Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 301 ตายก่อนยกทัพ
บทที่ 301 ตายก่อนยกทัพ
บทที่ 301 ตายก่อนยกทัพ
เสียงของลู่เฉินกระจายผ่านไมโครโฟนไปยังทุกมุมของหอประชุม
เสียงทุ้มต่ำพร้อมร่องรอยความแหบพร่าสะกดสายตาของทุกคนไว้
ผมของเขาถูกเซ็ตอย่างเรียบร้อย หนวดเคราของเขาเกลี้ยงเกลา
แต่ซูโย่วอี๋ยังคงมองเห็นความเหนื่อยล้าในแววตาของเขาได้อย่างรวดเร็ว เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงชายตรงหน้า แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในช่วงสงครามประสาทกันก็ตาม
ฮันเจ๋อเหยียนรีบรั้งมือของลู่เฉินไว้อย่างรวดเร็ว “คุณลู่มาสาย ปล่อยให้แฟนรอแบบนี้ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยนะครับ”
“หรือว่าคุณลู่ติดธุระบางอย่าง หรือ… ใครบางคน?”
ทั้งคู่จับมือกันและถือถ้วยรางวัลไว้ไม่ยอมปล่อย ดูตึงเครียดไม่น้อย
ฉากนี้ปลุกคนดูที่ง่วงเหงาหาวนอนให้ตื่นขึ้น
ไอ้หยา
ประธานฮันกำลังต่อสู้กับประธานลู่เพื่อแย่งชิงซูโย่วอี๋?
ฉากนี้มันอะไรกัน?
นักข่าวบันเทิงตาเป็นประกาย ข่าวใหญ่ชัด ๆ!
หากแต่สีหน้าของลู่เฉินยังคงสงบนิ่ง “มันเป็นความผิดของผมเอง ผมไม่ได้จัดแจงเวลาให้ดี”
รอยยิ้มของฮันเจ๋อเหยียนส่งไปไม่ถึงดวงตาของอีกฝ่าย “จะเป็นการดีกว่าถ้าไม่สัญญาในสิ่งที่ทำไม่ได้ คุณลู่คิดว่ายังไงครับ?”
ในคำพูดของเขาแฝงความหมายบางอย่างไว้
เขากำลังยืนหยัดเพื่อน้องสาวของตัวเอง
ลู่เฉินรู้ตัวว่าเขาผิด จึงพูดอย่างจำยอม “ถูกต้องแล้วครับ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ปล่อยมือที่ถือถ้วยรางวัล “คุณฮัน คุณเป็นคนมอบรางวัลนี้เถอะ”
จากนั้นเขาโอบเอวของซูโย่วอี้ด้วยมือขวา แล้วรั้งอีกฝ่ายเข้าไปในอ้อมแขนเบา ๆ ดูเหมือนกำลังกอดกันอยู่
“ส่วนผมจะไปรับรางวัลกับโย่วอี๋”
เขาก้มหัวลงและมองไปที่ซูโย่วอี๋อย่างอ่อนโยน “นี่เป็นถ้วยรางวัลแรกของคุณ มันมีความหมายมาก ผมอยากมอบรางวัลให้คุณด้วยตัวเอง แต่พลาดเวลาไป ขอโทษนะ”
ว้าว!
หวานจัง
กล้องบนเวทีรัวถ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ข่าวลือในตอนเช้าเป็นม่ายไป
ซูโย่วอี๋แสร้งทำเป็นยินดีรับถ้วยรางวัล และกล่าวคำขอบคุณตามสคริปต์ที่เธอเตรียมไว้
ตั้งแต่ต้นจนจบ ลู่เฉินยืนอยู่ข้าง ๆ ในฐานะผู้พิทักษ์ดอกไม้
ที่หน้าทีวี คุณนายฮันกำลังพร่ำบ่นว่า “เสี่ยวอี๋ใจอ่อนเกินไปแล้ว ลู่เฉินทำให้ลูกเสียหายนะ แล้วนี่ลูกได้รับคำอธิบายแล้วเหรอถึงให้อภัยเขาน่ะ?”
ฮันเจียงจิบชาร้อน “ปล่อยให้พวกเขาจัดการเรื่องของคนหนุ่มสาวกันเองเถอะ เราอย่าเข้าไปยุ่งเลย”
คุณนายฮันทำหน้าไม่พอใจ “ถึงลู่เฉินจะเป็นเด็กดี แต่ฉันไม่ยอมรับเขา ฉันต้องการคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้”
“เมื่อสองวันก่อน ใครกันที่บอกผมว่าลู่เฉินดีอย่างนู้นดีอย่างนี้?”
