Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 251 ไม่ได้รังแกกันได้ง่าย ๆ
บทที่ 251 ไม่ได้รังแกกันได้ง่าย ๆ
บทที่ 251 ไม่ได้รังแกกันได้ง่าย ๆ
สีหน้าของสุ่ยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ซูโย่วอี๋คิดทบทวนอย่างจริงจังแล้ว “ประธานฮัน นี่คุณจริงจังใช่ไหมคะ?”
ใบหน้าของฮันเจ๋อเหยียนดูเป็นปกติ “ในสายตาของผม แหวนวงนี้ก็เหมือนก้อนหินข้างถนน ผมอยากให้ก็คือให้ ถ้าคุณไม่ต้องการ มันก็จะกลายเป็นภาระของผม”
“อีกอย่าง แหวนวงนี้ที่ผมให้คุณก็เหมือนกับคืนมันให้กับเจ้าของเดิม”
ซูโย่วอี๋คิดไม่ถึงมาก่อนเลยว่าฮันเจ๋อเหยียนจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา ท่าทางของเขาไม่ได้ดูเสแสร้งเลยสักนิด แต่เธอก็ปฏิเสธ “ประธานฮัน สำหรับฉัน แหวนวงนี้มีค่ามากเกินไป ฉันรับเอาไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
ฮันเจ๋อเหยียนลดสายตาลงและค่อย ๆ หมุนกล่องเครื่องประดับในมือเบา ๆ “คุณนายลู่เองก็คงไม่อยากจากแหวนวงนี้ ถ้าหากว่าคุณอยากทำให้เธอพอใจ ก็ควรรับมันเอาไว้”
ทุก ๆ คนเข้าใจในเจตนาการประมูลขายแหวนวงนี้ของหนิงเชิงดี
และทุก ๆ คนก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ซูโย่วอี๋อยากจะซื้อมันกลับมา
ซูโย่วอี๋เพียงแค่ยิ้มขึ้น “ไม่ว่ายังไง ฉันขอขอบคุณในความห่วงใยของคุณมากนะคะ”
แต่ด้วยความแนวแน่ของเธอ เธอไม่อาจรับแหวนวงนี้เอาไว้ได้
ฮันเจ๋อเหยียนเองก็ไม่ได้บังคับ “งั้นผมขายให้คุณห้าสิบล้าน”
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าประธานฮันคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เธอจับจ้องไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย คิ้วคมหนา ใบหน้าคมเข้ม ดวงตากลมต่างจากลู่เฉินโดยสิ้นเชิง พอมองดูกลับทำให้เธอรู้สึกโหยหา
ซูโย่วอี๋เองก็ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้นั้นมาจากไหน “ประธานฮัน ทำไมคุณไม่เอาแหวนวงนี้ไปให้น้องสาวของคุณล่ะ?”
นี่คือคำถามที่อยู่ในใจของซูโย่วอี๋มาโดยตลอด
ระหว่างการประมูล ฮันเอินจีประมูลมันแข่งกับเธออย่างจริงจัง ราวกับจะต้องเอาแหวนวงนี้ไปให้ได้ แต่ฮันเจ๋อเหยียนกลับประมูลแหวนวงนี้มาเพื่อนำมามอบให้กับผู้หญิงที่พึ่งเคยเจอกันเพียงครั้งเดียวเนี่ยนะ
นี่มันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
สายตาของฮันเจ๋อเหยียนจ้องไปยังซูโย่วอี๋ “ไม่ต้องคิดมาก ผมไม่ได้คิดอะไรไม่ดี”
“คุณคิดว่าแหวนวงนี้มีราคาแพงและไม่อยากได้มันมาเปล่า ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร พวกเราก็มาซื้อขายกัน คุณจ่ายห้าสิบล้านมาให้ผมและเอาแหวนไป”
ซูโย่วอี๋ยังไม่ทันได้หายสงสัย แต่ก็ไม่ได้กังวลมากจนเกินไป “ตกลง ขอบคุณประธานฮันมากค่ะ”
“เพียงแต่ว่า…”
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ดูลำบากใจ ฮันเจ๋อเหยียนจึงพูดโพล่งออกมา “คุณซูมีปัญหาอะไรเหรอครับ?”
“อาจจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 วัน เงินเดือนของฉันถึงจะออก ตอนนี้ฉัน… ไม่มีเงินมากขนาดนั้น”
ห้าสิบล้าน อืม ยังขาดอีก 49.96 ล้าน
ฮันเจ๋อเหยียนยิ้มในแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนออกมา ก่อนจะยื่นแหวนไปไว้ในมือของซูโย่วอี๋ “คุณเอาไปก่อนเลย รอให้มีเงินก่อนแล้วค่อยโอนมาให้ผม”
พูดจบเขาก็หมุนตัวและจากไป
ซูโย่วอี๋รีบตะโกนออกมา “ประธานฮัน ฉันจะโอนให้คุณยังไง?”
ฮันเจ๋อเหยียนไม่ได้หันหน้ากลับมา “ขอแค่คุณต้องการ ก็จะสามารถหาผมเจอได้แน่นอน”
บางที ผมอาจจะเป็นฝ่ายติดต่อไปหาคุณเองก็ได้…
ซูโย่วอี๋หยุดฝีเท้าลงที่เดิม เธอมองดูกล่องเครื่องประดับในมือและค่อย ๆ เปิดออกเพื่อมองดูแหวนโมรามรกตด้านใน
แสงมันวาววับ แต่เพราะพื้นผิวของโมราถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน จึงมีร่องรอยของการสึกหรอ แต่ยังไม่สามารถปกปิดความสง่างามและความล้ำค่าของแหวงวนนี้ได้เลย
นิ้วมือเรียวบางลูบไล้แหวนเบา ๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นสบาย
เดิมทีหนิงเชิงทำงานอยู่ในสมาคม เมื่อเห็นแหวนที่อยู่ในมือของซูโย่วอี๋โดยบังเอิญ เธอก็ขมวดคิ้วแน่นและเดินตรงไปยังซูโย่วอี๋
“ทำไมแหวนวงนี้ถึงมาอยู่ในมือของคุณซูได้ล่ะคะ?”
“ประธานฮันขายแหวนวงนี้ให้ฉันแล้วค่ะ”
หนิงเชิงไม่พอใจ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะสามารถเก็บเอาไว้ได้ ถ้าหากว่าคุณยินยอม ฉันขอซื้อต่อจากคุณด้วยราคาสองเท่าเพื่อเป็นการตอบแทนคุณ”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังหนิงเชิง “คุณนายลู่ ถึงฉันจะจน แต่ก็ไม่ได้ซื้อได้ด้วยเงินง่าย ๆ นะคะ”
เธอหยิบแหวนออกมาจากกล่องและสวมที่นิ้วนางข้างขวา ขนาดของมันกำลังพอดี ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป
และสีเขียวเข้มนั้นยิ่งขับให้มือของเธอดูดีมากยิ่งขึ้น
หนิงเชิงยังมีความอดทนอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นอย่างนั้น ใบหน้าของเธอก็เย็นชาขึ้นมา “คุณกำลังยั่วยุฉันงั้นเหรอ?”
