Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 256 ไม่ใช่จริง ๆ เหรอ
บทที่ 256 ไม่ใช่จริง ๆ เหรอ?
บทที่ 256 ไม่ใช่จริง ๆ เหรอ?
บนโต๊ะมีอาหารมากมาย แต่คุณนายฮันสังเกตเห็นว่าซูโย่วอี๋กินต้มปลาน้ำแดงเยอะมากที่สุด จึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “คุณซูก็ชอบกินปลาเหรอ?”
“ค่ะ ปกติแล้วเวลาทำกับข้าวแล้วไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีก็จะทำเมนูปลาค่ะ”
คุณนายฮันมีความสุขมาก “บังเอิญจริง ๆ นอกจากฉันแล้ว ในบ้านนี้ไม่มีใครชอบกินปลาเลย ได้เจอคนที่มีสิ่งที่ชอบเหมือนกันแล้ว”
“เจ๋อหยาง ก่อนหน้าที่ลูกบอกว่าอยากจะรับน้องสาวบุญธรรม คือคุณซูงั้นเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางรับรู้ถึงสายตาที่พร้อมกลืนกินเขาเข้าไปจากฮันเอินจี จึงยิ้มขึ้น “แม่ ผมแค่ล้อเล่นน่ะ”
คุณนายฮันกลับดูไม่ปลื้มขึ้นมา “เรื่องนี้แม่เห็นด้วย ขอแค่คุณซูไม่คัดค้าน อีกสองวันพวกเราจัดงานแถลงข่าวได้เลย แล้วก็ประกาศออกสื่ออย่างเปิดเผยไปเลย”
ตะเกียบของซูโย่วอี๋หยุดลงกลางคัน
เธอมาเพื่อจะคืนเงินค่าแหวน แค่ต้องมากินข้าวมื้อเย็นก็มากพอแล้ว ยังจะเอาตัวผู้ใหญ่สองคนนี้มาเป็นพ่อกับแม่อีกเหรอ?
“คุณป้าฮัน…”
คุณนายฮันคว้ามือของซูโย่วอี๋ไป “ฉันเจอคุณแวบเดียวก็รู้สึกถูกชะตามาก ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ฉันก็คงจะคิดไปว่าคุณเป็นลูกที่ฉันคลอดออกมาเองเลยนะ”
เดิมทีนี่เป็นแค่ประโยคล้อเล่น แต่กลับกลายเป็นการเหยียบย่ำฮันเอินจี
เธอตบตะเกียบลงบนโต๊ะ “บ้านนี้ยังมีใครสนใจหนูอยู่บ้างไหม? หนูก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน ยังสู้คนนอกไม่ได้เลยเหรอ?”
“ทำไม? เพราะว่าเธอหน้าตาเหมือนแม่งั้นเหรอ?”
พอพูดประโยคเหล่านั้นจบ ฮันเอินจีไม่สามารถควบคุมความโกรธได้จนตัวเธอสั่น “ในเมื่อพูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ใครหน้าไหนก็ไม่ต้องปิดบังอะไรอีกแล้ว พี่ใหญ่ ผลการตรวจดีเอ็นเอคืออะไรกันแน่?”
คู่สามีภรรยาตระกูลฮันนิ่งค้างไป “ตรวจดีเอ็นเออะไรกัน?”
ฮันเจ๋อเหยียนเงียบไม่พูดอะไร
เขาไม่กล้าแม้แต่จะกระแอม
มีเพียงฮันเอินจีเท่านั้นที่พูดด้วยเสียงเข้ม “พี่ใหญ่สงสัยว่าซูโย่วอี๋จะเป็นลูกสาวของพ่อกับแม่หรือเปล่า เลยแอบเอาเส้นผมของเธอไปตรวจดีเอ็นเอ และสรุปผลลัพธ์เป็นยังไงล่ะคะ?”
ในที่สุดคู่สามีภรรยาตระกูลฮันก็เข้าใจในความผิดปกติของลูกสาว
คุณนายฮันมองไปยังฮันเจ๋อเหยียน “เจ๋อเหยียน ที่เอินจีพูดจริงหรือเปล่า?”
