Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 262 ตำนานที่งดงาม
บทที่ 262 ตำนานที่งดงาม
บทที่ 262 ตำนานที่งดงาม
ลู่เฉินปล่อยมือเธอช้า ๆ ด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ให้โอกาสผมอธิบายต่อหน้าคุณนะ อย่าหายไปแบบนี้ ตกลงไหม?”
“ฉันให้โอกาสคุณพูดแล้ว”
คุณต่างหากที่ลังเล…
ซูโย่วอี๋หันหน้าไปไม่มองเขา “ฉันเคยถูกเฉินเฉินหักหลัง ถูกล้อมกรอบโดยเหอมี่มี่ ถูกนักข่าววิพากษ์วิจารณ์ ตอนฉันตัวคนเดียวและไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร เป็นคุณที่เลือกจะยืนเคียงข้างฉัน ดังนั้นถึงฉันจะผิดหวังกับความรัก แต่ฉันก็ยังอยากอยู่กับคุณ”
“ฉันหวังว่าฉันจะเป็นคนที่ถูกเลือกเสมอ”
ทันทีที่ชื่อเฉินเฉินออกมาจากปากของซูโย่วอี๋ ลู่เฉินก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก
นั่นเป็นอดีตที่เธอไม่สามารถลบล้างได้
แต่มันทำให้เขาหึง
ความรู้สึกของทั้งสองแทบจะไม่ต่างกัน อวิ๋นเหมี่ยวเองก็เป็นหอกหนามในใจของซูโย่วอี๋
ลู่เฉินจับมือเธอแล้วลูบเบา ๆ “ขอแค่คุณใจเย็นลง คุณจะทุบตีหรือด่าผมก็ได้”
แต่อย่าทำตัวเย็นชาราวกับไม่สนใจเขาแบบนี้เลย
ในที่สุดซูโย่วอี๋ก็เต็มใจที่จะลืมตามองเขา เผยให้เห็นรอยแดงและบวมหลังจากการร้องไห้ “คุณวางแผนจะทำอะไรหลังเห็นแผลบนร่างกายของอวิ๋นเหมี่ยว?”
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับผม” น้ำเสียงของเขาเย็นชาและไร้เยื่อไย
ทุกคนมีเส้นทางชีวิตของตัวเอง ลู่เฉินอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะไปช่วยเหลือใครได้
ความโกรธในใจของซูโย่วอี๋ลดลงไปบ้างแล้ว “ฉันจะไปส่งน้ำหอมให้แฟนคลับ คุณไปที่ลานจอดรถแล้วรอฉันหน่อยนะ”
“ผมจะไปกับคุณ”
ลู่เฉินมองอย่างแน่วแน่
“ยังไงก็ได้”
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เวลาได้ล่วงเลยไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ซูโย่วอี๋เร่งฝีเท้าของเธอ และเมื่อมาถึงร้านสเต็ก ก็เห็นหญิงสาวกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนโต๊ะอาหารที่ดูยุ่งเหยิง
“ขอโทษที่หายไปนาน”
น้ำเสียงของหญิงสาวไม่พอใจ “เธอตกส้วมเหรอ ถึงนานขนาดนี้”
เมื่อเงยหน้าขึ้น หญิงสาวก็เห็นว่ามีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสูงประมาณ 180 เซนติเมตร ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างทันที ก่อนชี้ไปที่ลู่เฉินและพูดตะกุกตะกักว่า “คุณ… แฟนหนุ่มของโย่วโย่วของฉันไม่ใช่เหรอ?”
“ลู่เฉิน!”
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี วินาทีต่อมา หญิงสาวก็กระโดดขึ้นจากที่นั่ง “เธอคือโย่วโย่วใช่ไหม?”
ว่าแล้วหญิงสาวก็กุมมือของซูโย่วอี๋ด้วยมือทั้งสองข้าง
“ฉันนี่มันแย่ชะมัด ทั้งที่ใกล้ชิดกันตั้งนาน แต่ฉันยังจำไม่ได้ โย่วโย่ว ทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะ?”
