Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 281 อยู่กับฉันได้ไหม
บทที่ 281 อยู่กับฉันได้ไหม
บทที่ 281 อยู่กับฉันได้ไหม
ป๋ายลิ่นมองไปที่มันอย่างรวดเร็ว แววตาของเขาดูประหลาดใจ “เธอมาทำงานที่นี่เพราะแค่อยากหาเงินซื้อผ้าพันคอให้ฉันงั้นเหรอ?”
ผ้าพันคอมีราคาถึงห้าหลัก ส่วนเงินเดือนของจินหลิงมีแค่ 2,000 หยวนเท่านั้น
แต่จินหลิงจะทำให้คุณป๋ายรู้สึกผิดได้อย่างไร เธอจึงรีบอธิบายว่า “ไม่ใช่ค่ะ”
นิ้วของเธอประสานกัน “ขอแค่คุณชอบ เรื่องอื่นก็ไม่สำคัญแล้วค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน ป๋ายลิ่นก็ลูบผมของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงดุว่า “เธอมันเด็กโง่ คราวหน้าอย่าซื้ออะไรแบบนี้อีก”
รถหยุดลงอย่างช้า ๆ
จินหลิงมองออกไปนอกกระจกรถ “คุณป๋าย ที่นี่ที่ไหนคะ?”
เมื่อก่อนป๋ายลิ่นมักจะไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัย
แต่ตอนนี้ป๋ายลิ่นเลี่ยงที่จะตอบ เขาหยิบผ้าพันคอมาสวม แล้วพูดอย่างอบอุ่น “ดูดีไหม?”
“ดูดีค่ะ”
ในหัวใจเธอ คุณป๋ายไม่ใช่คนที่หล่อที่สุด แต่เป็นผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุด
จู่ ๆ ป๋ายลิ่นก็คว้ามือเธอไว้ “คืนนี้เธอไม่กลับได้ไหม?”
ใบหน้าของจินหลิงแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเธอลังเล “คุณป๋าย ฉัน… ไม่กล้าค่ะ”
“จินหลิง วันนี้วันเกิดฉัน เธออยู่กับฉันได้ไหม?”
เสียงของเขาดูออดอ้อน
จินหลิงรู้สึกสับสนในใจ ขณะเดียวกันก็อยากตอบรับ
พวกผู้ปกครองมักจะหัวโบราณและเตือนลูกสาวไม่ให้มีแฟนระหว่างเรียน แม้ว่าจินหลิงจะไม่ชอบ แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะต่อต้าน
ในขณะนี้ ชายที่เธอรักอยู่ตรงหน้า ในที่สุดความรู้สึกของเธอก็เอาชนะเหตุผล “ตกลงค่ะ”
เพียงแต่ว่าเธอไม่เข้าใจว่าคำเชิญของป๋ายลิ่นมันหมายความว่าอย่างไร
แต่ป๋ายลิ่นมีความสุขมาก “ขอบคุณที่อยู่กับฉันนะ”
เขาสตาร์ตรถและขับเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรม
จนกระทั่งป๋ายลิ่นขอบัตรประชาชนของจินหลิงเพื่อเปิดห้องที่แผนกต้อนรับ จินหลิงจึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“คุณครับ ขอบัตรประชาชนของคุณด้วยครับ”
หน้ากากของป๋ายลิ่นถูกแว่นกันแดดปิดไว้สนิท “สวัสดี น้องสาวของผมจะอยู่ที่นี่คนเดียว ผมจะออกไปหลังจากที่ไปส่งเธอที่ห้อง”
แผนกต้อนรับรีบส่งบัตรห้องเดี่ยวให้ป๋ายลิ่น “ห้องอยู่บนชั้น 13 ลิฟต์อยู่ด้านขวาครับ”
จินหลิงmujยืนอยู่ข้าง ๆ กำลังงุนงง เธออยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอไม่กล้าเปิดปาก
จากนั้นป๋ายลิ่นจูงมือเธอเข้าไปในลิฟต์
จินหลิงดึงความกล้าของเธอออกมา “คะ… คุณป๋าย ทำไมมีแค่ห้องเดียวล่ะคะ?”
