Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 264 ส่งเธอกลับบ้าน
บทที่ 264 ส่งเธอกลับบ้าน
บทที่ 264 ส่งเธอกลับบ้าน
ทางรายการเลือกร้านอาหารซึ่งเป็นร้านปิ้งย่างที่มีชื่อเสียงในปักกิ่ง มีโต๊ะยาวที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่ม
คืนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พิธีกรเท่านั้นที่มา แต่ยังมีผู้อำนวยการ สไตลิสต์ และทีมงาน รวมถึงนักแสดงหลักทั้งหกคนจากเรื่องรักในฝัน ทำให้มีที่นั่งไม่พอ
อวิ๋นเหมี่ยวกับเสิ้งเซี่ยมาช้าไป จึงทำให้ไม่มีที่นั่ง
แต่ผู้อำนวยการยิ้มอย่างมีเลศนัย “อากาศเริ่มเย็นแล้ว เบียด ๆ กันอบอุ่นกว่านะ”
แต่ในความจริงมันเบียดกันมากเกินไปแล้วนะ
ในที่สุดทีมงานจากกองละครและเหล่าผู้ช่วยก็ต้องเปิดโต๊ะเพิ่มอีกหนึ่งโต๊ะ ทำให้เหลือที่ว่างอยู่อีกหลายที่ รวมถึงด้านข้างของซูโย่วอี๋ด้วย
เสิ้งเซี่ยอยากนั่งข้าง ๆ พระรองคนที่สาม อวิ๋นเหมี่ยวจึงพูดขึ้นมาเบา ๆ “เธอไปเถอะ ฉันนั่งกับซูโย่วอี๋ได้”
พูดจบก็ไม่ได้สนใจการตอบกลับของเสิ้งเซี่ยเลย เธอเดินไปข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ทันที
และถามขึ้นอย่างมีมารยาท “ตรงนี้ไม่มีคนนั่งใช่ไหม? ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม?”
ซูโย่วอี๋ตัวขาวราวกับหิมะอยู่ใต้แสงไฟ ขนตาเรียวยาวของเธอขยับขึ้น “อืม”
เมื่อหาที่นั่งเสร็จ พนักงานก็หยิบเมนูอาหารมาให้ “ท่านไหนจะเป็นคนสั่งอาหารครับ?”
ผู้อำนวยการที่นั่งอยู่ตรงกลางชี้ไปยังซูโย่วอี๋ “เอาให้พวกเขาเลย คุณซู คุณฮัน พวกคุณสั่งสิ่งที่พวกคุณชอบกินมาเยอะ ๆ ได้เลยครับ คงหิวกันแย่แล้ว”
ฮันเจ๋อหยางรับเมนูอาหารมา “เธออยากกินอะไร?”
“ได้หมดเลย” ซูโย่วอี๋กวาดสายตามอง “ฉันไม่เลือก”
ฮันเจ๋อหยางหยิบปากกาขึ้นมาและวงไปหลายอย่าง ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ซูโย่วอี๋ชอบกิน
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรขาดหายไป ฮันเจ๋อหยางเตรียมส่งใบสั่งอาหารให้พนักงาน แต่ซูโย่วอี๋รั้งเขาเอาไว้ “ยังขาดไปอีกอย่าง”
ฮันเจ๋อหยางมึนงง หลังจากนั้นก็รีบตอบกลับในทันที “อ้อ ใช่ กุยช่าย ฉันไม่ชอบอะไรที่มีรสชาติประหลาด ๆ เลย มีแค่เธอกับพ่อที่ชอบกิน”
“อย่าโทษที่ฉันจำไม่ได้นะ คนปกติที่ไหนเขากินกันล่ะ”
ซูโย่วอี๋ไม่พอใจ “มีแค่พี่ที่ไม่กินเท่านั้นเหละ มีคนที่ชอบกินตั้งเยอะแยะ”
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ทุกคนสั่งอาหารเสร็จแล้ว ก็ไม่มีใครกินกุยช่ายเป็นเพื่อนเธอสักคน!
ฮันเจ๋อหยางเลิกคิ้วขึ้น “ฉันพูดไม่ผิดใช่ไหม กุยช่ายไม่ใช่สิ่งที่คนปกติเค้ากินกัน”
ซูโย่วอี๋หมดกำลังใจจึงพูดกับพนักงาน “รบกวน ขอเปลี่ยนกุยช่ายเป็นสองที่พอค่ะ”
ตอนแรกที่เธอสั่งก็คิดว่ามีคนกินเยอะจึงสั่งไปห้าไม้ คิดไม่ถึงว่าของอร่อยแบบนี้จะไม่มีคนกิน!
