Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 271 แม่
บทที่ 271 แม่
บทที่ 271 แม่
พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมถุงกุ้งสด
“ประธานลู่ ผมไม่รบกวนคุณแล้วครับ ถ้าคูณซูมีอาการอะไรสามารถติดต่อผมได้เลยนะครับ”
ฮัวจิงกลอกตา “เพื่อสุขภาพของคุณซู ผมจะรับหน้าที่ตรวจก่อนออกโรงพยาบาลให้เอง ประธานลู่วางใจได้เลยครับ”
พูดจบเขาก็จากไป
จากนั้นพยาบาลก้าวเข้ามาอย่างลังเล “ประธานลู่คะ จะทำกุ้งตอนนี้เลยไหมคะ?”
ลู่เฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่สายตามองอยู่ที่รายงานการตรวจร่างกาย “คุณจัดการก่อนเลย”
ร่างกายของซูโย่วอี๋แย่มากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
ครุ่นคิดสักครู่ เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรออก
อาจเป็นเพราะประตูวอร์ดปิดไม่แน่น ซูโย่วอี๋จึงตื่นมาตั้งแต่ตอนที่ลู่เฉินคุยกับฮัวจิงแล้ว
แต่เธอไม่อยากพบฮัวจิง จึงไม่ได้ออกไป
ส่วนตอนที่อยากออกไป กลับได้ยินลู่เฉินกำลังโทรศัพท์
เขาคุยเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ดีมาก ซึ่งซูโย่วอี๋ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“เจ้าจิ้งจอกเน่า เขากำลังพูดอะไร?”
หางของสุนัขจิ้งจอกกระดิกไปมา [น่าจะเกี่ยวกับโรงพยาบาลที่เก่งกว่าโรงพยาบาลเป๋าไป่ ลู่เฉินบอกว่ารออีกแป๊บจะส่งรายละเอียดอาการของคุณไปให้ ให้ลองดูว่าทางนั้นมีวิธีการอะไรที่สามารถรักษาร่างกายที่อ่อนแอของคุณบ้างไหมน่ะ]
ซูโย่วอี๋จ้องมองไปที่เพดาน
เมื่อได้ยินว่าลู่เฉินคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเธอก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินออกไป
“เสียงดังจนทำคุณตื่นเลยเหรอ?” ลู่เฉินรีบเข้ามาพยุงเธอ
เขาทำราวกับว่าตอนนี้เธอเป็นตุ๊กตาที่จะแตกสลายทันทีที่สัมผัส แม้แต่จะเดินยังลำบากเลย
ครึ่งตัวของซูโย่วอี๋พิงไปในอ้อมแขนของลู่เฉิน “เมื่อกี้นี้คุณกำลังคุยโทรศัพท์กับใครเหรอ?”
“เชฟชาวต่างชาติ”
“กำลังคุยกันว่าต้องทำยังไงถึงจะทำให้โจ๊กกุ้งมีกลิ่นหอมมากขึ้น”
ซูโย่วอี๋งุ้มริมฝีปากขึ้น “ไร้สาระ”
ไม่ใช่สักหน่อย
“คุณฟังออกเหรอ?”
“ฟังไม่ออก แต่น้ำเสียงของคุณดูจริงจัง ไม่เหมือนกับกำลังพูดเรื่องทำอาหาร ฉันเดานะ เกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของฉันใช่ไหม?”
ลู่เฉินจ้องไปที่เธอ “เจ้าแมวจอมขี้เกียจ คุณนี่ฉลาดจริง ๆ”
รอให้เธอนั่งลงบนโซฟาอย่างมั่งคงแล้ว ลู่เฉินจึงปล่อยมือออก “นอนมาทั้งวัน คุณเบื่อหรือเปล่า อยากจะออกไปเดินเล่นไหม?”
ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า ตอนนี้เธอยังฟื้นฟูร่างกายได้ไม่เต็มที่ แค่เดินยังลำบากเลย
“คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ?”
