Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 287 กำลังจะฆ่าพวกเรา
บทที่ 287 กำลังจะฆ่าพวกเรา
บทที่ 287 กำลังจะฆ่าพวกเรา
คืนวันหยุดหมดไป ไป๋เหิงเคาะประตูห้องของซูโย่วอี๋ด้วยความดีใจ “อาจารย์ซู ขาของฉันไม่เจ็บแม้แต่นิดเดียวเลยค่ะ”
แม้จะมองไม่เห็นว่าภายใต้เฝือกนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ไป๋เหิงก็รู้สึกว่าขาขวาของตัวเองนั้นหายดีแล้ว
“น่าทึ่งมาก ก่อนหน้านั้นหมอบอกว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้เวลาเดือนนึงถึงจะดีขึ้น”
ไป๋เหิงถามขึ้นมาอย่างเกรงใจ “ยาตัวนี้แพงมากเลยใช่ไหมคะ?”
ซูโย่วอี๋ยิ้ม “ฉันไม่คิดเงิน มีคนให้มาอีกทีน่ะ”
ซื้อมาจากในระบบด้วยเม็ดช็อกโกแลต 50 เม็ด
ไป๋เหิงนิ่งไป “อาจารย์ซู พรุ่งนี้จะต้องถ่ายรายการต่อ คืนนี้ฉันจะกลับไปที่หอพักนะคะ”
ตอนนี้เธอสามารถใช้รถเข็นได้อย่างชำนาญแล้ว นอกจากเรื่องที่ต้องใช้ขา เรื่องอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไปเธอก็ทำได้หมด
ได้ยินเช่นนั้น ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ก็ดีนะ เอาโทรศัพท์เธอมาให้ฉันหน่อย”
ซูโย่วอี๋บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไป และตั้งค่าให้อยู่ในรายชื่อติดต่อฉุกเฉิน
“ระหว่างการถ่าย ทำให้พกโทรศัพท์เอาไว้ตลอดเวลาล่ะ”
ไป๋เหิงเงยหน้าขึ้นมอง “กฎของรายการคือห้ามพกโทรศัพท์…”
“กฎมันตายไปแล้ว แต่คนยังต้องมีชีวิตอยู่ ไม่ว่ากัวหลินหลินและพวกจะมาทำร้ายเธอหรือเปล่า แต่ถ้าเธอรู้สึกกลัว และรู้สึกว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บ ให้รีบโทรศัพท์มาหาฉันทันที”
“เข้าใจใช่ไหม?”
เพราะซูโย่วอี๋พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไป๋เหิงจึงไม่กล้าปฏิเสธ “เข้าใจแล้วค่ะ”
ในสัปดาห์ต่อมา ค่าพลังของซูโย่วอี๋ได้ก้าวไปสู่ระดับสูงสุดได้สำเร็จ ภายใต้การ ‘แก้แค้น’ ที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทำให้เธอได้เข้าใจอะไรมากยิ่งขึ้น
ไป๋เหิงได้รับการตรวจจากหมอของทางรายการ และได้รับการยืนยันว่าขาขวาของเธอเป็นปกติดีแล้ว จึงสามารถถอดเฝือกออกได้
แต่ตอนเที่ยงของวันแดดจัด เมื่อซูโย่วอี๋หลับตาลงเพื่อพักผ่อน ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากไป๋เหิง
น้ำเสียงจากปลายสายดูสั่น ๆ “[อาจารย์ซู พวกเธอ… อาจจะลงมืออีกแล้วค่ะ]”
ซูโย่วอี๋ลืมตาขึ้นในทันที “เธออยู่ไหน?”
“[ห้องอาหารค่ะ ตอนแรกฉันกำลังล้างจานอยู่ และพึ่งเห็นว่ากัวหลินหลินและเหมยโจวยังไม่ออกไป พวกเธอเอาแต่มองมาทางหลังครัวเป็นระยะ ๆ]”
“[ฉันกำลังสงสัยว่าพวกเธอกำลังรอฉันอยู่]”
ดวงตาของไป๋เหิงกลอกไปมาด้วยความกังวล
“ไม่ต้องกลัว รอบ ๆ ตัวเธอยังมีคนอื่นอยู่ไหม?”