“นั่นมันต่างกัน!” คุณนายฮันจ้องไปที่เขา “วันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว นี่คุณไม่สนใจเสี่ยวอี๋เลยหรือไง”
ฮันเจียงแอบคร่ำครวญ “คุณเอาเรื่องนี้มาจากไหน?”
“อย่าเถียงฉันนะ ฉันรู้ว่าฉันพูดอะไรอยู่ ถ้าก่อนแต่งงานคุณยังไม่ได้สนใจเรื่องนี้ นับประสาอะไรกับหลังเสี่ยวอี๋แต่งงานล่ะ”
“ฉันแค่คิดว่าลูกสาวของเราไม่ได้สนิทกับเราตั้งแต่แรก ถ้าเราเข้าไปยุ่งกับความสัมพันธ์ของเธอ พวกเราจะขุ่นเคืองใจกันนะ”
ได้ยินเช่นนี้ คุณนายฮันรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย และก็หนักใจกว่าเดิมหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน
มันเป็นเรื่องของลูกสาวสุดที่รักของฉัน ฉันก็ต้องรอบคอบที่สุดสิ
ในเมื่อฉันหวังดีกับเธอ ทำไมต้องซ่อนมันไว้ด้วย
คุณนายฮันพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉันจะนอนแล้ว”
งานประกาศรางวัลจบลงอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการร้องเพลง บางคนมีความสุข บางคนผิดหวัง เมื่อซูโย่วอี๋และคนอื่น ๆ เดินไปที่ประตู รถของกู่อวี๋เฉิงก็จอดตรงข้างทางรออยู่แล้ว “ประธานลู่ ประธานฮัน”
จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปหาซูหยิน ซูหยินพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาทันที “หนาวมากเลย”
กู่อวี๋เฉิงพูดตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ซูหยิน คุณดูสถานการณ์หน่อยสิ”
ในขณะเดียวกัน เขาก็คลุมร่างกายของเธอด้วยเสื้อคลุมอย่างเคยชิน
ซูหยินยิ้มซุกซนพลางยกถ้วยรางวัลในมืออย่างภาคภูมิใจ “ดูสิ กู่คนโง่ ฉันเก่งใช่ไหม?”
“อืม” กู่อวี๋เฉิงตอบรับ “เก่งมาก”
“ประธานลู่ ประธานฮัน เราไปก่อนนะครับ”
กู่อวี๋เฉิงยืนบังลมหนาวให้ซูหยินจนเธอเข้าไปในรถ ก่อนจะจากไป ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันจากท่อไอเสีย
ซูโย่วอี๋ที่ยืนอยู่ตรงนั้นยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จมูกของเธอแดงเพราะความหนาว
เธอขี้เกียจเปลี่ยนเสื้อผ้า จึงสวมเพียงเสื้อโคตทับเท่านั้น
ฮันเจ๋อเหยียนเห็นอย่างนั้นก็หันกลับมาช่วยเธอติดกระดุมสองเม็ดบน ก่อนถอดเอาผ้าพันคอของตัวเองมาพันรอบคอของซูโย่วอี๋อย่างอ่อนโยน
“มันเย็น เดี๋ยวเป็นหวัด”
ซูโย่วอี๋ย่นจมูก “พี่คะ พี่ติดกระดุมมากไป มันอึดอัดนะ”
ฮันเจ๋อเหยียนตกตะลึง “เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
“พี่”
ซูโย่วอี๋มองอีกฝ่ายด้วยสายตาดื้อรั้น
ฮันเจ๋อเหยียนยิ้มกว้างให้กับสายตาที่มองมา
โดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมใด ๆ
“ได้ยินแล้วชื่นใจจัง”
ฮันเจ๋อหยางพูดโพล่งออกมาเช่นกัน “เรียกพี่ว่าพี่ชายด้วยสิ”
แต่ซูโย่วอี๋เพิกเฉย
“พี่ไม่ยอม เธอลำเอียง”
“ใจคนมักลำเอียง อีกอย่าง คุณก็ลำเอียงไม่ใช่เหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางสำลักคำพูดของเธอ “พี่เปล่านะ”
ซูโย่วอี๋ไม่แม้แต่จะคุยกับเขา “ฉันไม่ต้องการคุยกับคุณ ไปให้พ้นเลย”
“น้องสาว เธอยังโกรธอยู่หรือเปล่า ที่เอินจี…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ฮันเจ๋อเหยียนก็เหลือบมองเขาเสียก่อน “หุบปาก”
จากนั้นก็มองไปที่ซูโย่วอี๋ “รถของพี่จอดอยู่ที่โรงรถ ให้พี่ไปส่งเธอที่บ้านไหม?”