น้ำเสียงของป๋ายลิ่นดูผ่อนคลาย “ฉันขอโทษนะ จินหลิง ฉันเป็นบุคคลสาธารณะ การใช้บัตรประชาชนเปิดห้องจะไม่ส่งผลดีกับฉัน ดังนั้นฉันเลยต้องให้เธออยู่กับฉันน่ะ”
อยู่ด้วยกัน?
จินหลิงตกใจเล็กน้อย
“คุณป๋าย ทำไมคุณไม่พาฉันกลับไปมหาวิทยาลัยล่ะคะ”
น้ำเสียงป๋ายลิ่นดูเศร้าสร้อย “วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน เธอไม่อยากอยู่กับฉันอย่างนั้นเหรอ?”
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเธอ”
สัญญา
หัวใจของจินหลิงอ่อนยวบลงอีกครั้ง คุณป๋ายคงไม่โกหกเธอ
เธอเดินเข้าไปในห้องของโรงแรมอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
บนเตียงทรงกลมมีดอกกุหลาบแดงโรยอยู่บนเตียงและมีตุ๊กตาหมีน้อยน่ารักวางอยู่ข้างเตียง
แม้แต่แสงไฟก็ยังเป็นสีแดงสลัว
บรรยากาศในห้องดูคลุมเครืออย่างบอกไม่ถูก
ป๋ายลิ่นดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว “อ๊ะ ดูเหมือนว่าฉันจะเลือกผิดห้อง ฉันจะไปที่แผนกต้อนรับเพื่อเปลี่ยนห้องให้นะ”
จินหลิงก้มหน้าลงแล้วรั้งเขาไว้ “ไม่… ไม่จำเป็นค่ะ ฉันจะนอนโซฟา”
“จะปล่อยให้ผู้หญิงนอนโซฟาได้ยังไง?”
ป๋ายลิ่นผลักจินหลิงให้นั่งลงบนเตียงและย่อตัวลงตรงหน้าเธอ
“จินหลิง ฉันมีความสุขมากที่ได้ใช้เวลาในวันเกิดร่วมกับเธอ”
“ฉันโตจนป่านนี้แล้ว ไม่เคยชอบใครมากเท่านี้มาก่อนเลย”
จินหลิงเบิกตากว้าง คุณป๋ายกำลังสารภาพรักกับเธอ?
เธอกำลังจะถามว่าเราเป็นแฟนกันหรือเปล่า แต่ป๋ายลิ่นกลับขัดเธอไว้ “ไปอาบน้ำเถอะ นี่ก็เกือบจะตีสองแล้ว”
จินหลิงรู้สึกกระวนกระวายใจกับคำพูดของป๋ายลิ่นจนเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้าห้องน้ำไปได้อย่างไร
เธอออกมาหลังอาบน้ำเสร็จ
ทั้งห้องมืดสนิท จากนั้นป๋ายลิ่นเดินเข้ามาพร้อมกับเค้กชิ้นเล็ก ๆ แสงเทียนสีเหลืองสลัว ๆ กระทบไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขา
“จินหลิง มาเป่าเทียนกันเถอะ”
“แต่วันนี้วันเกิดคุณไม่ใช่เหรอคะ?”
มุมปากของป๋ายลิ่นยกโค้งเป็นรอยยิ้ม “เธอช่วยฉันเป่าหน่อย ถ้าเป็นแบบนั้น ความปรารถนาของฉันจะเป็นจริงอย่างแน่นอน”
จินหลิงที่ถูกความอ่อนโยนถาโถมเข้าใส่ ทำให้เธอร้อนวูบวาบไปทั้งตัว เธอหลับตาเป่าเทียนอย่างอดกลั้น
จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืด
วินาทีต่อมา ป๋ายลิ่นก็กอดเธอ
“จินหลิง ฉันชอบเธอ”
…
วันหยุดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซูโย่วอี๋กลับไปที่สถานที่ถ่ายทำรายการวาไรตี้พร้อมกับบอดี้การ์ดของเธอ
ระหว่างทาง เธอได้รับโทรศัพท์จากผู้กำกับว่าอยากมาเยี่ยม
ซูโย่วอี๋มองไปที่โทรศัพท์ “ผู้กำกับ กว่าฉันจะถึงบ้านพักก็เก้าโมงเลยนะคะ”
“[ไม่เป็นไร]”
เมื่อซูโย่วอี๋มาถึง ผู้กำกับก็พากัวหลินหลินมานั่งรอที่โซฟาแล้ว
เมื่อเห็นเธอ เขาก็ยืนขึ้น “คุณซู วันหยุดสบายดีไหมครับ?”