“[มีป้าแม่บ้านอยู่ค่ะ]”
ซูโย่วอี๋รีบวิ่งไปยังห้องอาหาร “ตอนนี้มีคนอยู่ พวกเธอไม่กล้าลงมือหรอก ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีอะไร พยายามรั้งคุณป้าเอาไว้อย่าให้เธอไปไหน”
“รอให้ฉันไปถึงเข้าใจไหม?”
“[ค่ะ… ได้ค่ะ]”
เมื่อวางสายไป ไป๋เหิงก็รู้สึกกระวนกระวายใจมาก เธอไม่กล้าหนีแต่ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว
ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาล้างจานต่อไป
ป้าแม่บ้านวางจานใบสุดท้ายลงในตู้ฆ่าเชื้อ และพูดขึ้น “ถ้าคุณล้างเสร็จแล้วอย่าลืมวางไว้ในตู้นะ อย่าทำข้าวของอะไรพังล่ะ”
ไป๋เหิงแถบจะขอร้อง “คุณป้าคะ ฉันกลัวว่าจะทำได้ไม่ดี คุณอยู่กับฉันก่อนสักพักได้ไหมคะ?”
ขณะที่พูดเธอก็หันหน้ามา เห็นเพียงใบหน้าสวย ๆ ของเหมยโจวอยู่ที่หน้าต่างรับอาหาร และกำลังมองเธอพร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้มน่าขนลุก
ในใจของไป๋เหิงสัมผัสถึงบางอย่างได้อย่างชัดเจน
ปากของเหมยโจวขยับ โดยไม่มีเสียงใด ๆ
แต่ไป๋เหิงอ่านปากของเธอออก เหมยโจวบอกว่าเธอหนีไม่พ้นหรอก
เสียงจานในมือของไป๋เหิงตกลงไปยังพื้นดังเพล้ง
ป้าแม่บ้านต่อว่าขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น? นี่ไม่ใช่วันแรกที่มาล้างจานนะ ดีที่ไม่ใช่จานเซรามิค ไม่งั้นฉันคงต้องจ่ายเงินค่าชดใช้”
หลังจากนั้นเธอก็นั่งลงบนเก้าอี้
“รีบล้าง ฉันจะรอให้คุณล้างให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไป เด็กผู้หญิงสมัยนี้แย่จริง ๆ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง”
เปลือกตาของป้าแม่บ้านตกลงด้วยความง่วง
ไป๋เหิงกัดริมฝีปากตัวเองแน่น น้ำตาไหลลงไปยังอ่างน้ำ
ผสมกับน้ำยาล้างจานและจางหายไป
แต่ตอนนี้เธอยังโชคดี อย่างน้อย ๆ คุณป้ายังอยู่
พอล้างจานจนเสร็จ…
เธอเปลี่ยนน้ำสะอาดและเริ่มล้างอีกเป็นครั้งที่สอง
ไป๋เหิงตั้งใจล้างจานให้ช้าลง และก็ค่อย ๆ มองจานทีละใบ
จนกระทั่งถึงจานใบสุดท้าย เธอจึงนั่งนิ่ง ๆ ไม่ขยับไปไหน
ราวกับป้าแม่บ้านตื่นมาจากความฝัน เธอปรายตามองหญิงสาวเล็กน้อย “อืดอาดแบบนี้มองแล้วก็อารมณ์เสีย รีบไปได้แล้ว”
เธอผลักให้ไป๋เหิงออกไปจากห้องครัว
ไป๋เหิงจึงรีบวิ่งไปยังประตูด้านหลังของห้องอาหาร หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไล่ตามมา
“เธอกล้าวิ่งหนีงั้นเหรอ กล้าดียังไง”
“รอก่อนเถอะ ฉันจะหักขาเธอเอง!”