ฮันเจ๋อเหยียนพยักหน้าเบา ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่… เจ๋อเหยียน ที่แม่ชอบคุณซูไม่มีอะไรผิด แต่ลูกจะมาสงสัยว่าเธอเป็นน้องสาวของตัวเองอย่างไม่มีเหตุผลแบบนี้ไม่ได้”
ทันทีที่คุณนายฮันได้ยินเรื่องพวกนี้ จึงรู้สึกว่าลูกชายที่สงบเสงี่ยมมาตลอดของเธอทำอะไรที่ไร้สาระ ไม่แปลกใจที่เอินจีจะโกรธขนาดนี้
ซูโย่วอี๋ที่นั่งอยู่อีกฝั่งรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า
ก่อนหน้านี้เธอเข้าโรงรับจำนำไร้กังวล คุณยายเคยบอกไว้ว่าเธอสามารถจำนำสิ่งของจากความรักเอาไว้ได้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าเธอยังมีญาติที่มีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ เพียงแต่ว่าไม่มีเวลาจัดการเรื่องนี้เสียที
เธอมองไปยังคุณนายฮันและมองไปยังฮันเจ๋อเหยียน ในที่สุดก็เข้าใจว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่คลุมเครือนั้นมาจากไหน
บนใบหน้าของทั้งสามคนมีส่วนที่เหมือนกันอยู่ไม่มากก็น้อย!
สุนัขจิ้งจอกกระโดดขึ้นมา [ซู่จู่ หรือว่าคนพวกนี้จะเป็นครอบครัวของคุณ?]
ทันใดนั้นในใจของซูโย่วอี๋ก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา
สายตาของฮันเอินจีเย็นชาลงเล็กน้อย “พี่ใหญ่ บอกผลตรวจกับพวกเรามา”
ในที่สุดฮันเจ๋อหยางก็เปิดปากพูดออกมาเป็นประโยคแรก “เธออยากรู้จริง ๆ เหรอ?”
”แน่นอน”
ฮันเจ๋อหยางค่อย ๆ หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าเอกสารที่อยู่ข้างหลังเขา “คำตอบอยู่ในนี้”
ฮันเจ๋อหยางทนไม่ได้กับบรรยากาศที่กดดันเช่นนี้ “พี่ใหญ่ พี่เลิกลีลาได้แล้ว รีบพูดมาเถอะ นี่มันทำให้ทุกคนกังวลมากนะ”
คู่สามีภรรยาตระกูลฮันดูจริงจังขึ้นมา แม้คุณนายฮันบอกว่าสิ่งที่ฮันเจ๋อเหยียนทำมันไร้สาระ แต่ในใจกลับไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
หลังจากความเงียบงันอันน่ากดดัน ฮันเจ๋อเหยียนก็พูดขึ้น “ดีเอ็นเอไม่ตรงกัน”
หัวใจของซูโย่วอี๋พองโตขึ้นมา แต่แล้วก็กลับมาแย่ลงอีกครั้ง
เธอบอกไม่ได้เลยว่ารู้สึกผิดหวังหรืออะไรกันแน่
ฮันเจ๋อหยางรีบบอกให้ทุกคนใจเย็น “ที่แท้ก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ไม่มีเรื่องอะไรแล้วครับ กินข้าวกันเถอะ”
แต่ตอนนี้ยังจะมีใครอยากกินข้าวอีกเหรอ?