“ก็ดีค่ะ ผู้กำกับมีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
ผู้กำกับยิ้ม “ผมได้ยินจากหลินหลินว่าเธอเคยมาทานอาหารเย็นที่บ้านคุณ”
หลินหลิน…
ชื่อที่ใช้เรียกก็ดูสนิทกัน เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับสนิทกับกัวหลินหลินมาก
“ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนั้นหรอกค่ะ พวกสาว ๆ ที่มาที่นี่กินกันไม่เยอะ ทั้งยังช่วยฉันทำงานบ้านด้วย”
กัวหลินหลินพูดอย่างสุภาพ “อาจารย์ซู ถ้าคุณมีอะไรให้ช่วย บอกมาได้เลยค่ะ ฉันไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
พูดคุยกันเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่เข้าประเด็นหลักกันสักที
ซูโย่วอี๋ก็ไม่ตอบสนอง เพียงมองไปที่ทั้งสองอย่างเงียบ ๆ
จากนั้นผู้กำกับก็พูดว่า “อาจารย์ซู วันนี้ผมพาหลินหลินมาพบคุณเป็นพิเศษเพื่อขอให้คุณใส่ใจสาวน้อยคนนี้ให้มากขึ้นหน่อยตอนถ่ายทำน่ะครับ มั่นใจได้เลยว่าเธออดทนต่อความยากลำบากได้”
ซูโย่วอี๋กลอกตา “ผู้กำกับพูดเกินไปแล้วค่ะ ฉันได้เซ็นสัญญากับทีมงานรายการแล้ว ฉันย่อมทำหน้าที่ตามข้อตกลงอยู่แล้ว การสอนนักเรียนคือสิ่งที่ฉันควรทำ”
ผู้กำกับก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วลดเสียงลง “อาจารย์ซู พ่อของหลินหลินเป็นนายทหารระดับสูง และเขาต้องการสนับสนุนความฝันของลูกสาวเพื่อให้ได้เดบิวต์ ดังนั้นเขาจึงมาเยี่ยมผมเป็นการส่วนตัวหลายครั้งน่ะครับ”
“แถมยังเป็นเพื่อนเก่าด้วย ผมเลยปฏิเสธไม่ได้”
ซูโย่วอี๋รู้สึกเบื่อหน่ายกับความสัมพันธ์แบบนี้ “ผู้กำกับคะ กัวหลินหลินขอคำแนะนำเกี่ยวกับการร้องเพลงกับฉันได้ แต่ตอนตัดสินอันดับ ฉันได้แต่ยึดตามหลักการให้คะแนนเท่านั้น”
มันไม่ยุติธรรมกับเด็กคนอื่นเลย
ผู้กำกับรู้ว่าซูโย่วอี๋นั้นคุยด้วยไม่ง่ายนัก ดังนั้นเขาจึงไม่บังคับอะไรเธอมาก “คุณแค่จำไว้ในใจก็พอ ถ้ามีความสามารถเท่ากัน ก็ช่วยให้โอกาสหลินหลินก่อนด้วยนะครับ”
ซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร
เธอมองไปที่กัวหลินหลิน “ด้วยความสามารถของคุณ บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้เส้นสายในครอบครัวเลยก็ได้”
กัวหลินหลินเม้มริมฝีปากและยกยิ้ม “อาจารย์ซูไม่ต้องใส่ใจหรอกค่ะ ฉันมากับคุณลุงเพื่อพูดคุยกับคุณ ฉันแค่ชอบคุณน่ะค่ะ ถ้าเรื่องนี้ทำให้คุณลำบาก ให้ถือซะว่าคุณไม่เคยพูดอะไรกับคุณลุงมาก่อนก็ได้”
เมื่อเทียบกับความตรงไปตรงมาของผู้กำกับ วิธีพูดของกัวหลินหลินกลับทำให้คนฟังยอมรับได้ง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ผู้กำกับขยิบตาให้กัวหลินหลิน “เTอไม่ได้เอาของขวัญมาให้คุณซูมาด้วยหรอกเหรอ?”