น่าเสียดายจริง ๆ
ระหว่างเสิร์ฟอาหาร เหวยเหวยที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริการก็ถามทุกคนว่าอยากดื่มเหล้าอะไร
ผู้อำนวยการที่นั่งพิงเก้าอี้ไปครึ่งตัวพูดขึ้น “พวกผู้ชายมาดื่มเหล้ากันหน่อย เอาแค่สนุก ๆ พอแล้วกัน ส่วนพวกผู้หญิง ผมไม่บังคับ เอาอย่างนี้ ถ้าอยากดื่มก็ดื่มได้เลย ตกลงไหม?”
พนักงานนำเบียร์สองลังและเหล้าขาวเหล้าแดงมา 2-3 ขวด พวกผู้ชายถือกันคนละขวดอย่างรวดเร็ว
ฮันเจ๋อหยางไม่ได้ขยับไปไหน
เหวยเหวยเดินมาด้านข้างซูโย่วอี๋ “คนสวย พวกคุณดื่มอะไรดี?”
ซูโย่วอี๋ไม่ใช่คนที่ไม่ดื่มเหล้าเก่งอะไร อีกทั้งมีฮันเจ๋อหยางและเหมยเหมยอยู่ด้วย เธอจึงไม่ได้ห่วงว่าถ้าดื่มจนเมาแล้วจะไม่มีคนดูแล
พอเธอกำลังจะพูดว่าขอเบียร์ ฮันเจ๋อหยางก็รีบปฏิเสธเสียงแข็งแทนเธอทันที “โย่วอี๋ เธอไม่ค่อยสบาย ดื่มเหล้าไม่ได้”
ผู้อำนวยการล้อเล่นขึ้นมา “อ่า เสี่ยวฮัน คุณซูยังไม่ทันพูดอะไรเลย เธอแค่อยากดื่มสักหน่อย นี่นายกำลังทำเธอหมดสนุกอยู่นะ”
ฮันเจ๋อหยางพูดในใจ อยากดื่มก็ไม่ได้!
ตราบใดที่มีเขาอยู่ อย่าหวังว่าซูโย่วอี๋จะได้ดื่มเหล้าสักหยด
ถ้ามีใครถามล่ะก็ เขาก็จะบอกว่าคนที่บ้านเข้มงวดกับเรื่องนี้มาก
เพียงแต่ว่าน้ำเสียงของฮันเจ๋อหยางนั้นดูเกรงใจอีกฝ่ายมาก “ผู้อำนวยการ ร่างกายของเธอไม่ค่อยแข็งแรงครับ เอางี้ ผมช่วยดื่มเหล้าของซูโย่วอี๋ให้เอง”
พูดถึงขนาดนี้ ใครจะกล้าบังคับ
อวิ๋นเหมี่ยวมองซูโย่วอี๋อย่างอิจฉา “รุ่นพี่ฮันเป็นห่วงโย่วอี๋มากจริง ๆ นะคะ ใส่ใจกว่าแฟนของฉันอีก”
“โย่วอี๋ เธอสนิทกับรุ่นพี่ฮันขนาดนี้ ประธานลู่ไม่หึงเอาเหรอ?”
แม้น้ำเสียงของหญิงสาวจะดูไม่จริงจัง
แต่ซูโย่วอี๋ก็อดไม่ไหวจนอยากจะกลอกตา
ผู้หญิงคนนี้มาจากที่ไหนกันนะ พูดจาทีมีแต่อะไรแปลก ๆ หลุดออกมา
“ที่รักของฉันเขาเป็นคนใจกว้าง และตั้งใจให้ฮันเจ๋อหยางดูแลฉันเวลาอยู่ข้างนอกโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้ฉันโดนหลอกง่าย ๆ น่ะ”
“ประธานลู่ดีกับเธอจริง ๆ”
ทั้งที่เป็นแค่คำพูดปกติธรรมดา ๆ แต่พอมันมาจากปากของอวิ๋นเหมี่ยว มันก็ทำให้ซูโย่วอี๋รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมาทุกที
ซูโย่วอี๋ไม่สนใจเธออีกต่อไป เพราะปิ้งย่างมาเสิร์ฟแล้ว!
