Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 302 ไม่เป่ามันให้ผมล่ะ
บทที่ 302 ไม่เป่ามันให้ผมล่ะ?
บทที่ 302 ไม่เป่ามันให้ผมล่ะ?
การแต่งหน้าของซูโย่วอี๋ในวันนี้ดูสวยและสง่างาม เธอในตอนนี้ไม่ต่างจากดอกบัวหิมะบนภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาดเลยสักนิด
แต่ความแตกต่างระหว่างความเปราะบางในดวงตาและรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งของซูโย่วอี๋ทำให้ผู้คนที่มองไปรู้สึกเจ็บปวดโดยไม่มีสาเหตุ
ซึ่งลู่เฉินรู้สึกผิดมากราวกับว่าเขาได้ทำผิดอย่างมหันต์!
“โย่วอี๋ ผมขอโทษ”
“ผมไม่อยากแก้ตัวว่าไม่ว่าง ผมมีโอกาสมากมายที่จะอธิบายให้คุณฟังว่าผมไปที่ไหนและทำอะไรอยู่ แต่ผมไม่ได้ติดต่อคุณเลย”
“เป็นความผิดของผมเองที่ทำให้คุณต้องกังวลและต้องอดทนต่อคำนินทาเหล่านั้น”
ได้ยินลู่เฉินยอมรับความผิดของตัวเอง หัวใจของซูโย่วอี๋ก็ปวดร้าวราวกับตัวเธอกำลังแช่อยู่ในแอลกอฮอล์ มันรู้สึกอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
หลังจากทุกคำพูด “แล้วทำไมคุณไม่ติดต่อฉันล่ะ?”
“ผม…” ลู่เฉินเหมือนจะพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ผมกำลังรอดู… ว่าคุณจะติดต่อผมไหม”
ขณะพูดนั้น เสียงก็แผ่วลงเรื่อย ๆ
มันเบามากเสียจนซูโย่วอี๋คิดว่าเธอได้ยินอะไรผิดไป “คุณพูดว่าอะไรนะคะ?”
สายตาของลู่เฉินเบนออกไปอย่างเขินอาย “ผมกำลังรอสายของคุณอยู่”
แม้ว่าห้องทดลองจะต้องปลอดเชื้อ แต่ลู่เฉินก็ยังนำมือถือติดตัวตลอดเวลา
ขณะที่ดูการทดลอง เขาก็สังเกตดูตลอดว่ามีสายเรียกเข้ามาหรือเปล่า
เขาตั้งเสียงเรียกเข้าสำหรับซูโย่วอี๋โดยเฉพาะ ถ้าเพลงดังขึ้น เขาจะรู้ได้ทันทีว่าเป็นเธอหรือเปล่า
ทว่า มันกลับเงียบไปสามวันเต็ม
จนลู่เฉินก็รู้สึกหมดหวัง จนเจมส์ต้องตบไหล่เขา “คุณกำลังรอสายอยู่เหรอ?”
“อืม”
“แฟนสาวที่จีน?”
ดวงตาของลู่เฉินปิดลง ขนตาหนาของเขาทอดเงาบนใบหน้า
จนเจมส์คิดว่าเขาหลับไปซะแล้ว เพราะมันใช้เวลานานก่อนที่จะได้ยินว่า “อืม แฟนของฉันเอง”
ไม่ใช่แฟนสาวที่จีน
เขา ลู่เฉิน มีแฟนเพียงคนเดียว
เจมส์มองเขาอย่างขบขัน “ผมชินแล้ว”
เขาถูกห้อมล้อมด้วยสาวงามและเปลี่ยนแฟนแทบตลอด ทุกประเภทและทุกเชื้อชาติ
“ผู้ชายควรเป็นช้างเท้าหน้า ถ้าเธอไม่โทรหาคุณ คุณก็โทรหาเธอก็ได้นี่”
ลู่เฉินไม่ตอบ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร
แต่ซูโย่วอี๋กลับรู้สึกไม่พอใจกับคำตอบของเขา “ฉันโทรหาคุณแล้ว”
ลู่เฉินรู้สึกประหลาดใจ “เมื่อไหร่?”
“อย่าถามฉัน! ดูด้วยตัวคุณเองสิ”
ลู่เฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและดูบันทึกการโทร เขาพบว่าซูโย่วอี๋โทรมาหาเขาในวันที่เขาออกจากปักกิ่ง
“ตอนนั้นผมอยู่บนเครื่องบิน”
“แล้วตอนคุณลงจากเครื่องบินล่ะ?”
