Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 249 มรดกตกทอดของตระกูล
บทที่ 249 มรดกตกทอดของตระกูล
บทที่ 249 มรดกตกทอดของตระกูล
หลังจากที่ฮันเจ๋อหยางออกไปแล้ว ฮันเจ๋อเหยียนก็เดินไปที่โถงโดยล้วงมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋า
ขณะที่ทั้งสองหายไป ที่มุมหนึ่งก็มีคนเดินออกมา คน ๆ นั้นคือฮันเอินจี
เธอไล่ตามพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองของเธอมา แต่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินบทสนทนาเช่นนี้
พี่… ยังสงสัยว่าเธอไม่ใช่คนตระกูลฮันเหรอ?
เขาตัดสินใจตรวจดีเอ็นเอโดยไม่สนใจความรู้สึกของเธอ
ฮันเอินจีกำมือแน่นด้วยหัวใจที่ยุ่งเหยิง เธอเชื่อมั่นมาตลอดว่าเธอเกิดมาเป็นลูกแท้ ๆ ของพ่อและแม่ แต่ทันทีที่เธอนึกถึงใบหน้าของซูโย่วอี๋ ความมั่นใจที่มั่นคงก็เริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง
ถ้าเธอถูกสลับตัวกับซูโย่วอี๋จริง ๆ งั้นเธอก็เป็นเด็กกำพร้างั้นเหรอ?
ซูโย่วอี๋เป็นลูกสาวของตระกูลฮันที่ควรเติบโตขึ้นมาด้วยความเอาใจใส่สินะ
ไม่นะ…
ความคิดนี้อาจทำให้ฮันเอินจีแทบบ้า เธอจึงอดที่จะเดินตามไปเงียบ ๆ ไม่ได้
ห้องจัดงานเลี้ยง
ฮันเจ๋อหยางมองไปซ้ายขวาก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าลู่เฉินไม่ได้อยู่กับซูโย่วอี๋ ก่อนจะเดินไป
ไป๋เสิ่นเฉียวเหลือบมองเขา “พูดอะไรกัน ทำไมนานจัง?”
“ไม่มีอะไร พี่ใหญ่ไม่ได้เจอฉันนานเลยคิดถึงน่ะ”
ไป๋เสิ่นเฉียวที่ไม่มีพี่น้องไม่เข้าใจ “ใช่ สายสัมพันธ์พี่น้องช่างลึกซึ้ง”
ฮันเจ๋อหยางเดินไปหาซูโย่วอี๋และดึงผมเธอออกมา 2-3 เส้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
จนซูโย่วอี๋รู้สึกเจ็บ “รุ่นพี่ฮันเจ๋อหยางทำอะไรน่ะ?”
เธอเอามือลูบหัวป้อย ๆ ขณะที่พูด
ฮันเจ๋อหยางถือเส้นผมตรงหน้าพลางมองดูอย่างระมัดระวัง “ผมของเธอดำสวย ฉันเลยจะเอามันไปศึกษาสักหน่อย”
ซูโย่วอี๋กลอกตา “รุ่นพี่จะเปลี่ยนไปทำธุรกิจด้านเส้นผมงั้นเหรอ?”
“ฮ่า ๆ ไม่หรอกน่า”
ทั้งสองทะเลาะกันบ่อยในกองถ่าย ดังนั้นซูโย่วอี๋จึงไม่สงสัย เพราะคิดว่าฮันเจ๋อหยางแค่เบื่อ
ฮันเจ๋อหยางจ้องมองไปที่เส้นผมอยู่นาน แต่ไม่รู้ว่าจะเอาผมไปใส่ในกระเป๋าตนอย่างไร
เขาสามารถถอนเอามาดูเล่นได้ แต่ไม่รู้จะอ้างเหตุผลอะไรเพื่อจะเก็บมันไป
เมื่อเขาไม่สามารถเสแสร้งได้อีกต่อไป ฮัวจิงก็ปรากฏตัวขึ้น
ฮัวจิงมาที่นี่คนเดียว
ฮัวจิงดึงดูดสายตาของซูโย่วอี๋และคนอื่น ๆ ในทันที
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยินก็จางหายไปทันทีเช่นกัน เธอหันศีรษะเพื่อมองไปทางอื่น
ซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันแถลงข่าว แต่เธอกลัวว่าซูหยินจะไม่สบายใจ “หยินหยิน ทำไมเธอไม่กลับไปก่อนล่ะ?”