ใบหน้าของซูโย่วอี๋ดูไร้เดียงสา “เปล่านะคะ ฉันสวมแหวนที่ฉันจ่ายเงินซื้อมาด้วยตัวเอง มีอะไรผิดเหรอคะ? จากที่คุณบอกว่าแหวนวงนี้ได้รับการสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นและมีไว้ให้ลูกสะใภ้ ตอนนี้แหวนวงนี้อยู่บนมือของฉัน นี่แสดงว่าฉันได้รับการยอมรับจากแหวนวงนี้แล้วหรือเปล่าคะ ว่าเป็นลูกสะใภ้… ของคุณ”
น้ำเสียงของเธอนุ่มนวล ไม่มีแววความแดกดันอยู่เลย
หนิงเชิงเยาะเย้ยขึ้น “แค่แหวนวงเดียวก็คิดอยากจะเป็นสะใภ้ตระกูลลู่ กล้าคิดจริง ๆ! คุณซูควรจะกลับไปอยู่ในที่ของตัวเองน่าจะดีกว่านะคะ”
ซูโย่วอี๋มองดวงตาดูถูกของหนิงเชิงด้วยความปวดใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ต่อมา เธอก็เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น จากนั้นเสียงหนักแน่นและทรงพลังก็ดังขึ้นมาจากด้านบนหัวของเธอ “คุณนายลู่ กรุณาจำเอาไว้ด้วยว่าโย่วอี๋ไม่ได้ต้องการแหวนวงนี้เพื่อเป็นสะใภ้ของตระกูลลู่”
“คนที่ควรอยู่ในที่ของตัวเองไม่ใช่เธอ แต่เป็นคุณ หนิงเชิง”
หนิงเชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “อาเฉิน ฉันเป็นแม่แกนะ”
ใบหน้าของลู่เฉินดูเฉยเมย “เธอเป็นแฟนของผม”
“ตอนนี้แกกล้าต่อล้อต่อเถียงกับฉันเพื่อผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลลู่เนี่ยนะ?”
ลู่เฉินนิ่งไป “มาถึงวันนี้แล้ว ผมคิดว่าผมไม่มีความจำเป็นจะต้องต่อล้อต่อเถียงอะไรกับคุณอีก”
เขาไม่ได้สนใจและไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดทบทวนอะไร
หนิงเชิงได้ยินความในใจของลูกชาย เธอสังเกตเห็นว่าเริ่มมีคนสังเกตเห็นถึงความขัดแย้งระหว่างพวกเขาแล้วจึงพยายามระงับอารมณ์และพูดขึ้น “อาเฉิน ถ้าแกไม่พอใจฉันกับพ่อของแก พวกเรากลับไปคุยกันดี ๆ ที่บ้านก็ได้ แต่กับเธอคนนี้ ไม่มีทางเข้าบ้านตระกูลลู่เด็ดขาด”
หลังจากที่หนิงเชิงจากไปแล้ว ซูโย่วอี๋รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่ลู่เฉินลูบไหล่ของเธอเพื่อปลอบโยน “ไม่เป็นไรนะ คุณยังมีผมอยู่”
“ลู่เฉิน ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”
“ตกลง งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินไปยังประตูทางออก ระหว่างทางก็ยังมีคนเข้ามาคุยด้วยเป็นระยะ ๆ “ประธานลู่…”
แม้จะพึ่งเปล่งเสียง ลู่เฉินก็ปฏิเสธไปอย่างมีสุภาพทันที “ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีที่บริษัทมีงานเข้ามา”
ซูโย่วอี๋พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ “ระวังจะโกหกจนติดเป็นนิสัย”
ลู่เฉินจึงเตือนเธอด้วยการบีบที่เอว
ซูโย่วอี๋รู้สึกจั๊กจี้จึงรีบร้องขึ้น
พนักงานที่อยู่ตรงประตูเปิดประตูด้วยความเคารพ “ประธานลู่ คุณซู เดินทางปลอดภัยนะครับ”
พึ่งก้าวออกมาได้ไม่ถึงสองก้าว ผู้หญิงคนหนึ่งเดินชนเข้ากับซูโย่วอี๋โดยไม่ทันตั้งตัว
เพราะร่างกายของเธอไม่มั่นคงราวกับว่าจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ซูโย่วอี๋จึงช่วยพยุงเธออย่างไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเข้าไปใกล้ ซูโย่วอี๋ได้กลิ่นยาจีนและกลิ่นคาวเลือดมาจากร่างกายของอีกฝ่าย เธอถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “คุณคะ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นยืนทรงตัวได้เธอก็หมุนตัวกลับมา ซูโย่วอี๋จึงได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เธอพึ่งเห็นตรงหน้าประตูเมื่อกี้นี้
“พวกเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าคะ?”