ลู่เฉินเลี่ยงที่จะตอบ “ช่วงนี้ว่าง ผมไปต้มโจ๊กก่อนนะ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกเบื่อ ๆ จึงเปิดดูข่าวในโทรศัพท์ และพบว่าเมื่อคืนนี้ซูหยินส่งข้อความมาหาเธอในวีแชท
[ที่รัก คนโง่มาขอฉันแต่งงานแล้ว]
ส่วนด้านล่างคือรูปใบหน้าของซูหยินที่ดูมีความสุขมาก เธอยกมือขึ้นโชว์แหวนเพชรดาวหกเหลี่ยมบนนิ้วนาง
ซูโย่วอี๋ขยายรูปให้ใหญ่ขึ้นและมองดูอย่างละเอียดหลายรอบ
น้ำตาของเธอไหลออกมาไม่รู้ตัว
นิ้วมือแตะลงที่หน้าจอเบา ๆ เธอลบข้อความแล้วก็พิมพ์ใหม่อยู่หลายรอบ จนสุดท้ายเหลือไว้เพียงประโยคเดียว [เพชรเม็ดใหญ่มาก! ยินดีกับเธอด้วย หยินหยินคนสวยสุดที่รักของฉัน]
อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว [ฉันอยากให้เธอมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว]
มือของซูโย่วอี๋นิ่งค้างไป [เพื่อนเจ้าสาวเป็นผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน เธอโอเคเหรอ?]
[ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นสักหน่อย ตอนที่ฉันแต่งงาน เธอจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวคนเดียวของฉัน]
ซูโย่วอี๋ยิ้มให้กับโทรศัพท์ในมือราวกับมันเป็นดอกไม้บาน แม้แต่เสียงเปิดประตู เธอก็ไม่ได้ยิน
แต่ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ตั้งใจ ก็สบตาเข้ากับฮันเจ๋อหยางจนสะดุ้งเฮือก
“พี่ทำอะไร?”
ใบหน้าของฮันเจ๋อหยางเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบสอพลอ “น้องสาว ตอนนี้อารมณ์ของเธอดีอยู่ใช่ไหม?”
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรก็พูดมา”
“ไม่มี” ฮันเจ๋อหยางผลักประตูให้เปิดออกและเดินเข้ามา “ฉันพาพ่อแม่แล้วก็พี่ใหญ่มาเยี่ยมน่ะ”
ที่ด้านหลังมีคนมาเพิ่มอีกสามคน ฮันเจ๋อเหยียนอยู่สวมชุดสูทและรองเท้าหนังพร้อมทั้งถือถุงอาหารเสริมและผลไม้มาสองถุง
พวกเขามองหน้ากัน
ในที่นี้ซูโย่วอี๋พูดได้อย่างเต้มปากว่าเธอสนิทกับฮันเจ๋อหยางมากที่สุด จึงไม่ได้อึดอัดมากนักกับใบหน้ารู้สึกผิดของเขา “น้องสาว ฉันขอโทษนะ เมื่อคืนนั้นฉันดื่มจนเมา ไม่งั้นพี่จะไม่มีทางยอมให้เธอไปเจอกับเรื่องอย่างงี้เด็ดขาด”
“ฉันสมควรตาย”
เขาสำนึกผิดอย่างเห็นได้ชัดและพูดอะไรที่เกินจริงไปเล็กน้อย
ซูโย่วอี๋โบกมือ “พอเลย พวกคุณรู้เรื่องกันหมดแล้วเหรอ?”