เจมส์มารับลู่เฉินทันทีที่เขาลงจากเครื่องบินโดยพูดถึงการทดลองไปตลอดทาง
จึงไม่มีเวลาแม้แต่จะดูการแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับ
ลู่เฉินจ้องที่โทรศัพท์เป็นเวลานาน เขายื่นสองมือออกไปจับใบหน้าของซูโย่วอี๋แล้วโน้มตัวไปจูบเธอ
“ลู่เฉิน ฉันยังโกรธอยู่นะ!”
ดวงตาสีอัลมอนด์ของซูโย่วอี๋มองไปอย่างคาดโทษ
ลู่เฉินลูบปลายจมูกของเธอ “ผมผิดเอง”
“ผมรู้ดีว่าผมผิดอย่างแรง”
เขาจูบที่ระหว่างคิ้ว “ผมไม่ควรโกรธคุณเพราะยานั่นเลย ผมไม่ควรปล่อยให้คุณอยู่บ้านคนเดียว”
เขาพรมจูบที่เปลือกตา “ผมไม่ควรจากไปโดยไม่บอกลาแล้วปล่อยให้คุณคาดเดาไปต่าง ๆ นานา”
จากนั้นแต้มจูบที่ปลายจมูก
“ผมไม่ควรโกรธคุณ แล้วคิดจะทดลองว่าคุณจะติดต่อผมไหมเพื่อพิสูจน์ว่าคุณห่วงใยผมจริงหรือเปล่า”
และสุดท้ายจูบลงที่ริมฝีปากสีแดงสด
“โย่วอี๋” ลู่เฉินหายใจหนักหน่วง ดวงตาของเขาดูเร่าร้อน “ผมอายุ 28 ปีแล้ว แต่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ในด้านความรักเท่าไหร่”
“ทุกครั้งที่มองหน้าคุณ ผมจะคอยอ้อนวอนขอความรักจากคุณเสมอ”
ลู่เฉินกล่าว ซึ่งเมื่อเขาพูดคำเหล่านี้ น้ำเสียงของเขาก็สั่นเล็กน้อย
เขาอายแต่ก็มีความสุขเช่นกัน
ซูโย่วอี๋อาจไม่รู้ตัว แต่ตลอดเวลาที่พวกเขาคบกัน ลู่เฉินภูมิใจอยู่เสมอ เขาเป็นลูกรักพระเจ้า เป็นอัจฉริยะทางธุรกิจ และเป็นทายาทของครอบครัวที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของประเทศ
ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เธอจะถูกปกคลุมด้วยรัศมีของเขาเสมอ
แต่ในตอนนี้ ภาระเหล่านั้นได้หายไปแล้ว
“ลู่เฉิน…”
ลู่เฉินขู่ฟ่อ “อย่าพึ่งพูด”
วินาทีต่อมา เขาดูดดึงริมฝีปากของซูโย่วอี๋และจูบอย่างอ่อนโยน
พัวพันกันอยู่นาน
ร่างกายร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ
ลู่เฉินเลื่อนมือไปด้านหลัง ปลดซิปของอีกฝ่าย และโจมตีไปทีละขั้นตอน
ซูโย่วอี๋พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
ในค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงเสียงครวญครางแผ่วเบาที่ลอดออกมา
วันถัดมา
ซูโย่วอี๋ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เธอเห็นลู่เฉินกำลังมองมาที่เธอ
“คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ?”
“ดูเด็กน้อยของผมไง”
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “หวานแต่เช้าเลยเหรอ?”
ลู่เฉินระเบิดเสียงหัวเราะ “นี่คุณไม่เชื่อคำพูดของผมแล้วเหรอเนี่ย”
“คุณอยากกินอะไร?”
ลู่เฉินบีบแก้มสีอมชมพูของเธอ
ซูโย่วอี๋กอดเขาไม่ปล่อย “อยู่ในผ้าห่มอุ่น ๆ นี่ซะ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนทั้งนั้น”
“ได้ งั้นผมจะไม่ไป เรามาคุยกันไหม?”
“ค่ะ”
ซูโย่วอี๋ตกลง แต่ไม่ได้เปิดปากของเธอ เธอเพียงแค่ฝังศีรษะของเธอไว้ที่แผงอกอุ่นของลู่เฉิน ก่อนสูดดมกลิ่นหอมจากเขา
ลู่เฉินลูบผมของเธอ “คุณเป็นปีศาจที่ไล่หยางบำรุงหยินหรือเปล่าเนี่ย?”