ซูหยินมองไปที่กู่อวี๋เฉิงที่อยู่ไม่ไกลแล้วส่ายหัว “ฉันไม่สามารถอยู่ใต้เงาของเขาได้ตลอดไป มีกู่อยู่ที่นี่ ฉันไม่กลัวหรอก”
จู่ ๆ ไฟในกลุ่มผู้ชมก็ดับลง เหลือเพียงสปอตไลต์ดวงเดียวบนเวที
คนหนึ่งก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างช้า ๆ ท่ามกลางความสนใจของทุกคน ก่อนเธอจะไปยืนอยู่ตรงกลางเวที
เธอสวมชุดยาวสีน้ำเงินที่มีดอกกุหลาบสีแดงเข้มที่อกซ้าย ผมของเธอดัดลอนและถูกหวีเก็บอย่างเรียบร้อยโดยไม่เหลือผมโดดสักเส้น
เธอแต่งหน้าเบา ๆ ดูสวยสง่า
เทียบกับรูปถ่ายบนอินเทอร์เน็ต ซูโย่วอี๋คิดว่าคุณนายลู่เป็นหญิงแกร่ง แต่การได้เห็นตัวจริงกลับรู้สึกแตกต่างออกไป
อีกฝ่ายดูอ่อนหวานขึ้นมาก
ไม่รู้ลู่เฉินว่ากลับมาอยู่ข้างเธอเมื่อไหร่ อีกฝ่ายกุมมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้อย่างเงียบ ๆ
“สวัสดีทุกคน ฉันหนิงเชิง”
คุณนายลู่ แซ่ของเธอคือหนิงและชื่อของเธอคือเชิง
พูดได้เพียงประโยคเดียวก็มีเสียงปรบมืออย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากผู้ชม ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงเกียรติของตระกูลลู่และคุณนายลู่
วงดนตรีลงจากเวทีไป ห้องโถงเต็มไปด้วยเก้าอี้ แต่ละตัวมีป้ายหมายเลข
แขกนั่งลงอย่างรวดเร็ว
“ฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เชิญทุกท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อการกุศลครั้งที่ 7 ซึ่งจัดขึ้นโดยลู่กรุ๊ป เรายึดมั่นในอุดมคติในการทำประโยชน์ให้กับโลกมาโดยตลอด และหวังว่าจะได้ตอบแทนสังคมผ่านความพยายามของทุกคนที่นี่”
“เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ระดมได้ในคืนนี้จะถูกเปิดเผยสู่สาธารณะภายใต้การดูแลของมวลชนและกระทรวงกิจการพลเรือน เงินเพื่อการกุศลจะถูกส่งมอบให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลบนภูเขาเพื่อการศึกษา”
“เช่นนั้นเราจะเริ่มการประมูลเพื่อการกุศลในคืนนี้กัน งานชิ้นแรกที่ฉันบริจาคคือผลงานที่มีชื่อเสียงของอาจารย์เจี๋ยลัวเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ‘ฝนฤดูใบไม้ผลิ’ ราคาเริ่มต้นที่สามล้านหยวน”
เจ้าหน้าที่จะแสดงรายการประมูลซึ่งเป็นผลงานเขียนอักษร
ฝีพู่กันคมและไหลรื่น ดูมีเอกลักษณ์
ลู่เฉินหันไปด้านข้างเล็กน้อย “คุณชอบไหม?”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องการเขียนพู่กัน การคัดลายมือ หรือการวาดภาพ ฉันบอกไม่ได้หรอกว่าชอบหรือเปล่า”
“มูลค่าของงานอาจารย์เจี๋ยลัวนั้นไม่สูงนักในแง่ของมูลค่าทางศิลปะ เพราะอาจารย์เจี๋ยลัวถึงแก่กรรมเมื่อสองปีที่แล้ว งานเขียนตัวอักษรและภาพวาดชิ้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่จึงเริ่มเป็นที่ต้องการของผู้คน ปกติมูลค่าของงานเขียนตัวอักษรนี้อยู่ที่ประมาณห้าล้าน”
อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังคงยืนยกป้ายหมายเลขเพื่อประมูลราคา ราคาประมูลพุ่งสูงถึงแปดล้าน
“แปดล้านครั้งที่หนึ่ง”
“แปดล้านครั้งที่สอง”
“แปดล้านครั้งที่สาม ขายครับ”
“ขอแสดงความยินดีกับแขกหมายเลข 27 ที่ชนะการประมูลผลงาน ‘ฝนฤดูใบไม้ผลิ’ ของอาจารย์เจี๋ยลัว”
ซูโย่วอี๋ได้แต่ถอนหายใจกับรสนิยมของคนรวย
ต่อมาสิ่งของจำนวนมากรวมถึงภาพวาดที่มีชื่อเสียงอย่างหยก เหรียญที่ระลึก ไวน์ที่มีชื่อเสียง และอื่น ๆ รวมถึงงานฝีมือก็ถูกนำออกมาประมูล
ทั้งเสื้อถัก สร้อยคอ สร้อยข้อมือทำมือ และเครื่องปั้นดินเผา
ราคาเดิมอาจจะอยู่ที่หลักสิบหรือหลักร้อย แต่สุดท้ายก็ขายได้ในราคาหลักหมื่น
สมแล้วที่เป็นการกุศล
ซูโย่วอี๋คิดว่าหากมีของชิ้นเล็กที่ถูกกว่า เธอคงจะซื้อเพื่อแนะนำตัวต่อหน้าคุณนายลู่และสร้างความประทับใจที่ดี
แต่เธอไม่ได้คาดหวังว่าของล็อตต่อไปจะเริ่มต้นที่ราคาขั้นต่ำยี่สิบล้านหยวน!