“จะไม่รู้ได้ยังไง? ตอนที่กำลังกินข้าวอยู่ จู่ ๆ คนที่นั่งรวมโต๊ะก็ถูกตำรวจรวบตัวไป อวิ๋นเหมี่ยวถูกจับได้ในสถานที่เกิดเหตุเลยล่ะ”
“แต่เธอวางใจเถอะ ประธานลู่ควบคุมสถานการณ์เอาไว้แล้ว และไม่ให้ทุกคนเอาเรื่องนี้ออกไปพูดข้างนอก”
ถึงว่าทำไมวันนี้อินเตอร์เน็ตยังสงบอยู่
ซูโย่วอี๋ไม่ได้โทษฮันเจ๋อหยางเลยแม้แต่น้อย ว่ากันตามตรง ฮันเจ๋อหยางเมาก็เพราะว่าเขาดื่มเหล้าแทนเธอ
“ฉันไม่เป็นอะไร”
ภายในห้องเงียบลงไปครู่หนึ่ง ซูโย่วอี๋สังเกตเห็นคนทั้งสามคนที่ยืนอยู่โดยที่ไม่แม้แต่จะนั่งลงและก็ไม่พูดอะไรสักคำ
พวกเขาเอาแต่มองเธออยู่อย่างงั้น
สายตาของคู่สามีภรรยาฮันดูกระตือรือร้นและเป็นกังวล
“เชิญนั่งค่ะ”
ส่วนลู่เฉินที่ได้ยินเสียงก็เดินออกมาจากห้องครัว “คุณลุงฮัน คุณป้าฮัน”
คุณชายฮันไม่รู้ว่าควรจะพูดกับลูกสาวอย่างไร การหันหน้าไปพูดกับลู่เฉินก็ดูจะสบายใจมากกว่า “ขอบคุณนะครับที่ช่วยโย่วอี๋เอาไว้”
“ทางการไปแล้วครับ”
ตั้งแต่เดินเข้าประตูมาคุณนายฮันก็อดทนเอาไว้นานมาก ในที่สุดก็อดไม่ได้จนต้องเดินเข้าไปและนั่งลงข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ “ลูกเจ็บหรือเปล่า?”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็เห็นรอยแผลที่คอของเธอ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด “ลูกบาดเจ็บนี่”
พออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ มันก็ยิ่งทำให้ซูโย่วอี๋รับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่ผู้หญิงตรงหน้ามีต่อเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณป้าคะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
คุณนายฮันสำลักด้วยความสะอื้น “จะไม่เป็นไรได้ยังไง? ลูกพึ่งจะยี่สิบสี่เองนะ ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้จะไม่กลัวได้ยังไง? แม่กับพ่อของลูกพึ่งจะรู้เรื่องการมีตัวตนอยู่ของลูกได้ไม่นาน และอยากจะให้เวลาลูกค่อย ๆ ยอมรับพวกเรา แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับลูกได้!”
“โย่วอี๋ หลายปีมานี้พวกเราไม่เคยทำหน้าที่พ่อกับแม่เลย พวกเราไม่มีทางร้องขอให้ลูกให้อภัย แต่ยังไงลูกก็เป็นเลือดเนื้อของพวกเรา โดยเฉพาะหลังจากที่เกิดเรื่องแบบนี้ แม่ไม่กล้าปล่อยให้ลูกอยู่ข้างนอกคนเดียวอีกแล้ว”
“กลับมาได้ไหม?”
พูดถึงตอนนี้ คุณนายฮันก็ร้องไห้
คำว่า ‘แม่’ ที่ซูโย่วอี๋ไม่คุ้นเคยแต่มันกลับตราตึงอยู่ในใจของเธอ เธอจึงเอื้อมมือไปกุมมือของผู้หญิงตรงหน้า
และลูบเบา ๆ ที่หลังมือ
เหมือนเป็นการปลอบโยนอันไร้เสียง
คุณนายฮันพลิกมือและจับมือของซูโย่วอี๋เอาไว้ ด้วยเพราะแรงของซูโย่วอี๋นั้นมีน้อยมาก แต่คุณนายฮันบีบมือเธอแน่นราวกับกลัวว่ามือที่กำลังจับอยู่จะวิ่งหนีไป
“ถ้ามีพ่อกับแม่อยู่ ใครก็ตามในประเทศจีนจะไม่มีกล้ารังแกลูกได้อีก”
ทั้งสองกุมมือกันเนิ่นนานอยู่แบบนั้น จนซูโย่วอี๋พูดขึ้นมาว่า “ให้ฉันคิดก่อนนะคะ”
คำพูดนั้นของเธอทำให้คุณนายฮันดีใจ “ไม่ต้องรีบร้อนนะ ลูกค่อย ๆ คิดให้ดีก็ได้”
“ลูกอยากกินอะไร? แม่จะไปทำให้ลูกเอง ลูกยังไม่เคยกินอาหารฝีมือแม่เลยนี่”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นมองลู่เฉิน “คุณป้าฮันคะ ลู่เฉินกำลังทำอยู่ค่ะ ไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ”
“ไม่รบกวนเลย อีกอย่างนะ เสี่ยวลู่จะทำอาหารได้แค่ไหนกัน? ช่างเถอะ ลูกอาจจะพูดเพราะความเกรงใจ แม่จะทำตามที่แม่ชอบทำแล้วกัน ลูกหน้าตาเหมือนแม่ขนาดนี้ น่าจะชอบรสชาติเหมือนแม่”
คำว่าแม่ทำให้ซูโย่วอี๋ไม่ค่อยคุ้นชิน
จากนั้นคุณชายฮันก็เรียกให้ลู่เฉินเข้าไปหาและถามเรื่องอาการของลูกสาว
ฮันเจ๋อเหยียนเองก็ฟังไปด้วยและแกะผลไม้ที่ถือมา เขาหยิบกล้วยออกมา ปลอกเปลือกออก และส่งให้ซูโย่วอี๋ “ลองกินดูสิว่าอร่อยไหม พี่ซื้อมาให้”
ได้ยินอย่างนั้นฮันเจ๋อหยางก็กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น ใครซื้อมันสำคัญด้วยเหรอ?