แต่ยังไม่ทันได้เริ่มกิน ผู้อำนวยการเชิญทุกคนให้ดื่มพร้อมกัน “ผมขอเป็นตัวแทนในนามของสถานีโทรทัศน์ของพวกเราต้อนรับทุกท่านอย่างอบอุ่น ทุกท่านที่มาพบกันอยู่ที่นี่ล้วนเป็นเพราะมีโชคชะตาต่อกัน”
“ชนแก้วให้กับโชคชะตาของพวกเรา”
นอกจากซูโย่วอี๋แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็ดื่มเหล้ากันทั้งหมด
ในแก้วของพวกเขามีเหล้าหลากหลายสี ทั้งสีเหลือง สีขาว สีแดง มีเพียงแก้วของซูโย่วอี๋เท่านั้นที่เป็นน้ำส้ม และยังมีผลไม้ลอยอยู่ในนั้นด้วย
ซูโย่วอี๋จิบเข้าไปเล็กน้อยและวางมันลง พร้อมกับเริ่มกินปิ้งย่าง
กินไปสักพัก ก็มีคนเข้ามารินเหล้าให้ ส่วนอวิ๋นเหมี่ยวและคนอื่น ๆ ต่างก็ออกไปขอชนเหล้ากับคนอื่น ๆ
ทุกคนต่างชนเหล้ากัน
พูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
ส่วนซูโย่วอี๋ฝังตัวอยู่บนที่นั่งและกินเนื้อย่างอยู่เพียงคนเดียว และดื่มน้ำผลไม้เข้าไปไม่น้อย เธอจึงอิ่มอย่างรวดเร็ว
ในทางกลับกัน ฮันเจ๋อหยางนั้นดวงตาแดงก่ำ
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย “ดื่มน้อย ๆ หน่อย”
“เธอกำลังเป็นห่วงฉันเหรอ? น้องสาว”
เขาบ่นพึมพำและดูเมานิดหน่อย
“ไม่ใช่ว่าฉันบอกไปแล้วเหรอว่าอย่าเรียกฉันว่าน้องสาว?”
ฮันเจ๋อหยางจ้องเธอเขม็ง “ฉันจะเรียก ฉันชอบเรียก น้องสาว ๆ ๆ ๆ…”
ซูโย่วอี๋เบิกตาอัลมอนด์ของเธอขึ้นเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าพอฮันเจ๋อหยางเมาแล้วจะกลายเป็นเด็กน้อยขนาดนี้
เธอกลัวว่าเขาจะโวยวายอีกจึงจำยอม “โอเค ๆ ๆ พี่เรียกไปเลย”
“นี่สิ ค่อยพูดรู้เรื่องหน่อย”
ซูโย่วอี๋เฝ้าดูผู้คนที่หลั่งไหลมาชนเหล้ากับฮันเจ๋อหยางอย่างต่อเนื่อง คนแล้วคนเล่า จนคนสุดท้ายจากไป ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น “ฮันเจ๋อหยาง เบา ๆ สิ พี่ดื่มไปเยอะแล้วนะ กลับไปอ้วกมันไม่สนุกนะ ยิ่งพี่คอไม่แข็งแบบนี้ด้วย”
ฮันเจ๋อหยางมองเธออย่างไม่พอใจ “ฉันดื่มเหล้าเก่งจะตาย”
ซูโย่วอี๋เลิกคิ้ว
ได้
เก่งนักใช่ไหม?
หลังจากดื่มไปสามรอบ ฮันเจ๋อหยางก็ไปนอนฟุบอยู่บนโต๊ะเสียแล้ว
ซูโย่วอี๋หัวเราะเยาะเขาเบา ๆ
ตอนนี้เธอกินจนพอใจแล้วจึงอยากหาข้ออ้างพาฮันเจ๋อหยางกลับ
ไม่งั้นก็คงไม่มีเหตุผลอื่นจริง ๆ
แต่อวิ๋นเหมี่ยวกลับพูดขึ้นมาในทันที “โย่วอี๋ กุยช่ายของเธอยังไม่มาเลย? หลังครัวเขาลืมไปแล้วหรือเปล่า?”