ซูโย่วอี๋เองก็ไม่อยากกินแล้ว
ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น มือของฮันเอินจีสั่นเทาไปด้วยความกลัวที่เอ่อล้น
เธอไม่ใช่ลูกสาวของพ่อกับแม่!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
เธอแสร้งทำเป็นสงบลง บอกกับตัวเองว่าห้ามให้ใครดูออก ขอแค่ผ่านมื้อค่ำนี้ไป พี่ใหญ่ก็คงจะคลายความสงสัยในเรื่องนี้ไปจนหมด
ตั้งแต่วันนี้ไป จะไม่มีใครรู้ความจริงว่าเธอไม่ใช่เลือดเนื้อของตระกูลฮัน
ซูโย่วอี๋ฝืนยิ้ม “คุณป้าฮัน คุณลุงฮัน ฉันอิ่มแล้ว พวกคุณกินกันต่อเถอะค่ะ ผู้ช่วยยังรอฉันอยู่ด้านนอก คงต้องขอตัวกลับก่อน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของพวกคุณนะคะ อาหารอร่อยมากเลยค่ะ”
คุณชายฮันมองดูผู้หญิงตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง นึกถึงที่เธอถูกหนิงเชิงรังแก และทำให้ลำบากใจ และยังถูกบีบบังคับในสถานการณ์วุ่นวายเมื่อครู่นี้อีก เขาทุกข์ใจมากจริง ๆ “เจ๋อเหยียน ลูกทำเรื่องนี้โดยขาดการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
ต่อให้สงสัยก็ไม่จำเป็นจะต้องป่าวประกาศผลลัพธ์ต่อหน้าซูโย่วอี๋แบบนี้ แค่ตรวจสอบและจัดการอย่างลับ ๆ ไม่ดีกว่าเหรอ
“คุณซู ผมขอโทษด้วยนะครับ ขอโทษจริง ๆ ผมขอรับปาก แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ลูกสาวตระกูลฮันของผม แต่ขอแค่คุณยินยอม ผมก็ยินยอมรับคุณเป็นสาวลูกบุญธรรมและดูแลเหมือนลูกสาวในไส้”
ซูโย่วอี๋มองไปยังดวงตาอันอบอุ่นของคุณชายฮัน แม้แต่น้ำเสียงก็ดูจริงจังมาก
ฮันเจ๋อเหยียนยิ้มเบา ๆ “พ่อ ผมว่ายังเร็วเกินไปที่พ่อจะเรียกเธอว่าลูกสาวบุญธรรมนะ”
คุณชายฮันไม่พอใจมาก “เจ๋อเหยียน ลูกไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”
ซูโย่วอี๋ตัวคนเดียวและไม่เคยได้สัมผัสกับความรักของพ่อแม่มาก่อน แล้วยังโดนเจ๋อเหยียนโรยเกลือลงในใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะให้ผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างซูโย่วอี๋จัดการกับอารมณ์ในตอนนี้ได้อย่างไร
ฮันเจ๋อเหยียนหันมองฮันเอินจี “ผลการตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุด และชัดเจนแล้วว่าเจ้าของเส้นผมไม่ได้มีสายเลือดสัมพันธ์กับตระกูลฮันเลย เพียงแต่ว่าเส้นผมเส้นนี้ไม่ใช่ของซูโย่วอี๋”
ฮันเจ๋อหยางตะโกนขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้ เส้นผมนั้นผมดึงมาจากหัวของซูโย่วอี๋ด้วยมือของตัวเอง ถ้าไม่ใช่ของซูโย่วอี๋แล้วจะเป็นของใคร?”
“งั้นก็ลองถามเอินจีดูสิ”
สายตาของทุกคนมองไปยังเอินจี แต่กลับพบว่าสีหน้าของเธอขาวซีด พร้อมกับเหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมา
“พี่ใหญ่ พี่กำลังพูดอะไร?”
สายตาของฮันเจ๋อเหยียนนิ่งสงบ “เอินจี เส้นผมที่เธอเปลี่ยนไปเป็นของคนอื่นหรือเป็นของ… เธอ?”
ฮันเอินจีทำแก้วน้ำบนโต๊ะตกลงพื้น เศษแก้วแตกกระจาย ทำให้ทุกคนตกใจในทันที
“พี่พูดอะไร ฉันไม่ได้เปลี่ยนเส้นผมเลยนะ!”
“พี่รอง พี่เป็นคนเอาเส้นผมมาเอง พี่ก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่เคยเข้าไปยุ่งด้วยเลย”
น้ำเสียงของฮันเจ๋อหยางดูลังเล “พี่ใหญ่ เอินจีไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้หรอก”
ฮันเจ๋อเหยียนยังคงไม่ขยับไปไหน “เธอคิดว่าเธอฉลาดงั้นเหรอ? พ่อครับ แม่ครับ ผมทำเรื่องทั้งหมดโดยที่ยังไม่ได้เตรียมการให้รอบคอบ แต่ก็ไม่ได้ผลีผลาม ในเมื่อผมกล้าที่จะเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แน่นอนว่าผมต้องมีความเข้าใจเรื่องนี้ดี”
“เอินจี เธอจะไม่พูดความจริงเหรอ?”