แหวนโมราสีมรกตซึ่งผลิตขึ้นในสมัยราชวงศ์หยวนที่มีประวัติอันยาวนาน
ทันทีที่กล่องถูกเปิดออก สีหน้าของลู่เฉินก็เคร่งเครียดขึ้น
แหวนนี้ถูกส่งต่อจากตระกูลลู่รุ่นสู่รุ่นและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นไปยังลูกสะใภ้ การที่คุณนายลู่นำแหวนขึ้นประมูล ก็เห็นได้ชัดว่าเธอไม่พอใจซูโย่วอี๋
ผู้ที่รับรู้เรื่องนี้ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
ซูโย่วอี๋มองไปที่ผู้คนรอบตัวและถามด้วยเสียงต่ำว่า “ลู่เฉิน แหวนวงนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ?”
“คุณชอบมันไหม?”
ลู่เฉินไม่ตอบคำถามของซูโย่วอี๋
หืม?
ซูโย่วอี๋ตกตะลึง “ฉันไม่ชอบเลย”
ลู่เฉินแค่นหัวเราะ “ถ้าคุณชอบ ผมจะเอามาให้คุณ ถ้าคุณไม่ชอบ… ก็ลืมมันไปซะ”
ไม่สำคัญว่าหนิงเชิงจะยอมรับซูโย่วอี๋หรือไม่ หากซูโย่วอี๋ไม่ต้องการแหวนวงนี้เพื่อพิสูจน์ตัวตนของลูกสะใภ้ ลู่เฉินก็ไม่ว่าอะไร
เสียงกระทบกันของไม้ดังขึ้นเป็นสัญญาณเริ่มการประมูล
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะราคาเริ่มสูงเกินไปหรือเพราะทุกคนเข้าใจสถานะของแหวนนี้ จึงไม่มีใครเสนอราคา
หนิงเชิงยิ้ม “ฉันสวมแหวนนี้มาหลายปีแล้ว และฉันก็ลังเลจริง ๆ ที่จะถอดมันออก ฉันไม่คิดเลยว่าจะไม่มีใครต้องการมัน”
ซูโย่วอี๋ใช้มือแตะป้ายหมายเลขด้านหลังเธอและลังเลอยู่พักหนึ่ง
หากการประมูลแหวนไม่สำเร็จ คุณนายลู่จะเสียหน้าหรือเปล่า?
แต่ยี่สิบล้านมันก็แพงมากเลยนะ
เงินที่เธอได้จากละครรักในฝันคือห้าสิบล้าน เธอสามารถจ่ายได้ตราบใดที่เงินเข้าบัญชีภายในสองวันนี้
พอซูโย่วอี๋กำลังจะเสนอราคา เสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้นข้างหน้าเธอ “ยี่สิบเอ็ดล้าน”
… ฮันเอินจี
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่มีคนซื้อมันก็ดีแล้ว
แต่ในวินาทีถัดมา เธอได้ยินการสนทนาข้างหลังเธอ
“แหวนวงนี้เป็นมรดกตกทอดของตระกูลลู่ แม้ว่ามันจะไม่ได้ล้ำค่ามาก แต่ก็มีความสำคัญและถูกส่งต่อให้ลูกสะใภ้มาโดยตลอด”
“ประธานลู่มีแฟนแล้ว แต่คุณหนูฮันมาทำอะไรในการประมูลครั้งนี้ล่ะ เธอชอบมันงั้นเหรอ?”
“เธอไม่รู้เหรอ คุณฮันเคยหมั้นหมายกับคุณลู่ตั้งแต่เด็กนะ นี่อาจจะเป็นการแสดงความในใจของเธอ”
“อย่างนี้… คุณซูไม่อับอายแย่เหรอ?”
“ถูกต้อง คุณนายลู่จะต้องไม่พอใจมากแน่ เธอถึงได้ขายแหวนทิ้ง”