“ไป๋เหิง หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
ขาของไป๋เหิงสั่นอย่างแรง เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเหมยโจว ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คืออยากจะหยุดวิ่งตามที่เธอสั่ง
แต่เสียงของซูโย่วอี๋ดังขึ้นมาในหัวของเธอพอดี
ไป๋เหิงส่ายหัวอย่างแรง ไม่ได้ เธอจะยอมแพ้ไม่ได้
เธอจะต้องต่อต้าน
ในที่สุดก็มาถึงประตูด้านหลัง เธอเอื้อมมือไปที่ประตูและมีคนเปิดประตูออกมาพอดี
ด้านนอกประตู ซูโย่วอี๋หอบหายใจเหนื่อย แล้วก้าวขายาว ๆ เข้ามายังห้องอาหาร
เธอรีบผลักให้ไป๋เหิงออกไปด้านนอก “ห้ามไปไหนทั้งนั้น ยืนรอฉันอยู่ตรงนี้”
พูดจบก็ปิดประตูลง และล็อกประตูอีกด้วย
ไป๋เหิงใช้มือของตัวเองดึงลูกบิดแต่มันไม่ขยับเลย เธอได้ยินเสียงฝีเท้าด้านในที่ค่อย ๆไกลออกไป
ซูโย่วอี๋เข้าไปในพื้นที่ของระบบ และไปที่หน้ากากผิวมนุษย์
[กรุณายืนยัน ต้องการใช้หน้ากากมนุษย์หรือไม่?]
[ใช่]
[รบกวนซู่จู่นึกภาพตัวตนที่ต้องการแปลงร่างในใจ]
ซูโย่วอี๋นึกถึงภาพของไป๋เหิง ในเวลาเดียวกันนี้ภายนอกของเธอค่อย ๆ กลายเป็นไป๋เหิง
[หน้ากากมนุษย์ทำงานเสร็จสมบูรณ์ กรุณายืนยันว่าต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยหรือไม่?]
ซูโย่วอี๋แอบตกใจขึ้นมา เธอเกือบลืมสิ่งสำคัญไปแล้ว
[ใช่]
ตอนนี้ซูโย่วอี๋ได้กลายเป็นไป๋เหิงอย่างสมบูรณ์
ที่ทางเดิน ปรากฏร่างของกัวหลินหลินและเหมยโจวขึ้น และมีเพียงแค่ครั้งนี้ที่ ‘ไป๋เหิง’ ไม่ได้วิ่งหนี
เธอเปลี่ยนทิศทางการก้าวเดิน และเดินไปทางห้องน้ำหญิงอย่างใจเย็น
เหมยโจวรู้สึกโกรธมาก “ยังจะกล้าหนีอีกนะ!”
กัวหลินหลินขมวดคิ้ว และรู้สึกว่ามันแปลก ๆ
แต่เพราะความเย่อหยิ่งของตัวเอง ทำให้เธอคลายความสงสัยลงอย่างรวดเร็วและรีบไล่ตามไป
พวกเธอไล่ตามเสียงไปจนถึงห้องน้ำหญิง
ซูโย่วอี๋ยืนอยู่กลางห้องน้ำหญิง และหันหลังให้กับทั้งสองคน
เหมยโจวและกัวหลินหลินจ้องไปยังเธอ “ทำไม รู้แล้วเหรอว่าหนีไม่พ้น?”
ซูโย่วอี๋ค่อย ๆ หมุนตัวกลับมา “อืม ไม่หนีแล้ว”
น้ำเสียงราบเรียบ และใบหน้าที่นิ่งเฉย
เหมยโจวชะงักไป “จะแกล้งทำตัวอวดเก่งไปทำไม ยังไม่รีบคุกเข่าลงเพื่อขอร้องอีกงั้นเหรอ?”
เธอเดินเข้าไปใกล้ซูโย่วอี๋ พร้อมกับยกมือขวาขึ้น
และตบลงมาอย่างแรง แต่ก็ถูกซูโย่วอี๋จับเอาไว้อย่างง่ายดาย
เหมยโจวไม่สามารถขยับไปไหนได้ “คนชั้นต่ำอย่างแกคิดจะทำอะไร? ยังไม่รีบปล่อยฉันอีก!”