ฮันเอินจีถูกดุจนร้องไห้ออกมา
หยดน้ำตาไหลลงมา อายไลเนอร์เริ่มเป็นวงสีดำรอบดวงตา ใบหน้าขาวซีด ดูน่าสงสารมาก
“เส้นผมนั้นเป็นของฉัน พอใจไหม ฉันทำผิดอะไรกัน? ฉันมีชีวิตอยู่ในตระกูลฮันมาดี ๆ จนถึงอายุยี่สิบห้าปี จู่ ๆ มาบอกว่าฉันไม่ใช่ลูกสาวของพ่อกับแม่ พี่จะให้ฉันยอมรับยังไง?”
“ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกสาวตระกูลฮัน แต่ก็อยู่อาศัยกับพวกคุณมาตั้งหลายปี แม้แต่ความรักสักนิดพี่ก็ไม่มีให้ฉันเลยเหรอ? ไม่ว่าเลือดที่ไหลอยู่ในตัวฉันจะใช่เลือดของตระกูลฮันหรือไม่ มันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือไง?”
“พ่อคะ แม่คะ จะให้พี่ใหญ่รังแกหนูขนาดนี้เลยเหรอ?”
พูดจบเธอก็วิ่งออกไป คุณนายฮันอยากจะรั้งไว้ก็รั้งไว้ไม่ทัน
“เจ๋อหยาง รีบไปดูน้องเถอะ อย่าให้เกิดเรื่องบานปลาย”
เพราะนี่เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ฮันเจ๋อหยางไม่ได้หยิบเสื้อคลุมออกไปด้วย เขาสวมแค่เพียงเสื้อกล้ามบาง ๆ ชั้นเดียวและรีบไล่ตามออกไป
เมื่อในห้องอาหารเหลือเพียงแค่สี่คน มีเพียงโคมระย้าคริสตัลอันสว่างไสวเท่านั้นที่เปล่งแสงอันอบอุ่นออกมา
ซูโย่วอี๋ประสานนิ้วมือของเธอเข้าหากัน ไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาอย่างไร เธอคิดไม่ถึงว่าเธอแค่มากินข้าว แต่ต้องมาพบเจอกับเรื่องราวการเปิดเผยความลับครั้งใหญ่ขนาดนี้
แม้ว่าฮันเอินจีจะไม่มีสายเลือดตระกูลฮัน ก็หมายความว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของพวกเขา
คุณนายฮันหยิบเอกสารการตรวจดีเอ็นเอขึ้นมาและเปิดไปยังหน้าของการสรุปผล เธอดูวนไปวนมาหลายรอบ และยังคงไม่กล้าเชื่อ “เจ๋อเหยียน เอินจีไม่ใช่คนในลูกของแม่จริง ๆ เหรอ?”
ฮันเจ๋อเหยียนพยักหน้า
อารมณ์ของคู่สามีภรรยาตระกูลฮันซับซ้อนไปหมด น้ำตาของคุณนายฮันกำลังจะไหลออกมา เธอดันโต๊ะเพื่อพยุงตัวเองจนสามารถลุกขึ้นมาได้ เธออุ้มท้องลูกมาอย่างยากลำบากถึงสิบเดือนและคลอดลูกสาวออกมา ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าลูกไปอยู่ที่ไหน มีชีวิตที่ดีหรือไม่?
เธอคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ในปีนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คุณชายฮันลูบไหล่ของภรรยาเพื่อปลอบโยนเธอ “ยังไงคุณก็มีผมอยู่ ผมจะต้องตามหาลูกสาวของพวกเรากลับมาให้ได้”
“ผมตามหาเจอแล้วครับ”
คำพูดของฮันเจ๋อเหยียนทำให้เกิดบรรยากาศกดดันและตื่นตกใจราวกับฝนฟ้าคะนองในทันที
“ใครกัน?”