คิ้วนิด จมูกหน่อยของผู้หญิงคนนี้ ทั่วทั้งเรือนร่างเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนของหญิงสาว
ช่างเป็นบุคลิกที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เจอกันแค่ครั้งเดียวก็ยากที่จะลืมเลือน
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นเธอก็เงียบลง
แววตาขอบคุณเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ หลังจากนั้นก็กลายเป็นเย็นชา
ทว่าสายตาของลู่เฉินดำสนิท “คุณนายฮัว”
ได้ยินชื่อที่ลู่เฉินพูด ซูโย่วอี๋ก็นึกออกว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน
โรงพยาบาลเป๋าไป่!
ตอนนั้นคุณนายฮัวยังตั้งครรภ์อยู่และยืนอยู่กับฮัวจิง พวกพยาบาลยังพูดติดตลกถึงความสมบูรณ์แบบของสามีภรรยาคู่นี้อยู่เลย
ซูโย่วอี๋มองไปยังหน้าท้องของเธอ ท้องของเธอแบนราบ นี่เธอคลอดลูกไวขนาดนี้เลยเหรอ?
อวิ๋นจิ้งหว่านเห็นสายตาของซูโย่วอี๋ก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
“จิ้งหว่าน ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”
ฮัวจิงวิ่งออกมาจากสวนด้วยอาการหอบอย่างหนัก พร้อมกับพูดอย่างเป็นกังวล “ตอนนี้ร่างกายของคุณอ่อนแออยู่ ควรจะรักษาตัวอยู่ที่บ้านสิ”
อวิ๋นจิ้งหว่านไม่ได้พูดอะไรและเดินไปข้างหน้า ฮัวจิงพยักหน้าเพื่อเป็นการขอโทษลู่เฉินและไล่ตามเธอไป
“จิ้งหว่าน คุณเดินช้า ๆ หน่อย”
เขาเอื้อมมือไปช่วยพยุงเธอแต่ถูกปฏิเสธ แต่เขาก็ยังพยายามเข้าไปพยุงอยู่อย่างนั้น
เขาดูอดกลั้นมาก ราวกับเป็นคนละคนกับคนที่ซูหยินเคยพูดถึง
ซูโย่วอี๋มองดูสักพักก่อนที่จะได้สติกลับมา
“คุณนายฮัวพึ่งแท้งลูกไปได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์”
วันนี้เธอไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมาในทันที ถึงว่าทำไมเธอถึงได้กลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นยาจีน คงจะกำลังปรับสภาพร่างกายอยู่
“น่าสงสารจัง”
หลังจากกลับมาถึงเป่ยสืออี้ผิน ซูโย่วอี๋ก็ถอดแหวนออกจากมือและเก็บกลับไว้ในกล่อง “ขอโทษนะ ฉันไม่ควรรีบร้อนและไม่ควรพูดจาแบบนั้นกับแม่ของคุณ”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากเจอเธอแล้วก็ตาม แต่หนิงเชิงก็คือแม่ของลู่เฉิน
และเธอทำตัวค่อนข้างเสียมารยาทในวันนี้
ลู่เฉินลูบหัวของเธอ “คุณทำได้ดีมาก ดีกว่าถูกรังแกสุ่มสี่สุ่มห้า ผมต้องการให้คุณกางกรงเล็บที่แหลมคมออกมา ให้พวกเธอได้รู้ว่าแฟนสาวของลู่เฉินไม่ได้รังแกกันได้ง่าย ๆ”
ซูโย่วอี๋ต่อยเขาไปหนึ่งที “ในหัวของคุณนี่คิดแต่อะไรกันนะ”
“อืม” ลู่เฉินฝังหัวของเขาลงบนคอของเธอ “ตอนผมเห็นคุณยืนเผชิญหน้าเธออย่างกล้าหาญและพูดจาไม่ดีกับเธอ ผมดีใจมากนะ”
พูดจาไม่ดี?
