกไปให้หมดนะ”
แต่ผู้หญิงคนเดียวจะสู้แรงผู้ชายตัวใหญ่ได้อย่างไร เธอถูกจับถอดเสื้อผ้าเหลือเพียงชุดชั้นในอย่างรวดเร็วและยืนตัวสั่นอยู่ที่ห้องโถงใหญ่
สิ่งแรกที่รู้สึกคือความหนาว ถัดมาคือความกลัว
ตอนที่บอดี้การ์ดถอดเสื้อผ้าของพวกเขาออก กู่อวี๋เฉิงหมุนตัวกลับเพื่อหันหน้าหนีและยกมือขึ้นไปปิดตาซูหยิน
“อย่าดู”
ริมฝีปากสีแดงของซูหยินยกยิ้มขึ้น “คุณกู่ ฉันไม่กลัวหรอกนะ”
เสี่ยวเหล่าซานและปานจ่างกระซิบกระซาบกัน “นี่มันคือการรังแกคนโสดที่ไม่มีใครต้องการแบบพวกเราสินะ”
ไป๋เสิ่นเฉียวเตะเท้าของเขา “พอเถอะ ฉันดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ”
ฮันเจ๋อหยางยืนอยู่นานจนรู้สึกเมื่อย เขาดึงเก้าอี้ออกมานั่งลง รอให้การลงโทษนี้จบลงอย่างเบื่อหน่าย
ไป๋เสิ่นเฉียวไม่รู้ว่าคิดอะไรออก ทำให้เสี่ยวเหล่าซานถึงกับขมวดคิ้ว “ฉันมีวิธีหนึ่ง”
บอดี้การ์ดลากเหอมี่มี่ออกไปด้านนอก ไป๋เสิ่นเฉียวและคนอื่น ๆ ก็เดินตามออกไปอย่างเงียบ ๆ
เหอมี่มี่พยายามดิ้นไม่หยุด พลางตะโกนแหกปากร้องจนอยู่ดี ๆ บอดี้การ์ดก็ปล่อยตัวเธอ
เหอมี่มี่นิ่งค้างไป “พวกแก…”
ยังไม่ทันพูดจบ สายตาของเธอก็มืดมนลง ตามด้วยการต่อยและเตะอันหนักหน่วง
“อ่า”
เกิดเสียงที่เหมือนกับการเชือดหมูดังขึ้น
ในห้องโถงใหญ่
ดวงตาของเฉินเฉินบวมจนมองแทบไม่เห็น เขามองไปทางซูโย่วอี๋ แต่มองเห็นเพียงโครงร่างที่เรียวบางเท่านั้น
“โย่วอี๋”
“ผมผิดไปแล้ว”
ทุก ๆ คำที่เฉินเฉินพูดออกมาทำให้เขารู้สึกเจ็บคอเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงพยายามจะพูดต่อไป “ผมขอโทษจากใจจริง ตอนแรกผมสมควรตายที่เล่นกับความรู้สึกของคุณ ทั้งความเป็นห่วงของคุณ และทำเหมือนว่ามันเป็นเรื่องน่ารำคาญ”
“ผมมีคนที่ดีที่สุดในโลกอยู่ข้าง ๆ แล้วแท้ ๆ แต่กลับเอาแต่แสวงหาความตื่นเต้นอย่างไม่รู้จักพอ”
“เป็นเพราะผมพอมีฐานะและเงินทอง แต่กลับหลงลืมความตั้งใจเดิมไป คุณยกโทษให้ผมได้ไหม?”
เขากระอักเลือดออกมาจากปาก
อารมณ์ในดวงตาของซูโย่วอี๋ไม่สามารถอธิบายอะไรออกมาได้เลย
คำขอโทษของเขามันสายเกินไปแล้ว
เธอไม่ต้องการมันอีกต่อไป
“ลู่เฉิน”
“ผมอยู่นี่”
“จับเขาโยนออกไป”
“ได้”
บอดี้การ์ดลากเฉินเฉินออกไป จากนั้นคนทำความสะอาดรีบเข้ามาทำความสะอาดพื้นอย่างรวดเร็ว ห้องโถงใหญ่ในคลับแห่งนี้กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ซูโย่วอี๋หันหน้ากลับมา เห็นเพียงกู่อวี๋เฉิงและซูหยิน “หยินหยิน พวกเสิ่นเฉียวล่ะ?”