“เมื่อกี้ฉันด่าคุณไว้มาก ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ”
หญิงสาวก้มหน้าลง
เธอคิดว่าตัวเองสูงส่งแล้วยังวิจารณ์ว่าโย่วโย่วว่าทำอะไรเกินตัว ทำให้ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าว
อวดเบ่งต่อหน้าไอดอลอย่างนั้น
น่าขายหน้าชะมัด
แต่ซูโย่วอี๋กลับตอบกลับไปอย่างเป็นกันเองว่า “ไม่เป็นไร ขอบคุณที่มากับฉันนะ”
นั่นทำให้อารมณ์ที่หม่นหมองของเธอผ่อนคลายขึ้นมาก
จนหญิงสาวรู้สึกปลื้มใจ “จริงเหรอ? ถ้างั้นฉัน…ฉันยินดีติดตามคุณทุกวันไปตลอดชีวิต”
ซูโย่วอี๋ยื่นน้ำหอมให้เธอ “นี่สำหรับเธอ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าเป็นน้ำหอมกลิ่นไม้หอมก็ตกตะลึง “แต่ร้านบอกว่าหมดแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เธอมองซูโย่วอี๋อย่างว่างเปล่าอยู่สองวินาที จากนั้นก็กัดฟันพูด “ระบบสมาชิก vvip นี่ชั่วร้ายจริง ๆ รังแกผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างฉันที่มีแต่เงิน”
จากนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นลู่เฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ “ไม่สิ ฉันช่างเป็นผีน้อยยากจนต่างหาก”
เมื่อเทียบกับประธานลู่แล้ว เธอเทียบไม่ติดเลย
อยากจะร้องไห้
หญิงสาวกลอกตาแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา “คุณลู่ คุณช่วยถ่ายรูปฉันกับโย่วโย่วหน่อยได้ไหมคะ?”
ซึ่งลู่เฉินทำตามที่ขอ
เมื่อพบที่ลับตาคน ซูโย่วอี๋ก็ถอดหน้ากากออก “มาถ่ายกันเถอะ”
หญิงสาวจ้องมองใบหน้านั้นก็ถึงกับตกตะลึง
จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่ลู่เฉินอย่างขมขื่นด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
ทำให้ในขณะที่ลู่เฉินกำลังกดถ่ายรูป ผู้หญิงคนนั้นก็ถามอย่างสิ้นหวังว่า “คุณลู่ สูงขึ้นกว่านี้หน่อยค่ะ”
“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยค่ะ”
“ไปทางซ้ายหน่อย ไม่งั้นแสงจะไม่สวย”
“ไปทางขวาหน่อยค่ะ ถอยออกมาหน่อย”
ฮึ่ม
กล้าลักพาตัวโย่วโย่วของเราไปงั้นเหรอ ฉันจะสั่งสอนคุณ!
ซูโย่วอี๋อดที่จะหัวเราะไม่ได้ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมหญิงสาวถึงดูเป็นศัตรูกับลู่เฉินนัก แต่ท่าทางเงอะงะของลู่เฉินนั้นตลกจริง ๆ
หลังจากกำกับอยู่นาน หญิงสาวก็มองดูรูปถ่ายในโทรศัพท์อย่างไม่พอใจ “คุณลู่คะ รูปนี้แค่พอดูได้ ฉันต้องการถ่ายอีกรูป ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายนะคะ”
ขณะที่กดปุ่มชัตเตอร์ของโทรศัพท์ จู่ ๆ หญิงสาวก็ปล่อยมือของซูโย่วอี๋ เอียงศีรษะและจูบใบแก้มของเธอแทน
ซูโย่วอี๋เบิกตาผลอัลมอนด์ของเธอเล็กน้อยดูน่ารัก
ลู่เฉิน ‘กล้าดียังไง!’
ยังไม่ทันได้พูดอะไร หญิงสาวก็รีบคว้าโทรศัพท์คืนจากลู่เฉิน แล้ววิ่งออกไปสองก้าว ก่อนหันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ชายหนุ่ม
ฮึ่ม
ยัยเด็กคนนี้
ยิ่งซูโย่วอี๋มองแฟนคลับของเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งชอบอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น พอได้ยินเสียงแผ่วเบาของลู่เฉินดังมาจากข้าง ๆ เธอก็ได้สติ
“มีความสุขเหรอ?”