แต่ดูท่าฮันเจ๋อเหยียนจะคิดว่ามันสำคัญ!
“ขอบคุณค่ะ ประธานฮัน”
มุมปากของฮันเจ๋อเหยียนยกโค้งขึ้น “ถ้าเธอไม่ชอบเรียกฉันว่าพี่ใหญ่ ก็เรียกชื่อฉันเลยก็ได้”
อย่าเรียกว่าประธานฮันเลย ดูห่างไกลแปลก ๆ
ซูโย่วอี๋กินกล้วยเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไร
ส่วนฮันเจ๋อหยางไม่ทนอีกต่อไป “พี่ใหญ่ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย ตอนเด็ก ๆ ผมไม่อยากเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ ผมก็ถูกพี่ตี”
“ตอนเด็กกับตอนโตไม่เหมือนกันสักหน่อย”
ฮันเจ๋อหยางพูดขึ้น “พี่มันสองมาตราฐาน ให้คนอื่นพิเศษกว่าตลอด”
ฮันเจ๋อเหยียนพูดอย่างเอาแต่ใจ “ก็ฉันพอใจ”
เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋กินกล้วยหมดแล้ว จึงถามขึ้น “อยากดื่มน้ำหน่อยไหม?”
หึ
“ไม่ค่ะ”
“แล้วขนมล่ะ?”
ซูโย่วอี๋พยายามยิ้มเอาไว้ “ตอนนี้ไม่อยากกินค่ะ”
ฮันเจ๋อหยางหัวเราะ “ฮ่ะฮ่า พี่ใหญ่ ในที่สุดก็มีเวลาที่พี่ชนกับกำแพงแล้ว”
ฮันเจ๋อเหยียนส่งสายตาน่าขนลุกไปทันที จนฮันเจ๋อหยางต้องหุบปากลงอย่างว่าง่าย
จากนั้นซูโย่วอี๋หาข้ออ้างไปเข้าห้องน้ำ
เธอมองดูตัวเองในกระจก หน้ายังคงดูขาวซีด
แต่อารมณ์ของซูโย่วอี๋ในตอนนี้ไม่ถือว่าแย่ การมาของตระกูลฮันทำให้ห้องพักผู้ป่วยดูจะมีบรรยากาศอบอุ่นขึ้นมาไม่น้อย
เธอดูออกว่าคู่สามีภรรยาฮันรวมถึงฮันเจ๋อเหยียน รักเธอมากจริง ๆ
“โย่วอี๋ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสียงของลู่เฉินดังขึ้นมา ซูโย่วอี๋จึงนึกขึ้นมาได้ว่าเธอเข้าห้องน้ำมานานแล้วและก็ไม่ได้ขยับเขยื้อน จนทำให้คนด้านนอกเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ฉันกำลังจะออกไป”
กดชักโครกและเดินออกไป
เพราะคุณชายฮันและฮันเจ๋อเหยียนต่างก็เป็นคนพูดไม่เก่ง ทำให้ที่นี่ดูน่าอึดอัดขึ้นมาในทันที
คุณชายฮันกระแอมขึ้นมาเบา ๆ “เสี่ยวอี๋ ลูกอยากดูโทรทัศน์ไหม?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า
ฮันเจ๋อหยางจึงรีบเปิดโทรทัศน์ “อยากดูอะไร?”