มุมปากของซูโย่วอี๋ยกยิ้มขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “คืนนั้น เธอใช้มือข้างนี้ตบฉันสินะ”
“มือเท้าก็มีครบแต่กลับไม่เอาไปใช้ทำเรื่องดี ๆ วันนี้ฉันจะช่วยจัดการมันให้เธอเอง”
เธอยกแขนอีกฝ่ายขึ้นอย่างง่ายดาย
เหมยโจวร้องออกมาราวกับหมูที่ถูกเชือด “อ๊า เจ็บ ๆ ๆ”
ทุกคนในที่นี้ต่างก็ได้ยินเสียงกระดูกหัก
โดยเฉพาะในห้องอันเงียบสงบเช่นนี้ ทำให้มันดูน่าสยดสยองมากยิ่งขึ้น
“หลินหลินช่วยฉันด้วย”
กัวหลินหลินเองก็ตกใจกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า “ไป๋เหิง แกบ้าไปแล้วเหรอ? แกรู้หรือเปล่าว่าพ่อของฉันเป็นใคร? นี่แกกล้าลงไม้ลงมือกับพวกฉันงั้นเหรอ?”
ซูโย่วอี๋ปล่อยมือออก “ใช้อำนาจของตัวเองรังแกคนอื่น กัวหลินหลิน เธอมันก็แค่กาฝากที่ต้องคอยพึ่งพาคนในครอบครัว”
“ตั้งแต่ตอนแรกฉันไม่ต่อต้านอะไร เพราะคิดว่าถ้าพวกเธอเล่นจนเบื่อแล้วก็จะปล่อยฉันไปเอง”
“หลงคิดไปว่าการประนีประนอมจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น”
“แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย”
ดวงตาไม่แยแสของซูโย่วอี๋จ้องไปยังใบหน้าของกัวหลินหลิน เป็นดวงตาที่น่าขนลุก “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไม่ถอยให้อีกแล้ว เธอทำร้ายฉันหนึ่งครั้ง ฉันก็จะขอเอาคืนพวกเธอเหมือนกัน”
“ตอนนี้ ฉันจะ…”
กัวหลินหลินถามขึ้นมาอย่างกังวล “แกจะทำอะไร?”
ซูโย่วอี๋คว้าตัวของกัวหลินหลินไว้ และผลักให้เธอเข้าไปในห้องน้ำด้วยกัน “เรียกเก็บดอกเบี้ยคืน”
เหมยโจวยังไม่ทันได้โต้ตอบอะไรก็ถูกประตูบังสายตาเอาไว้
มือของเธอเจ็บจนเหงื่อเย็นไหลออกมา และเดินเข้าไป “ไป๋เหิง รีบปล่อยหลินหลินเดี๋ยวนี้”
แต่สิ่งที่ตอบสนองเธอเพียงอย่างเดียวคือเสียงร้องอันหวาดกลัวของกัวหลินหลิน
“ไป๋เหิง ฉันจะไม่มีทาง… ปล่อยแกไปแน่”
“กริ๊ด… นังสารเลว”
เสียงหมัดและเสียงกระทืบเท้าที่ดังขึ้นมาทำให้เหมยโจวถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว “บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว”
เสียงด่าทอของกัวหลินหลินค่อย ๆ เบาลง
เธอเริ่มร้องไห้ออกมา เมคอัพเลอะจนไม่เหลือเค้าเดิม
ซูโย่วอี๋รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาชั่วครู่ แต่เธอก็อดทนเอาไว้
“กัวหลินหลิน ทุก ๆ รอยเท้าเมื่อกี้นี้หมายถึงตำแหน่งที่พวกเธอเคยแตะฉัน ตอนนี้ขาดไปอีกแค่จุดเดียวเท่านั้น”
สายตาของเธอหยุดลงที่ขาขวาของกัวหลินหลิน
กัวหลินหลินกันขาขวาของตัวเองอย่างตื่นตระหนก แต่จะกันยังไงก็กันไม่หมด
เธอส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันผิดไปแล้ว ไป๋เหิง”
“ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว คนใจดีอย่างเธอปล่อยฉันไปเถอะนะ”
“คืนนั้น… ฉันไม่ได้ลงมือ ฉันไม่ได้ทำร้ายเธอเลย ถ้าเธอจะแก้แค้น…ก็ไปทำหมยโจวเลย”
ซูโย่วอี๋ยังไม่ขยับไปไหน “ฉันไม่ไปหาคนอื่นหรอก ฉันต้องการมาหาแค่เธอ”
“ไม่มีเธอ พวกนั้นก็ไม่มีทางมาหาเรื่องฉัน ฉันรู้ดี”
จากประตูที่กั้นอยู่ สีหน้าของเหมยโจวขาวซีด
กัวหลินหลินที่เห็นว่าซูโย่วอี๋เอาจริงแน่นอน ก็ล้มลงกอดขาเธออย่างไม่สนใจศักดิ์ศรี “ฉันสาบาน ที่ฉันพูดไปเมื่อกี้นี้เป็นเรื่องจริง ฉันจะไม่ไปหาเรื่องเธออีก เธออย่าทำอะไรขาฉันเลยนะ ฉันยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันต่อ”
ซูโย่วอี๋มองผู้หญิงที่อยู่บนพื้นอย่างเย็นชา และยกขาขึ้นเตรียมเหยียบไปบนขาขวาของกัวหลินหลิน!