ทั้งที่ลู่เฉินอยู่ข้าง ๆ แต่เขาก็ยังถาม
ลู่เฉินรู้สึกหมดหนทางเมื่อเห็นท่าทีของซูโย่วอี๋ที่จะให้ฮันเจ๋อเหยียนไปส่ง
นี่เขาตายก่อนยกทัพโดยไปทำให้พี่เขยขุ่นเคืองใจก่อนแต่งงานงั้นเหรอ?
คิดแล้วจึงพูดขึ้นทันทีว่า “คุณฮัน ไม่ต้องกังวลครับ ผมจะพาเธอกลับบ้านอย่างปลอดภัยแน่นอน”
เมื่อเห็นว่าซูโย่วอี๋ไม่คัดค้าน ฮันเจ๋อหยางก็พูดว่า “ตกลง งั้นไปล่ะ”
“เสี่ยวอี๋ เธอมีเบอร์โทรพี่ ถ้าเธอต้องการอะไร ก็อย่าลืมโทรหาพี่ล่ะ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้ารับ
ในที่สุด ตรงนี้ก็เหลือเพียงซูโย่วอี๋และลู่เฉิน ชายหนุ่มเดินมากอดซูโย่วอี๋และจรดหน้าผากเข้ากับหน้าผากของหญิงสาว “คุณโกรธเหรอ”
ซูโย่วอี๋ไม่ตอบ
“คุณไม่อยากคุยกับผมเหรอ”
ยังไม่มีคำตอบ
ลู่เฉินพูดเสียงแผ่ว “กลับบ้านกันเถอะ แล้วให้ผมอธิบายเรื่องทั้งหมด ตกลงไหม?”
จากนั้นซูโย่วอี๋ก็เงยหน้าขึ้นและชำเลืองมองเขา “ได้”
เป่ยสืออี้ผิน
ลู่เฉินดึงซูโย่วอี๋ให้นั่งลงบนโซฟา คิ้วและดวงตาของซูโย่วอี๋นั้นประณีตราวกับภาพวาด
ครั้งนี้เธอไม่หลบเลี่ยง เธอเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น “ผู้หญิงที่สนามบินคือใคร?”
ลู่เฉินนั่งตัวตรงเหมือนกับโดนสอบสวน “น้องสาวของเพื่อนร่วมชั้นของผมเอง ผมทำธุรกิจกับพี่ชายของเธอ และก็คุ้นเคยกับเธอหลังจากร่วมงานกันมานาน”
เขาตอบคำถามของซูโย่วอี๋ได้ทั้งหมด ตอบได้แม้กระทั่งสถานที่ที่หญิงสาวอาศัยอยู่ หรือว่าแซ่ของอีกฝ่าย
หรือแม้แต่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมรึเปล่า
ซูโย่วอี๋ถามโดยไม่คาดคิดว่า “ในภาพนี้ พวกคุณกำลังพูดอะไรกัน”
ผู้หญิงในรูปดูมีความสุขมาก
ลู่เฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไปว่า “เธอบอกว่าอาหารเช้าไม่อร่อย”
“โย่วอี๋ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอแน่นอน เรื่องนี้คุณต้องเชื่อผมนะ”
แน่นอน…
ซูโย่วอี๋จำได้ว่าเธอได้ยืนยันกับลู่เฉินว่า [ยารักษากระเพาะเร่งด่วน] ไม่มีอันตรายใด ๆ กับคุณปู่แน่นอน เธอก็สาบานเช่นกัน
ตอนนี้ดูเหมือนว่าคำว่า ‘แน่นอน’ จะไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย
ไม่ว่าใคร ๆ ก็พูดได้
แต่มันไม่มีหลักฐาน
“ฉันจะเชื่อคุณเรื่องที่สนามบิน”
ในที่สุด ซูโย่วอี๋ก็ถามบางอย่างที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอ “แต่ที่คุณไม่ได้ติดต่อฉันเลยในช่วงสามวันที่ผ่านมา ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด”
ดวงตาของซูโย่วอี๋แต่งแต้มไปด้วยความเศร้าโศกและเจ็บปวด “ไม่มีเลยสักครั้ง เพราะอะไรคะ?”