ทุกคนมองไปยังซูโย่วอี๋อย่างพร้อมเพียงและโยนให้เธอตัดสินใจทั้งหมด
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าเธอได้รับความสนใจมากเกินไป “ได้หมดเลยค่ะ”
ดูอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เอาความสนใจมาใส่ไว้บนตัวเธอก็พอ
ฮันเจ๋อหยางเปลี่ยนช่องไปมา พอดีกับที่ละครรักในฝันเป็นรายการแนะนำสูงสุด
คุณชายฮันถามอย่างไม่แน่ใจ “นี่ละครที่เสี่ยวอี๋แสดงใช่ไหม งั้นก็ดูอันนี้ละกัน”
ฮันเจ๋อหยางหยิบรีโมตมาอย่างไม่พอใจ “พ่อ เรื่องนี้ผมเป็นตัวแสดงหลักนะ!”
“งั้นทำไมรูปของเสี่ยวอี๋ถึงใหญ่กว่าของลูกอีกล่ะ?”
ฮันเจ๋อหยางฟึดฟัดขึ้นมา
ราวกับว่าในละครเรื่องนี้เขาถูกซูโย่วอี๋บดบังแสงสว่างทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาได้อยู่ตำแหน่งตรงกลางตรงนั้น ภาพโปรโมทก็คงตัดเขาออกไปแล้วมั้ง
เป็นครั้งแรกที่ฮันเจ๋อหยางรู้สึกหดหู่ที่ต้องดูละครของตัวเอง
เขาเลือกตอนไปอย่างมั่ว ๆ
ดูไปตั้งนานล้วนเป็นฉากของพระเอกกับนางเอก ไม่มีวี่แววของซูโย่วอี๋เลยสักนิด
คุณชายฮันขมวดคิ้ว “เสี่ยวอี๋อยู่ไหน?”
ซูโย่วอี๋อธิบายขึ้นมา “ตอนนี้มันค่อนข้างจะเป็นตอนแรก ๆ น่ะค่ะ ยังไม่มีบทของฉันค่ะ”
“อ๋อ” คุณชายฮันพยักหน้า “เจ๋อหยาง ลองดูสิว่าตอนไหนมีเสี่ยวอี๋ เปลี่ยนตอนเลย”
“พ่อ ใจของพ่อเปลี่ยนไปแล้วเหรอ”
ถึงเขาจะงอแง แต่มือก็กดเปลี่ยนไปตอนที่มีฮั่วเสวียนอย่างรวดเร็ว
เดิมทีคุณชายฮันไม่ชอบดูโทรทัศน์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีลูกสาวแสดงอยู่หรือเปล่า คุณชายฮันจึงรู้สึกว่ามันน่าดูมาก รอจนกระทั่งฮั่วเสวียนขี่ม้าปรากฏตัวขึ้นมาในฉาก คุณชายฮันชื่นชมขึ้นมา “เสี่ยวอี๋ขี่ม้าได้เท่มากเลย”
ซูโย่วอี๋ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็รู้สึกเกร็ง ๆ
ตอนที่คุณนายฮันออกมาเรียกให้ทุกคนไปกินข้าว ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกถึงความอึดอัดที่กำลังจะจบลง
เลยรีบลุกขึ้น “คุณลุงฮัน ประธานฮัน ไปกินข้าวกันค่ะ”
จากนั้นลู่เฉินก็เข้ามาพยุงเธอไปยังโต๊ะอาหาร
แม้อาหารจะมีเต็มโต๊ะ แต่ดูเหมือนจะมีแต่อาหารรสจืด
ทั้งของนึ่ง ผัดผัก ต้มจืด… รวมกับโจ๊กกุ้งที่ลู่เฉินทำ
คุณป้าฮันถอดผ้ากันเปื้อนรอบเอวออก “โย่วอี๋ แม่รู้ว่าอาหารพวกนี้ไม่ค่อยมีรสชาติอะไร แต่ลูกป่วยอยู่ ต้องดูแลตัวเองให้ดี แล้วไว้วันหลังแม่ค่อยทำให้ลูกกินใหม่นะ”
“ว้าว” ฮันเจ๋อหยางพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “แม่ แม่น่าจะไม่ได้เข้าครัวมาปีนึงแล้วหรือเปล่า”
“ตอนนี้อยากจะกินอาหารฝีมือแม่สักมื้อ ต้องพึ่งพาน้องสาวถึงจะได้กินสินะ”
คุณแม่ฮันจ้องไปที่เขา “ไร้สาระ”