แรงเหยียบลงไปนั้นดูแรงมาก
กัวหลินหลินกลัวจนแทบหยุดหายใจ
แต่เมื่อเท้าของซูโย่วอี๋ใกล้จะแตะไปที่ขาของกัวหลินหลินนั้นเธอกลับหยุดลง
และค่อย ๆ วางเท้ากลับไปที่พื้น
กัวหลินหลินถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ราวกับพึ่งหลุดพ้นจากภัยพิบัติ
ซูโย่วอี๋ยืนเอามือไพล่หลัง “กัวหลินหลิน วันนี้ฉันจะไม่หักขาเธอ แต่หวังว่าเธอจะจำสิ่งที่ตัวเองพูดได้”
“คนที่ดูถูกคนอื่น พอถึงตาตัวเองต้องโดนเหมือนกัน ดูแลตัวเองให้ดี ๆ เถอะ”
“ถ้ายังมีครั้งต่อไป ฉันจะไม่มีทางใจอ่อนให้แน่”
ซูโย่วอี๋เปิดประตูเดินออกไป
เหมยโจวมองซูโย่วอี๋และอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยไปสองก้าว เธอตัวสั่นอยู่ในมุมห้องและไม่กล้าสบตาด้วย
รอจนกระทั่งเธอจากไปจึงกล้าเดินเข้าไปดูในห้องน้ำ
กัวหลินหลินทรุดตัวนั่งลงอยู่ที่พื้นและตะโกนอย่างโกรธแค้น “ยังไม่รีบมาพยุงฉันอีก!”
เหมยโจวรู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เธอเดินเข้าไปช่วยพยุงกัวหลินหลินขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
“หลินหลิน ทำไมอยู่ดี ๆ ไป๋เหิงถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ เหมือนเธอกำลังจะฆ่าพวกเราเลย?”
ความเกลียดชังปรากฏขึ้นในดวงตาของกัวหลินหลิน “เปลี่ยนเหรอ? ต้องบอกว่าเธอแสร้งทำเป็นคนดีและปกปิดความชั่วร้ายเอาไว้ถึงจะถูก”
ไม่อย่างนั้น แค่ภายในไม่กี่วัน ไป๋เหิงจะเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้ได้อย่างไรกัน
“งั้นต่อไปพวกเรายังต้องจัดการกับเธออยู่ไหม?”
กัวหลินหลินชี้ไปยังรอยตบบนใบหน้าของตัวเอง “เธอดูสิ คิดว่าฉันเหมือนคนโง่หรือเปล่า?”
“หรือเธออยากจะให้ยัยนั่นมาหักขาจริง ๆ?”
“เธอสู้ยัยนั่นได้งั้นเหรอ?”
เหมยโจวรีบส่ายหน้าในทันที
ล้อเล่นอะไรกัน พอไป๋เหิงเป็นบ้าขึ้นมาก็ทำเรื่องอย่างนี้ได้เลยงั้นเหรอ
แต่กัวหลินหลินไม่ได้คิดจะยอมแพ้จริง ๆ “การจัดการกับยัยนั่นยังมีอีกมาก การลงไม้ลงมือเป็นเพียงวิธีการต่ำ ๆ ประเภทหนึ่งเท่านั้น”
ในเมื่อสู้ไม่ได้ ก็เตะเธอออกไปจากรายการก็ได้