“ใช่ ฉันเป็น”
พอพูดจบ ซูโย่วอี๋ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ “ฉันเห็นว่าผู้กล้าหนุ่มมีผิวสีแดงก่ำและเปี่ยมไปด้วยพลัง ดังนั้นเขาจึงต้องเต็มไปด้วยพลังงานหยางแน่ ๆ คุณต้องการให้สาวน้อยได้กลืนกินพลังงานหยางของคุณบ้างไหมคะ?”
เสียงของลู่เฉินต่ำและแหบแห้ง “ผมต้องการ”
ซูโย่วอี๋ยิ้มและซุกตัวลงในอ้อมกอดของเขา ก่อนใช้นิ้วแตะรอยฟันบนไหล่ของอีกฝ่าย “ฉันกัดแรงขนาดนี้เลยเหรอ? คุณเจ็บหรือเปล่า?”
“นิดหน่อย ทำไมคุณไม่เป่าให้ผมล่ะ?”
ไปให้พ้นเลย
แต่ซูโย่วอี๋จำตอนที่กัดเธอไม่ได้จริง ๆ “ครั้งต่อไปถ้าฉันกัดคุณ คุณต้องหยุดฉันนะ”
“ผมหยุดมันไม่ได้หรอก”
ใบหน้าของลู่เฉินดูเจ้าเล่ห์
ถ้าซูโย่วอี๋กัดเขาเมื่อไหร่ เธอก็ต้องถูกรังแกหนักขึ้น
ซูโย่วอี๋กัดใต้คางของเขาเบา ๆ “ลู่เฉิน คุณคิดว่าเราจะแยกจากกันในอนาคตหรือเปล่า?”
“ไม่”
ลู่เฉินกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ทำให้ทั้งสองเข้ามาใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
“แล้วจะเป็นยังไงถ้าเราแยกจากกันล่ะ?”
“ไม่มีทาง”
ซูโย่วอี๋เงยหน้าขึ้นและมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ “ฉันกำลังพูดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น เรื่องสมมุติน่ะ เข้าใจไหม!”
ลู่เฉินเองก็ดูจริงจัง “ถึงเราจะแยกจากกัน คุณก็เป็นของผมได้คนเดียวเท่านั้น”
ต่อให้หนีไปสุดขอบโลก ผมก็จะตามล่าคุณกลับมา
ซูโย่วอี๋พึมพำ “คนเผด็จการ”
…
สำนักงานใหญ่ของ [นิตรยสารรายสัปดาห์]
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในอาคารด้วยท่าทางสะดุดตา โดยมีนักข่าวและสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งตามมาด้วย
คิ้วและดวงตาของเธอดูเย็นชา ดูเหมือนว่ากำลังไม่พอใจอยู่
พนักงานต่างลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น
มีเพียงเจนเท่านั้นที่ไม่สนใจ เพราะระยะเวลาฝึกงานของเธอจะสิ้นสุดในสิ้นเดือนนี้แล้ว และมีเพื่อนร่วมชั้นอีกคนที่ฝึกงานกับเธอ ทางนิตยสารจะจ้างพนักงานต่อเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทำให้โอกาสในการอยู่ต่อของเธอยังสูงมากถึง 50%
อีกทั้งการคัดกรองภาพหน้าปกก็ทำได้ดี เคลลี่ รองบรรณาธิการบริหารบอกว่าเธอจะรายงานหัวหน้าเพื่อจ้างเจนต่อ
เพียงแต่การจ้างงานยังไม่แน่นอน ทำให้ในทุกวัน เจนรู้สึกลุ้นระทึกเสมอ
พวกพนักงานรุ่นพี่ได้ยินข่าวซุบซิบก็แทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันเรื่องนี้กับเจน
“ทายสิว่าคนนั้นคือใคร?”
“ฉันไม่ได้สังเกต”
“เอสเธอร์จาก Cy Modeling Agency”
เมื่อได้ยินว่าเป็นเอสเธอร์ เจนก็สนใจนิดหน่อย เรียกได้ว่าเธอคนนี้เป็นผู้นำของนางแบบยุคใหม่
ทั้งรูปร่างและหน้าตานั้นไร้ที่ติ เป็นลูกรักพระเจ้าชัด ๆ
แต่อาจเป็นเพราะเธอมีชื่อเสียงตั้งแต่ยังเด็ก เธอจึงกลายเป็นคนหยิ่งยโสและใจร้อน อารมณ์ของเธอก็ขึ้น ๆ ลง ๆ
คนที่เคยร่วมงานกับเธอมักบอกว่าเธอเข้ากับคนได้ยาก
“เอสเธอร์มาทำอะไรในบริษัทของเรากัน? เราไม่ได้มีงานอะไรที่ต้องทำร่วมกับเธอเลยนะ”