“ไม่จำเป็น…”
กัวหลินหลินหยิบกล่องของขวัญสองถุงใหญ่ออกมา “อาจารย์ซูคะ พ่อของฉันอยู่ที่ทิเบต เขาจึงขอให้คนส่งถั่งเช่าและไวน์มาให้ นี่เป็นของดีที่สุดเลยนะคะ”
ซูโย่วอี๋โบกมือของเธอ “คุณเอากลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยากได้”
เธอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“อาจารย์ซู นี่เป็นแค่น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ รับมันไปเถอะค่ะ”
“กัวหลินหลิน เอามันกลับไปเดี๋ยวนี้ และฉันจะทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเธอยังดึงดัน ฉันไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้”
กัวหลินหลินมองไปที่ผู้กำกับอย่างขอความช่วยเหลือ “คุณลุงคะ…”
ผู้กำกับก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีเช่นกัน “ฟังคุณซูแล้วเอากลับไปเถอะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็มองไปที่ซูโย่วอี๋อย่างรู้สึกผิด “คุณซู ถ้าคุณไม่ชอบของขวัญ เรานำกลับไปก็ได้ครับ”
“พักผ่อนเยอะ ๆ นะครับ”
เมื่อมีเพียงซูโย่วอี๋และผู้ช่วยของเธอเท่านั้นที่อยู่ในห้อง เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
การถ่ายทำรายการวาไรตี้เริ่มขึ้นเพียงสัปดาห์เดียว แต่แมลงเม่าจำนวนมากกลับปรากฏตัวขึ้นมาเสียแล้ว
พอนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอเข้าร่วมรายการวาไรตี้ เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีเรื่องน่ารังเกียจมากมายขนาดนี้
เหมยเหมยถอนหายใจ “คุณซู คงเพราะในเวลานั้นไม่มีใครประเมินคุณไว้สูงมั้งคะ”
บางครั้ง ความไม่รู้ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะเต็มไปด้วยแสงแดด แต่มันหมายความว่าคุณยังไม่ได้สัมผัสระดับที่สูงขึ้นต่างหาก
ด้วยสถานะปัจจุบันของซูโย่วอี๋ ทั้งผู้กำกับและทีมงานรายการต่างก็ต้องไว้หน้ากันทั้งนั้นเพราะคนที่อยู่เบื้องหลังเธอ
ทุกคนจึงให้ความสำคัญกับเธอเป็นอันดับแรก
ซูโย่วอี๋ย่อมเข้าใจความจริงข้อนี้ดี “ไปพักผ่อนกันเถอะ”
ก่อนกลับไปที่ห้องนอน เธอเคาะประตูห้องของอวี๋ชิงจ้าว แต่ไม่มีใครตอบกลับ เธอน่าจะยังฝึกซ้อมในห้องซ้อม
จากนั้นเธอก็วางขนมที่นำมาไว้ที่หน้าประตูของอีกฝ่าย
ในคืนนั้น ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกไม่คุ้นชิน เพราะเจ้าจิ้งจอกเน่าไม่อยู่ด้วย!
ใช่แล้ว เจ้าระบบที่ไม่น่าเชื่อถือนี้ยังคงอยู่ที่บ้านของฮันเจ๋อหยาง!