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้ว “ก็นะ”
ลู่เฉินจับมือเธอ “งั้นกลับบ้านกันเถอะ”
“ฉันยังไม่ได้กินข้าว…”
ซูโย่วอี๋มองไปอย่างตำหนิ
“ผมผิดเอง”
จากนั้น ทั้งสองก็กลับบ้านด้วยกันหลังทานอาหารเย็นที่ร้านสเต็กเสร็จ
หลังจากอาบน้ำแล้ว ซูโย่วอี๋ก็นอนหันหลังให้ลู่เฉินอยู่บนเตียง
ในห้องเงียบสนิท มีเสียงเดินของชั้นบนเป็นระยะ ๆ
ทั้งสองไม่รู้สึกง่วงนอน
แต่ทันใดนั้น แขนของลู่เฉินก็พาดผ่านคอของซูโย่วอี๋ไป กอดเธอไว้ในอ้อมแขน
การสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อทำให้ลู่เฉินรู้สึกเติมเต็มขึ้นมา
“ที่เราทะเลาะกันมันทำให้ผมรู้สึกแย่มากเลยนะ”
แต่สำหรับซูโย่วอี๋ ก็ใช่น่ะสิ?
แสงจากภายนอกหน้าต่างทำให้ซูโย่วอี๋ที่พลิกตัวกลับมาเห็นความโศกเศร้าบนใบหน้าของลู่เฉินได้อย่างชัดเจน และค่อย ๆ เลื่อนมือของเธอไปเหนือจมูกเรียวตรงของเขาและถอนหายใจ
“เมื่อคืนคุณอยากพาฉันไปไหน?”
“หอคอยเว่ย”
หอคอยเว่ยเป็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นในกรุงปักกิ่งและยังเป็นสถานที่ที่สูงที่สุดในปักกิ่ง มีความสูง 99 ชั้น ต้องใช้เวลา 4 นาทีครึ่งในการขึ้นไปถึงยอด
เมื่อยืนอยู่ในลิฟต์ชมวิว คุณจะสามารถมองเห็นเมืองหลวงทั้งหมดได้จากใต้เท้าของคุณ
นอกจากนี้ หอคอยเว่ยยังมีตำนานว่าหากคู่รักจูบกันในลิฟต์เป็นเวลา 4 นาทีครึ่งโดยไม่ถูกขัดจังหวะ พวกเขาจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต
แม้จะฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คู่รักหลายคู่ล้มเลิกที่จะไปทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า
พอได้ยินอย่างนั้น ซูโย่วอี๋ก็ชะงักไป “คุณเชื่อเรื่องนั้นเหรอ?”
“ผมไม่เชื่อหรอก แต่หลังจากมีคุณแล้ว ผมอยากจะไปกับคุณทุกที่ที่มีตำนานเลยล่ะ”
ลู่เฉินคว้ามือที่อยู่ไม่สุขของเธอแน่น “ผมไม่เชี่ยวชาญเรื่องความรู้สึก ผมยังต้องเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากอินเทอร์เน็ต จะถูกหรือผิด คุณค่อย ๆ สอนผมก็ได้”
“เรามีเวลาทั้งชีวิต”
ซูโย่วอี๋ลดสายตาลง คงเป็นเรื่องโกหกที่จะบอกว่าเธอไม่รู้สึกหวั่นไหว หลังระงับอารมณ์ปั่นป่วนในใจลง เธอก็เอ่ยตอบ “อื้ม”
หากไม่นับอวิ๋นเหมี่ยวแล้ว ลู่เฉินเองก็อยู่เหนือความคาดหมายของเธอจริง ๆ
“ถ้าคุณไม่อยากเข้าร่วมรายการดาราบันเทิง ผมจะส่งคนไปติดต่อกับทีมงานของรายการเพื่อยกเลิกให้”
“ฉันจะไป”
น้ำเสียงของซูโย่วอี๋นั้นแน่วแน่ เธอต้องวิ่งหนีเพราะอวิ๋นเหมี่ยวงั้นเหรอ?