ตัวของซูโย่วอี๋เองก็เกือบจะลืมไปแล้ว
“ฉันอิ่มแล้ว ไม่มาก็เอาคืนเถอะ”
อวิ๋นเหมี่ยวลุกขึ้น “ฉันกำลังจะไปห้องน้ำพอดี เดี๋ยวช่วยไปถามให้เธอแล้วกันนะ ถ้าเขาลืมทำก็คืนของไป แต่ถ้าทำแล้วฉันจะช่วยหยิบมาให้เธอเอง”
“เมื่อก่อนตอนอยู่ที่กองถ่ายเธอชอบกินมากเลยนี่”
ไม่รอให้ซูโย่วอี๋ได้ปฏิเสธ อวิ๋นเหมี่ยวก็เดินไปแล้ว
ซูโย่วอี๋มองดูแผ่นหลังของอวิ๋นเหมี่ยวอย่างเบื่อหน่าย นี่เธอไปกินยาอะไรผิดขวดมาหรือเปล่า
แต่หลังจากที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ของลู่เฉินกับอวิ๋นเหมี่ยวแล้ว ซูโย่วอี๋ก็ไม่ได้อยากรักษาความสัมพันธ์อันผิวเผินแบบนี้เอาไว้
เธอเดินไปข้าง ๆ ผู้อำนวยการ “ขอโทษทีนะคะผู้อำนวยการ ฮันเจ๋อหยางเมามากแล้ว ฉันไปส่งเขากลับก่อน”
ผู้อำนวยการเองก็ดูเมาแล้วเช่นกัน แต่ยังมีสติอยู่ “ให้ผู้ช่วยส่งเสี่ยวฮันกลับไปก็ได้ คุณอยู่กินต่อเถอะ”
ซูโย่วอี๋ชะงักค้างไป “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของพวกคุณนะคะ แต่วันนี้ฉันไม่ได้ดื่มเหล้าก็เลยเบื่อ ๆ น่ะ ครั้งหน้าถ้ามีโอกาสจะดื่มกับคุณนะคะ”
ซูโย่วอี๋เป็นคนของใครทุกคนล้วนรู้กันดีจึงไม่มีใครกล้าว่าอะไรเธอ
ผู้อำนวยเองก็พยักหน้า “ตกลง เดินทางปลอดภัยนะ”
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจออกมา เธอกลัวการรักษาภาพความกระตือรือร้นในที่ทำงานมากที่สุด
ยังดีที่ผู้อำนวยการไม่ได้ตื๊อต่อ
พอเธอจะหยิบกระเป๋าขึ้นมา อวิ๋นเหมี่ยวก็หยิบจานกุยช่ายเดินกลับมาแล้ว
“โย่วอี๋ เธอจะกลับแล้วเหรอ?”
“อืม”
สายตาของซูโย่วอี๋ชำเลืองมองกุยช่ายสด ๆ ในจานและไม่ได้พูดอะไร
อวิ๋นเหมี่ยวก็รู้สึกเกร็งเล็กน้อย “เธอจะกินก่อนแล้วค่อยกลับไหม?”
“ไม่กินแล้วล่ะ” ซูโย่วอี๋ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูห่างเหิน
อวิ๋นเหมี่ยวรู้สึกลำบากใจขึ้นมา “โย่วอี๋ ฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือเปล่า? ทำไมช่วงนี้เธอถึงดูเย็นชากับฉันจัง”
เสียงของอวิ๋นเหมี่ยวไม่เบาเลย จึงดึงดูดความสนใจของคนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เพียงแต่ว่าไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกคนจึงทำเป็นเหมือนว่าเมาและแสร้งว่าไม่ได้ยิน
ซูโย่วอี๋มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “เธออยากจะพูดอะไรกันแน่?”
“ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรหรือทำอะไร ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ถ้าฉันไม่ทันระวังและทำให้เธอไม่พอใจ ฉันต้องขอโทษเธอด้วย เธออย่าโกรธเลยนะ”
“ในครัวลืมทำกุยช่ายจานนี้ ตอนที่ฉันเข้าไป ก็อยากจะคืนให้พนักงานแล้ว แต่ในครัวรู้สึกเสียใจมาก จึงขอโทษฉันกันใหญ่ บอกว่าเป็นความผิดของพวกเขา แล้วก็รีบปิ้งมาสองไม้เพื่อเป็นการไถ่โทษให้พวกเรา”
“ฉันไม่อยากให้พวกเขารู้สึกเสียใจที่อุตส่าห์ทำอาหารมาให้ เธอกินสักหน่อยสิ?”