“ซูโย่วอี๋” ท่าทางของฮันเจ๋อเหยียนแน่วแน่มาโดยตลอด จนกระทั่งพูดมาถึงตรงนี้อารมณ์ของเขาก็เริ่มอ่อนไหว “ผมรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเอินจีแอบเอาเส้นผมมาเปลี่ยน เส้นผมที่ถูกเอามาเปลี่ยนไม่ใช่ของคนในครอบครัวเรา”
นี้คือเรื่องที่ทุก ๆ คนพึ่งได้รับรู้ความจริงไปเมื่อครู่นี้
“แต่… ผมให้คนไปเอาเส้นผมของซูโย่วอี๋มา และทำการตรวจสอบอีกครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความน่าจะเป็นของการเป็นพ่อแม่ลูกกันมีมากกว่า 0.999 แน่นอนว่าเธอคือเลือดเนื้อของตระกูลฮันไม่ผิดแน่”
ฮันเจ๋อเหยียนมองไปยังซูโย่วอี๋ “คุณคือน้องสาวแท้ ๆ ของผม”
ดวงตาสีอัลมอนด์ของซูโย่วอี๋เบิกกว้าง เธอนิ่งค้างไปสักพักและตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ “คุณพูดอะไร จะเป็นฉันไปได้ยังไง?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? คุณกับเอินจีอายุเท่ากัน คุณกับแม่ตอนวัยรุ่นหน้าตาเหมือนกันมาก นี่ยังไม่สามารถอธิบายได้อีกเหรอ?”
คุณนายฮันปล่อยมือของคุณชายฮันออกและก้าวไปหาซูโย่วอี๋สองก้าว “คุณ… โย่วอี๋”
สายตาของเธอจับจ้องไปยังซูโย่วอี๋ ทั้งคิ้ว ดวงตา จมูก ปาก หู ไม่เว้นแม้แต่เส้นผม ยิ่งมองคุณนายฮันก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เธอพูดเสียงสั่น “แม่ผิดเอง แม่ควรจะจำลูกได้ไวกว่านี้ ลูกเหมือนแม่มากขนาดนี้ ทำไมแม่ถึงดูไม่ออกกันนะ?”
ในสายตาของคุณนายฮันเต็มไปด้วยความโหยหาและความรักที่เอ่อล้น ราวกับว่าความรักนั้นกำลังจะแผดเผาซูโย่วอี๋ ตอนที่มือของคุณนายฮันมาโดนตัวเธอ ซูโย่วอี๋ก็ถอยหลังหนีไปสองก้าว “ฉัน… คุณป้าฮัน ฉันยังมีธุระต่อ ขอตัวก่อนนะคะ”
“โย่วอี๋”
คุณนายฮันร้องหาเธออย่างเศร้าโศก แต่ซูโย่วอี๋ไม่ได้หันหน้ากลับมาอีก
จนกระทั่งเธอหายไปจากสายตา คุณนายฮันล้มลงไปและร้องไห้อยู่กับพื้นด้วยความเจ็บปวด “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไมถึงเกิดเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้นมาได้?”
ฮันเจ๋อเหยียนทนไม่ไหว เขาเข้าไปพยุงแม่ของตัวเองขึ้นมา “ผมตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดมาหมดแล้ว แม่ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ผมจะค่อย ๆ เล่าให้แม่ฟัง”
ที่แท้ในปีนั้นคุณนายฮันและเหมยหลิง คนรับใช้ส่วนตัวของเธอตั้งครรภ์ในเวลาเดียวกัน ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ไม่คาดคิดว่าสามีของเหมยหลิงจะถูกรถชนตาย หลังจากนั้นไม่นาน เธอเองก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
เหมยหลิงปิดบังอาการป่วยของตัวเองและกลัวว่าการทำเคมีบำบัดอาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ จึงยอมล้มเลิกเรื่องการรักษา ตระกูลฮันเฝ้ามองร่างกายของเหมยหลิงที่ค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ และยังคิดเลยว่าเป็นผลกระทบมาจากการตั้งครรภ์
คุณนายฮันพยายามให้หมอมารักษาดูแลอาการป่วยของเหมยหลิงให้ดีที่สุดตั้งหลายรอบแต่ก็ถูกปฏิเสธ จนกระทั่งทั้งสองคนคลอดลูกสาวออกมาในวันเดียวกัน
ตอนนั้นงานภายในของตระกูลฮันวุ่นวายมาก ทำให้คุณชายฮันไม่มีเวลาดูแลภรรยาและลูกสาว เหมยหลิงไม่ได้สนใจความอ่อนแอของตัวเองหลังคลอดเลย เธอสลับตัวทารกหญิงทั้งสองคน เพียงแค่หวังว่าลูกสาวของเธอจะสามารถเติบโตอยู่ในตระกูลฮันได้อย่างมีความสุข
และพาร่างกายอันอ่อนแอของตัวเองและซูโย่วอี๋จากไป จนกระทั่งรู้ว่าตัวเองจะตาย จึงนำซูโย่วอี๋ไปทิ้งไว้ที่หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า