หลังจากวิ่งหนีอีกฝ่ายมาทั้งวัน ซูโย่วอี๋ก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วในอ้อมแขนของลู่เฉิน
ลู่เฉินเองก็มองดูคนในอ้อมแขนของเขาเป็นเวลานานแล้วผล็อยหลับไปเช่นกัน
ผ่านไปพริบตาเดียว วันถ่ายทำดาราบันเทิงก็มาถึง และจะเริ่มขึ้นตอนบ่ายสองโมงนี้แล้ว ซูโย่วอี๋ที่ทำผมในตอนเช้าจึงต้องรีบไปที่สถานีโทรทัศน์หลังอาหารกลางวัน
ทางทีมงานพาเธอไปที่ห้องรับแขกหลังเวที ซึ่งมีดาราจากรักในฝันกำลังนั่งคุยกันอยู่
ฮันเจ๋อหยางอยู่ห่างออกไป เขาหลับตาพักผ่อนบนที่นั่งแต่งหน้า แต่ก็หันมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของซูโย่วอี๋
“ทำไมบ่ายวันนั้นเธอถึงออกไปล่ะ?”
“มีเรื่องด่วนน่ะค่ะ”
ฮันเจ๋อหยางถามอย่างระมัดระวัง “ยุ่งยากไหม? ต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า?”
ซูโย่วอี๋มองไปที่อวิ๋นเหมี่ยวด้วยหางตา “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“น้องสาว ถ้ามีอะไรอีกในอนาคต บอกฉันนะ พี่ชายจะปกป้องเธอเอง”
เขาวางมือบนไหล่ของเธออย่างแน่วแน่
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “อย่าเรียกฉันว่าน้องสาวนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันไม่อนุญาต”
ซูโย่วอี๋เคยได้ยินฮันเจ๋อหยางเรียกฮันเอินจีว่าน้องสาวมากกว่าหนึ่งครั้ง เลยรู้สึกว่าคำเรียกนี้มันมีเจ้าของไปแล้ว เธอจึงไม่ต้องการถูกเรียกแบบเดียวกัน
แล้วคนอย่างฮันเจ๋อหยางจะเข้าใจความแปรปรานในใจสาว ๆ ได้อย่างไร? เขาจึงดูเป็นทุกข์ “แล้วจะให้ฉันเรียกอะไรล่ะ? โย่วอี๋ก็ธรรมดาเกินไป ส่วนซูโย่วอี๋ก็ฟังไม่สนิท เสี่ยวโย่วเหรอ? หรือเสี่ยวอี๋?”
“เรียกอะไรก็ได้”
ซูโย่วอี๋กลอกตาอย่างหมดความอดทน
ขณะนั้นทีมงานก็เข้ามาแจ้งพวกเขาว่าจะเริ่มบันทึกรายการแล้ว หลายคนบนโซฟาลุกขึ้น อวิ๋นเหมี่ยวก้าวไปข้างหน้าและพูดเบา ๆ ว่า “โย่วอี๋ วันนี้เธอสวยมากเลย”
ด้วยดวงตาที่กลมโตบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เมื่อพูดคุยกับผู้คน มือของเธอจะกุมอยู่ด้านหน้าเสมอ ดูจริงใจและกระตือรือร้น
ซูโย่วอี๋รู้สึกเพียงว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายมันดูไม่จริงใจเอาเสียเลย เธอจึง
ส่งเสียงรับคำในคอแล้วหันหลังเดินจากไป
ราวกับว่าเธอรำคาญและอึดอัดใจเมื่อต้องคุยกับอีกฝ่าย
นั่นทำให้อวิ๋นเหมี่ยวดูเศร้า ๆ และมองไปที่ป๋ายลิ่น นักแสดงที่เล่นบทอูซือม่าน “รุ่นพี่ป๋าย ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่าคะ? ก็วันนี้คุณซูดูสวยไม่ใช่เหรอ?”