ฉันทำแบบนั้นเหรอ?
ก็ได้ ฉันทำจริง ๆ นั่นแหละ
“เจ้าแมวจอมขี้เกียจกำลังต่อสู้เพื่อความรักของพวกเรา”
ซูโย่วอี๋ยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
“อืม”
ลู่เฉินไม่ได้ต้องการการโต้แย้งที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ แต่เธอชอบคำเยินยอของลู่เฉินมาก
เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าเธอพยายามมากจริง ๆ
“นายท่าน เมื่อไหร่เงินเดือนจะออก คุณรู้หรือเปล่าว่าแหวนวงนี้อยู่ในเครดิต?”
เสียงแห่งความสุขดังออกมาจากลำคอของลู่เฉิน ริมฝีปากของเขาถูไถไปตามซอกคอเรียวบาง ทันใดนั้นน้ำเสียงก็แผ่วเบาลง “เรียกนายท่านให้ฟังอีกสองรอบสิ”
คืนนั้น ซูโย่วอี๋เรียกเขาว่านายท่านอยู่หลายรอบ
ขณะที่เธอกำลังสับสน “นายท่าน นี่คุณยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
“อืม พยายามต่อไปนะ”
ซูโย่วอี๋ “…”
วันต่อมา สื่อรายใหญ่ทั้งหมดรายงานข่าวงานเลี้ยงอาหารค่ำการกุศลเมื่อคืนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นการระดมทุนเพื่อการกุศลเป็นเพียงจุดสนใจเล็ก ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเขียนบรรยายถึงตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ของแขกในงาน รวมถึงดารานักแสดงที่เดินพรมแดง
ภาพพรมแดงของซูโย่วอี๋กับผีเสื้อสีแดงนั้นเป็นที่สนใจเป็นอย่างมาก
[ว้าว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงสวยได้ขนาดนี้]
[พอยืนคู่กับประธานลู่แล้วไม่มีใครเทียบได้เลย นอกจากเธอแล้วฉันคิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าจะมีใครเหมาะสมกับเขาได้]
[เชิญราชาแห่งนักแสดงอย่างคุณฮันออกมาสู้ด้วยค่ะ]
[เชิญอูซื่อม่านออกมาสู้]
[เชิญซูหยินออกมาสู้]
[…ฮ่ะฮ่า ๆ ๆ นี่มันอะไรกันเนี่ย โย่วโย่วสวยมาก]
[ผีเสื้อที่อยู่ที่หลังของซูโย่วอี๋คือรอยสักงั้นหรอ? สวยมากเลย ช่วยแนะนำร้านสักที่ไว้ใจได้ให้หน่อยสิ]
[รูปภาพการทำกิจกรรมของโย่วโย่วมีน้อยจัง แต่ทุก ๆ ครั้งเธอน่าทึ่งมาก]
[จากความคิดเห็นด้านบน พูดตามจริงการแต่งตัวนั้นดูธรรมดา สิ่งสำคัญคือคุณค่าของความงามต่างหาก]
[ทีมสไตลิสต์ของเทียนฉีสุดยอดมาก (> <)b หรือเป็นเพราะว่าประธานลู่ไม่อยากให้แฟนสาวของเขาสวยมากเกินไป จึงตั้งใจทำให้ดูน่าเกลียดลง (อิอิ)]
[สาว ๆ ฉันคิดว่าคุณเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริงเลย]
ซูโย่วอี๋หัวเราะไม่หยุดกับความคิดเห็นเพราะลู่เฉินไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย
การแต่งหน้าแต่งตัวล้วนมาจากความต้องการของซูโย่วอี๋ทั้งหมด
เดิมทีการประมูลแหวนเป็นจุดดึงดูดจุดสำคัญของงาน แต่ไม่มีสื่อไหนรายงานเลย ดูท่าว่าหนิงเชิงจะดูแลและจัดการกับนักข่าวจากทุกสื่อทั้งหมด
เรื่องแหวนเป็นเพียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในเท่านั้น