ความหมายคือถ้าซูโย่วอี๋ไม่กิน ก็หมายความว่าเธอไม่ให้อภัยที่ในครัวทำอาหารผิดพลาด
ซูโย่วอี๋ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหน
อวิ๋นเหมี่ยวก้มหน้าลงอย่างเสียใจ “พวกเราไม่มีใครกิน เธอก็รู้นี่”
ซูโย่วอี๋มองเห็นทุกคนบนโต๊ะด้วยหางตา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าถ้าเธอไม่กินกุยช่ายจานนี้ก็จะมีแต่ทำให้ทุกคนสงสัย
เธอเลิกคิ้ว
ตกลง
ก็ได้
ก็แค่กุยช่ายสองไม้นี่
เธอรับมาและกินจนหมดเกลี้ยง
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองคนที่เอาแต่คิดแทนคนอื่นตรงหน้า ผู้หญิงที่เหมือนกำลังจุดไฟเผาเธอ
“โอเคแล้วใช่มั้ย?”
อวิ๋นเหมี่ยวกัดริมฝีปากตัวเอง “ฉันไม่ได้บังคับให้คุณกินให้หมดซะหน่อย กินแค่นิดหน่อยก็พอแล้ว”
อ่า
กินก็ไม่ได้ ไม่กินก็ไม่ได้
ไม่ว่ายังไงผลประโยชน์ทั้งหมดก็ตกอยู่ที่อวิ๋นเหมี่ยวคนเดียว
ซูโย่วอี๋หยิบกระเป๋าของเธอและออกมาจากร้านอาหาร เดินไปได้สองก้าวจึงนึกถึงฮันเจ๋อหยางและเหมยเหมยขึ้นมา ก็หมุนตัวกลับไปอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าเดินไปไม่ถึงสองก้าว เธอรู้สึกเวียนหัวและไม่มีเรี่ยวแรง
ตอนที่เธอกำลังจะล้มลงกับพื้นนั้น มีมือคู่หนึ่งประคองเธอไว้และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แต่เธอกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา
“อะไรกัน เมาเหรอ? งั้นฉันไปส่งเธอกลับบ้านเองนะ”
พอซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้น จ้องมองใบหน้าของอวิ๋นเหมี่ยวที่เปลี่ยนไป และสายตาที่ดูไม่น่าไว้วางใจคู่นั้น
“นี่เธอกล้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ ซูโย่วอี๋ก็หมดสติไปและล้มลงไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเหมี่ยว
อวิ๋นเหมี่ยวโอบเอวของซูโย่วอี๋เอาไว้และดึงร่างของเธอเดินไปยังที่ลับตาคน
แต่เดินไปไม่ถึงสองก้าวก็รู้สึกเหนื่อยมากจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาซวี่เฟิง “เธออยู่นี่แล้ว คุณมารับไปเองเลย”
ปลายสายพูดอย่างอารมณ์ดี “ที่รัก คุณนี่เก่งจริง ๆ ส่งตำแหน่งของคุณมา ผมจะรีบไป”
เพราะร้านปิ้งย่างอยู่ไม่ไกลจากสถานนีโทรทัศน์ ซวี่เฟิงจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว
เขามองไปที่คิ้วและดวงตาอันบอบบางของซูโย่วอี๋ น้ำลายแทบจะไหลออกมา
เขารีบรับเธอมาไว้ในอ้อมแขนทันที “ไปแล้วนะ”
อวิ๋นเหมี่ยวหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าทำไมในใจถึงรู้สึกร้อนรนมาก ๆ กันนะ
“ซวี่เฟิง”
ซวี่เฟิงกลับไม่ยอมหยุดเดินเลย “เวลาอันนี้มีค่าพึ่งจะมาถึง ถ้าคุณมีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยคุยแล้วกัน”
จนกระทั่งเขาเดินหายไป อวิ๋นเหมี่ยวก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
หากมองดูดี ๆ มือของเธอยังสั่นอยู่เลย
เป็นเรื่องจริงที่อวิ๋นเหมี่ยวช่วยซวี่เฟิงทำร้ายผู้หญิงมาไม่น้อย แต่คนพวกนั้นไม่ได้มีเบื้องหลังอะไร
ถ้าลู่เฉินรู้ว่าเธอทำร้ายซูโย่วอี๋…
อวิ๋นเหมี่ยวรีบหยุดความคิดนี้เอาไว้ทันที สิ่งที่เธอต้องทำตอนนี้ไม่ใช่มาคิดอะไรเลอะเทอะ แต่ควรจะกลับไปที่ร้านและทำลายหลักฐานทิ้ง!