ป๋ายลิ่นเอามือแตะจมูกด้วยความเขินอาย “อย่ากังวลไปเลย เธออาจจะอารมณ์ไม่ดีก็ได้”
อย่างไรเสีย ที่หน้าฉาก ทุกคนก็ยังต้องรักษาความสามัคคีไว้
“เธอไม่เห็นพูดกับรุ่นพี่ฮันแบบนี้…”
ดูเหมือนอวิ๋นเหมี่ยวจะพูดกับตัวเอง แต่ทุกคนสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน
เสิ้งเซี่ยและนักแสดงชายคนที่ 3 ต่างปกป้องเธอ “เธอก็รู้ว่าตอนนี้ซูโย่วอี๋ดังแค่ไหน ในสายตาของเธอ อาจมีเพียงนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมฮันเท่านั้นที่คู่ควร”
“นั่นสิ อย่าไปถือสาเลย”
“เหมี่ยวเหมี่ยว เธอก็เหมือนกัน ทำไมคุณถึงไปทักทายเธอ ทำให้ตัวเองไม่มีความสุขเปล่า ๆ”
อวิ๋นเหมี่ยวตอบว่า “ก็เราอยู่ในทีมเดียวกันนี่”
ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่เธอแอบเดาเหตุผลที่ซูโย่วอี๋เย็นชากับเธอแบบนี้ในใจ
เธอรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องทำงานของลู่เฉินในวันนั้น หรือเธอรู้อะไรบางอย่าง?
ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ดีกับอวิ๋นเหมี่ยวทั้งนั้น
ไม่นาน เสียงโห่ร้องของผู้ชมดังขึ้นที่แผนกต้อนรับแล้ว หลายคนเดินไปที่จุดรอ
ในช่วงแรกของรายการเป็นการแสดงความสามารถ เหมือนแผนผังรายการทั่วไป ทีมงานรายการจะให้เหล่าคู่จิ้นร่วมกันแสดงจนเสร็จ
แต่คราวนี้รายการดาราบันเทิงไม่ทำตามแผนผังและขอให้ฮันเจ๋อหยางกับซูโย่วอี๋ร้องเพลงหงส์เกี้ยวหงส์แทน
เพลงนี้ขับร้องโดยฮั่วเสวียนเพื่อเป็นกำลังใจให้กับหลี่จื้อผู้มาจากแดนไกล เป็นการแสดงท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่าพลทหาร
ฮันเจ๋อหยางรับหน้าที่เล่นขลุ่ย ส่วนซูโย่วอี๋ร้องเพลง
ทันทีที่เสียงเป่าขลุ่ยดังขึ้น ฮันเจ๋อหยางก็ก้าวออกมาจากด้านหลังเวที ทันใดนั้นผู้ชมก็กริ๊ดลั่น
เสียงขลุ่ยดังขึ้น 2-3 ท่อนก่อนที่ซูโย่วอี๋จะลุกขึ้นยืนจากใจกลางเวที
ทั้งคู่ต่างสวมชุดจากละคร
[ฉันว่าแล้ว ต้องเป็นหงส์เกี้ยวหงส์]
[ฉันพอใจแล้ว มันเป็นฉากในฝันของของหลี่จื้อและฮั่วเสวียน อา นี่เป็นการชดเชยความเสียใจที่พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันในละครสินะ]
[ทีมงานรายการเก่งมาก ฟังเพลงนี้ทีไรอยากร้องไห้ทุกที]
[ย้อนฝันถึงวันแรกที่เจอกัน]
[ฉันขอถามอะไรหน่อยถาม ทำไมไม่ใช่อูซือม่าน? แล้วคู่หลักอย่างเป็นทางการล่ะ?]
[ฉันยังตั้งหน้าตั้งตารอฮั่วเสวียนกับอูซือม่าน ทีมงานรายการทำพลาดแล้ว เมื่อเทียบกับฮั่วเสวียนและหลี่จื้อแล้ว คู่อูซือม่านกับฮั่วเสวียนไม่เจ็บปวดกว่าเหรอ?]