“น่าจะกำลังล้างแค้นให้เธออยู่มั้ง”
พอพูดจบ ผู้คนก็เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงหัวเราะ
“พวกคุณจัดการด้านนี้เรียบร้อยแล้วเหรอ?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ขอโทษด้วยนะคะ วันนี้ฉันสร้างปัญหาให้พวกคุณครั้งใหญ่เลย”
เรื่องธุรกิจไม่ต้องไปพูดถึง แต่การลงไม้ลงมือกับคนอื่นแบบนี้จะมีผลกระทบอะไรบ้างก็ไม่รู้
เสี่ยวเหล่าซานตบลงที่หน้าอกของตัวเอง “พี่สะใภ้ขี้เกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องแค่นี้แค่ขี้ปะติ๋ว พอดีช่วงนี้เรากำลังเบื่อ ๆ ถือซะว่าสร้างความบันเทิงแล้วกัน”
“พวกคุณยังจะเล่นเกมกันอยู่ไหม?”
ทุกคนดูไม่มีอารมณ์เล่นต่อแล้ว
ไป๋เสิ่นเฉียวเลยนำเสื้อโคตมาพาดไว้ที่ไหล่ “ไปเถอะ กลับบ้านไปนอน”
“โย่วโย่ว ซูหยิน ถ้าอยากกินอาหารที่ฉันทำมาที่โรมแรมเซิ่งชิงเฟิงได้ตลอดเลยนะ”
ฮันเจ๋อหยางโน้มตัวไปข้างหน้า “ฉันด้วยได้ไหม?”
เสิ่นเฉียวมองเขาเพียงแวบเดียว “ได้อยู่แล้ว แค่จ่ายเงินมาก็พอ”
ฮันเจ๋อหยางรีบตามไปและหันกลับมา “ประธานลู่ ผมไปก่อนนะ”
“เสิ่นเฉียว ตอนนี้เธอเข้าข้างคนอื่นเป็นแล้วเหรอ”
“ขอโทษนะ ฉันก็เป็นแบบนี้มาตลอดต่างหาก”
เสียงดังนั้นค่อย ๆ จางหายไป
กู่อวี๋เฉิงและซูหยินเดินเข้ามา “ประธานลู่ ผมไปส่งซูหยินกลับบ้านก่อนนะ”
ซูโย่วอี๋โพล่งขึ้นมา “หยินหยินไปพร้อมพวกเราเลยดีไหม?”
พวกเราแค่อยู่กันคนละชั้น และเธอเองก็ไม่อยากให้กู่อวี๋เฉิงต้องวนรถไปคนเดียว แต่หลังจากที่พูดออกไปกลับรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมอย่างไรไม่รู้แฮะ
กู่อวี๋เฉิงดูลังเลแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธ
“ที่รัก เธอตั้งใจใช่ไหมเนี่ย เธอมีประธานลู่ให้จู๋จี๋ด้วยแล้วนี่ แล้วฉันล่ะ ฉันต้องไปกับคนของฉันสิ มีคนขับรถของตัวเองไม่ดีหรือไง?”
ซูโย่วอี๋เขินอายและมองไปยังลู่เฉิน “พวกเราไปกันเถอะ”
เสี่ยวเหล่าซานและปานจ่างไปส่งทั้งสองออกจากคลับ
“ไว้มาเที่ยวที่นี่บ่อย ๆ นะ”
จากเรื่องในคืนนี้ ซูโย่วอี๋เข้าใจคำว่าเที่ยวเล่นของเสี่ยวเหล่าซานแล้ว
เธอยิ้มอย่างสุภาพและเดินหายไปบนท้องถนน
เมื่อกลับมาถึงเป่ยสืออี้ผิน ลู่เฉินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีรอยเปื้อนเลือดออก
ส่วนซูโย่วอี๋หยิบเสื้อผ้าออกมาจากตะกร้าซักผ้าและเตรียมนำไปซัก
แต่ลู่เฉินยื่นมือออกมา เขาหยิบเสื้อผ้าแล้วตรงไปที่ประตู “ไม่เอาแล้ว”
ในใจของซูโย่วอี๋รู้ดีว่าลู่เฉินเกลียดเฉินเฉินมากแค่ไหน จึงไม่ได้พูดอะไร
มันก็แค่เสื้อผ้าชุดหนึ่ง
หลังจากทำตัวอ้อยอิ่งอยู่นาน ซูโย่วอี๋ก็ผล็อยหลับไป ลู่เฉินมองดูใบหน้าที่หลับใหลของเธอพร้อมกับผมที่เปียกเล็กน้อย เขาเข้าไปจูบที่หน้าผากของเธอด้วยความรัก
เวลาผ่านไป วันที่คุณนายลู่จะกลับมาที่ปักกิ่งก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น กลุ่มบริษัทการเงินหลักที่เหลืออีก 9 แห่งในกรุงปักกิ่งและหลายครอบครัวในตระกูลชนชั้นสูงได้รับจดหมายเชิญสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศล
สถานที่นัดพับคืออาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ เวลาคือวันอังคารหน้าตอนสิบโมงเช้า พูดง่าย ๆ ก็คือคุณนายลู่กลับมาปักกิ่งวันจันทร์ วันอังคารก็ถูกเชิญให้ไปเข้าร่วมงานครั้งใหญ่นี้
งานเลี้ยงนี้มีจุดประสงค์เพียงแค่ต้องการบอกทุก ๆ คนว่าเธอกลับมาแล้ว!