เธอเรียกเจ้าจิ้งจอกเน่าในใจของเธอ และเสียงไม่พอใจของมันก็ดังตอบกลับมา [ซู่จู่ พี่ชายของคุณไม่ใช่คนดีจริง ๆ ด้วย]
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
[ตอนแรกฉันไม่อยากอยู่บ้านเขา เขาก็บังคับให้ฉันเข้าไปในรถ ดีมาก ฉันไม่ได้ดื่ม ไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำ]
ซูโย่วอี๋อยากจะหัวเราะ “นายไม่จำเป็นต้องกินนี่”
[ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะ? ในช่วงระยะที่แปลงร่าง ฉันก็เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่าง รวมทั้งการกินดื่มและอื่น ๆ ด้วย]
[แล้วตอนนี้ฉันรู้สึกหิวจนเวียนหัวแล้วเนี่ย แต่ฉันไม่มีเงินเลย!]
ซูโย่วอี๋เริ่มรู้สึกเป็นห่วงเขาขึ้นมาทันที “แล้วทำไมนายไม่กลับมาล่ะ?”
เจ้าจิ้งจอกเน่ายิ่งอยากจะร้องไห้มากขึ้นไปอีก [ฉันกลับมาไม่ได้ ระบบของร่างกายมีขีดจำกัดทางระยะทาง และจะต้องอยู่ในรัศมีสามกิโลเมตรเท่านั้น]
“อ่า”
ซูโย่วอี๋ผงะ “ถ้าตอนนั้นนายไปเจอคนเลวเข้า มันจะไม่อันตรายงั้นเหรอ?”
“ผู้ดูแลระบบคนอื่นไม่เจอปัญหานี้กันเหรอ?”
จู่ ๆ เจ้าจิ้งจอกเน่าก็โกรธ [พูดตามตรง ฉันเป็นผู้ดูแลคนแรกที่เปลี่ยนร่างได้]
ไม่ได้ยินเสียงของซูโย่วอี๋เป็นเวลานาน เขาจึงถาม [ซู่จู่ คุณหลับเหรอ?]
“เจ้าจิ้งจอกเน่า หาทางมาหาฉันพรุ่งนี้ให้ได้นะ”
เจ้าจิ้งจอกเน่าไม่เต็มใจ [ไม่ต้องห่วง แม้ว่าฉันจะไม่ได้รับการอวยพรจากระบบ แต่พลังและความเร็วของร่างแปลงของฉันนั้นเหนือกว่าคนธรรมดา]
[ไม่คุยแล้ว ฉันจะไปหาฮันเจ๋อหยางเพื่อหาอะไรกิน]
จากนั้นก็ตัดการเชื่อมต่อ
คืนนั้น ซูโย่วอี๋ฝันว่าเจ้าจิ้งจอกเน่าดูดีมากถูกคนร้ายจับไป เธอเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ไม่ว่ามันจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม เธอก็ยังโทรหาฮันเจ๋อหยาง
วันนี้ฮันเจ๋อหยางรู้สึกปวดหัวกับเจ้าจิ้งจอกเน่า จนในที่สุดเขาก็ได้ผล็อยหลับไป แต่กลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
ทำให้ดวงตาของเขาลุกโชติไปด้วยไฟแห่งความโกรธ
เมื่อเห็นว่าเป็นซูโย่วอี๋ เขาจึงหยุดเชิดธงตีกลองรบทันที ก่อนจะพูดว่า “น้องสาว เธอคิดถึงฉันกลางดึกเหรอ?”
“[ฮันเจ๋อหยาง จิ้ง… ไม่สิ มู่ป๋ายอยู่บ้านพี่หรือเปล่า?]”
“เธอถามหาไอ้เด็กบ้านั่นทำไม?”
ซูโย่วอี๋เข้าสู่โหมดแต่งเรื่อง “[ฉันแค่ฝันถึงเจ้าแม่กวนอิม เธอบอกว่ามู่ป๋ายเป็นน้องชายของฉันในชาติที่แล้ว และเธอขอให้ฉันดูแลเขาให้ดีน่ะ]”
อะไรกันเนี่ย?
ฮันเจ๋อหยางอยากจะบ้า
“น้องสาว เธอยังเชื่อเรื่องแบบนี้อยู่อีกเหรอ? ไอ้เด็กมู่ป๋ายมันมีจิตใจไม่บริสุทธิ์ ดูไม่น่าไว้ใจด้วย พรุ่งนี้ฉันจะไล่มันออกไป”
ปล่อยให้ไปนอนข้างถนนเสียเลย!