ซูโย่วอี๋รู้เรื่องนี้ดี เพราะคุณนายลู่ส่งคำเชิญมาให้เธอเอง
ด้วยสถานะในปัจจุบันของซูโย่วอี๋ เธอไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมอาหารค่ำเพื่อการกุศลในครั้งนี้ได้
แต่คุณนายลู่กลับส่งคำเชิญมาให้เธอ!
ซูโย่วอี๋คิดทบทวนไปมา จากนั้นกดโทรศัพท์โทรหาลู่เฉินเพื่อบอกเรื่องนี้กับเขา
ปลายสายโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมา [เธออยากเจอคุณ]
[อยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร คุณสบายใจแบบไหนก็เอาตามนั้น]
เดิมทีซูโย่วอี๋ไม่ได้อยากไปสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินคำพูดของลู่เฉิน ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักถึงความตั้งใจจริงของคุณนายลู่ขึ้นมา
ในใจของคุณนายลู่ยังไม่ยอมรับลูกสะใภ้อย่างซูโย่วอี๋ แน่นอนว่าไม่มีทางยอมเจอเธอเป็นการส่วนตัวแน่ ๆ
อีกอย่างหนึ่ง ลู่เฉินกลัวว่าคุณนายลู่จะทำเรื่องอะไรไม่ดีกับซูโย่วอี๋ในงานอาหารค่ำเพื่อการกุศลนี้ จึงไม่อยากพาเธอไปร่วมงาน
ดังนั้นคุณนายลู่จึงส่งคำเชิญมาให้เธอเอง
เหมือนกับจะบอกว่าฉันไม่ต้องออกไปหาเธอด้วยตัวเอง แต่เธอจะต้องออกมาหาฉัน
ซูโย่วอี๋ตอบกลับ “ลู่เฉิน ฉันจะไปค่ะ”
อย่างไรเสียเธอก็เป็นแม่ของคุณ
ลู่เฉินตอบกลับมา [ครับ คุณไม่ต้องประหม่านะ เธอทำอะไรคุณไม่ได้หรอก]
ไม่ใช่ไม่กล้า แต่ไม่สามารถต่างหาก
ซูโย่วอี๋ยิ้มอย่างเข้าใจ “ฉันเชื่อคุณค่ะ”
ในเวลาเดียวกัน จดหมายคำเชิญนี้ถูกส่งไปยังตระกูลฮัว
ซึ่งฮัวจิงไม่อยู่
หลังจากที่อวิ๋นจิ้งหว่านแท้งลูก เธอก็อ่อนแอลงมากและกำลังพักฟื้นอยู่ แม่บ้านจึงวางบัตรเชิญไว้บนโต๊ะและไม่ได้นำเอาเรื่องพวกนี้ไปรบกวนเธอ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตระกูลฮัวเต็มไปด้วยบรรยากาศเคร่งเครียด อารมณ์ของคุณนายฮัวผู้อ่อนโยนเปลี่ยนไปหลังแท้งลูก เธอมักจะอารมณ์เสียใส่คนรับใช้และโยนข้าวของในบ้านจนแตกหักเสียหาย
เมื่อก่อนการรับใช้คุณนายฮัวเคยเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็แย่งกัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้