Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 307 กู่อวี๋เฉิงช่วยฉันด้วย
บทที่ 307 กู่อวี๋เฉิงช่วยฉันด้วย
บทที่ 307 กู่อวี๋เฉิงช่วยฉันด้วย
Content Warning: มีการใช้ความรุนแรงทางร่างกาย (physical abuse)
คุณปู่เคยพูดก่อนหน้านี้มาหลายครั้งว่าให้เขารีบหย่ากับอวิ๋นจิ้งหว่าน
“ตระกูลฮัวจะไม่มีลูกหลานไว้สืบสกุลไม่ได้ อวิ๋นจิ้งหว่านไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว”
“อาจิง จัดการเรื่องนี้ให้ดี ๆ อย่าปล่อยให้คนอื่นมาควบคุมเรา และจะให้คนอื่นมาพูดว่าตระกูลฮัวไร้หัวใจไม่ได้เด็ดขาด”
ฮัวจิงดึงลิ้นชักชั้นที่อยู่ล่างสุดออกมา ในนั้นมีเอกสารอยู่สองฉบับ
ฉบับแรกคือข้อตกลงในการหย่าร้าง ซึ่งฮัวจิงลงชื่อในเอกสารเรียบร้อยแล้ว รอแค่ให้อวิ๋นจิ้งหว่านเห็นด้วยเท่านั้น
ฉบับที่สองคือรายงานทางการแพทย์เรื่องที่อวิ๋นจิ้งหว่านมีบุตรยาก
เขาจุดไฟแช็ก เปลวไฟสีส้มลุกโชนขึ้นกลืนกินรายงานทางการแพทย์จนหายไป เหลือไว้เพียงกลิ่นขี้เถ้าจาง ๆ ที่ลอยไปในอากาศ
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น ฮัวจิงรีบเก็บข้อตกลงในการหย่าร้างเข้าไปในลิ้นชักและล็อกกุญแจเอาไว้
“เข้ามา”
อวิ๋นจิ้งหว่านเข้ามาพร้อมกับถาดในมือ เธอเดินเข้ามายืนอยู่ที่หน้าโต๊ะหนังสือ และเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำบนถาด “ร้อนจัง”
ฮัวจิงลุกขึ้นยืน “คุณมานี่หน่อยสิ”
กลิ่นหอมของชาโชยมาจากแก้ว
“อาจิง ช่วงนี้คุณต้องออกไปดื่มบ่อย ๆ ฉันเลยชงชามาให้ ฉันใส่อินทผลัมกับลำไยเข้าไปด้วย ดื่มเยอะ ๆ นะคะ มันดีต่อลำไส้”
ฮัวจิงหยิบขึ้นมาดื่มเข้าไปหนึ่งอึก
ชาในแก้วไม่ร้อนไม่เย็น กำลังอุ่นพอดี
อวิ๋นจิ้งหว่านใส่ใจเขามาโดยตลอด
ฮัวจิงจับมือเธอเอาไว้ “คุณสั่งให้คนไปทำให้ก็ได้ ไม่ต้องหักโหมตัวเองขนาดนี้หรอก”
“อืม ฉันอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อาจิง ฉันกลับไปนอนพักที่ห้องก่อนนะคะ คุณจัดการงานเสร็จแล้วก็รีบไปพักล่ะ”
“ครับ”
ฮัวจิงไปส่งเธอที่หน้าห้องก่อนจะหันหลังกลับ
แสงสลัว ๆ บนทางเดินทำให้ใบหน้าของอวิ๋นจิ้งหว่านสว่างขึ้น มันเป็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์
เธอดูแตกต่างไปจากภรรยาผู้อ่อนโยนที่คุยกับฮัวจิงเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง
เธอดึงผ้าห่มออกและขึ้นไปนอนบนเตียง ดวงตาเบิกกว้าง คอยฟังเสียงของเหล่าคนใช้ที่ทำงานอยู่ชั้นล่าง
จนกระทั่งเสียงรอบ ๆ ตัวสงบลง
ฮัวจิงคงจะไม่มีทางกลับมานอนที่ห้องแน่ ต่อให้เธอย้ายไปอยู่ห้องนอนของเขา มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เธอมองภาพงานแต่งงานนิ่ง ในวันนั้นอวิ๋นจิ้งหว่านยิ้มด้วยความเขินอายราวกับว่ามันคือเรื่องตลก
เธอลุกขึ้นมาจากเตียง และเดินไปยังสถานที่หนึ่ง
ตระกูลฮัวมีอาคารร้างอยู่ที่มุมทางตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากอาคารหลักอยู่ไกลมาก เดิมทีอาคารนี้มีไว้จัดเก็บสิ่งของ แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกทิ้งร้าง
กว่าครึ่งเดือนแล้วที่ไม่มีใครมาที่นี่เลย
มันเป็นอาคารที่ไม่ใหญ่มากนัก แสงจันทร์อ่อน ๆ ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง
อวิ๋นจิ้งหว่านเดินไปรอบ ๆ อาคารนั้นกว่า 10 นาที เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เธอจึงเปิดทางเข้าห้องใต้ดินและเข้าไปในนั้น
เธอเดินบันไดยาวเหยียดลงมา พร้อมกับได้ยินเสียงพูดอันแผ่วเบาในนั้น
ผู้ชายตัวสูงใหญ่สองคนที่กำลังงัวเงีย ๆ อยู่ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจิ้งหว่านมาก็รีบลุกขึ้นยืน “คุณอวิ๋น”
ไม่ใช่คุณนายฮัว แต่เป็นคุณอวิ๋น
นี่คือคนรับใช้ผู้ภักดีของตระกูลอวิ๋น
“เธอเป็นยังไงบ้าง?”
ผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับ “ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งของคุณครับ เธอกินข้าวแค่มื้อเดียว และอนุญาตให้นอนได้แค่วันละสามชั่วโมง เธอดูจะทนต่อไปไม่ไหวแล้วครับ”
อวิ๋นจิ้งหว่านถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อพรางตัว เป็นชุดคลุมทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าจนดูไม่ออกเลยว่าเธอเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปที่มุมห้อง
เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้น ประตูเหล็กเปิดออก
กลิ่นเหม็นปะทะเข้ากับใบหน้า มีแอ่งน้ำเล็ก ๆ บนพื้นคอนกรีตที่เปียกเฉอะแฉะ ห่างออกไปเล็กน้อยทุกอย่างกลายเป็นสีดำ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าอากาศหนาวมาก ทั้งห้องนี้ก็คงจะเต็มไปด้วยแมลงวันไปแล้ว
อวิ๋นจิ้งหว่านขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ เธอเดินไปตรงหน้าของซูหยินอย่างเหนือกว่า “ลืมตาขึ้นเดี๋ยวนี้”
ซูหยินไม่ขยับเขยื้อน
อวิ๋นจิ้งหว่านโน้มตัวเข้าไปและดึงโซ่ที่คอเธออย่าแรง “ฉันรู้ว่าแกไม่ได้หลับ”
“ไม่อยากเห็นหน้าฉันงั้นเหรอ?”
ซูหยินหิวจนไม่มีแรง มองผู้คนก็แทบจะไม่เห็น และที่สำคัญ เธอไม่ได้นอนเลย
“เธอไม่เห็นแสงสว่างบ้างเลยเหรอ มีเรื่องอะไรถึงมาจับตัวฉัน มีอะไรก็เปิดหน้าออกมาสิ หดหัวหนีแบบนี้ หรือว่าพวกเรารู้จักกัน?”
อวิ๋นจิ้งหว่านปล่อยมือ “ดูเหมือนว่าแกยังหิวไม่มากพอสินะ ยังมีแรงพูดอยู่อีก”
ซูหยินแค่พยายามฝืนตัวเองก็เท่านั้น เธอพูดออกไปได้แค่สองประโยคก็แทบจะหายใจไม่ทันแล้ว “นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ขังเธอเอาไว้และมาพูดจาเหน็บแนมเธอได้ทุกวี่ทุกวัน
อวิ๋นจิ้งหว่านยิ้มอย่างเย็นชา “ตอนนี้แกมันก็แค่หมาตัวหนึ่งที่ฉันเลี้ยงเอาไว้ มีสิทธ์อะไรมาตะคอกใส่ฉัน? ยังคิดว่าตัวเองเป็นดาราอยู่งั้นเหรอ?”
“ฉันเอาของดีมาให้แก คิดว่าแกน่าจะต้องชอบแน่ ๆ”
อวิ๋นจิ้งหว่านเดินออกจากประตูเหล็กไปและพาผู้ชายสองคนเข้ามา
หนึ่งในนั้นถือเข็มฉีดยาอยู่ในมือ
ซูหยินมองเห็นไม่ชัด แต่รับรู้ได้ถึงอันตราย เธอพยายามเพ่งตามอง “พวกแกจะทำอะไร?”
อวิ๋นจิ้งหว่านยกเข็มฉีดยาขึ้น “ยาเสพติดตัวใหม่ที่พึ่งพัฒนาขึ้นมา ลองดูหน่อยสิ?”
ซูหยินบังคับให้ตัวเองถอยหลังไปสองก้าว เธอพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “เธอแค้นอะไรฉันเหรอ”
“ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”
อวิ๋นจิ้งหว่านแผดเสียงหัวเราะอันเศร้าสร้อยออกมา “แกต่างหากที่ทำร้ายฉันก่อน”
หัวของซูหยินทำงานในทันที “คุณเป็นใครกันแน่? หลี่เพ่ยเพ่ย? หลินเฉวียน? หรือว่า…”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น” อวิ๋นจิ้งหว่านหยุดเธอเอาไว้ “ซูหยิน ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ฉันจะเอาสิ่งที่แกแย่งจากฉันไปคืนมาให้หมด”
เธอโบกมือขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาล็อกตัวซูหยินเอาไว้
ผู้ชายอีกคนใช้เข็มดูดยาขึ้นมาจนเต็มหลอด พอมองไปเห็นผู้หญิงที่อยู่ที่พื้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสารเธอ
“ออกไป”
ซูหยินอยากจะถอยหนี แต่กลับขยับไปไหนไม่ได้เลย
“ปล่อยฉัน แกมันคนเลวทรามไร้ยางอาย”
ซูหยินทนกับการที่ถูกเลี้ยงดูเหมือนสัตว์ได้
ตีเธอ ด่าว่าเธอ ซูหยินก็ทนได้
แต่ยาเสพติดนี่มัน…
เมื่อนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมงานที่เคยเสพยา ซูหยินอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
“ปล่อนฉันนะ ฉันยอมฟังคุณหมดทุกอย่างเลย” เธอพูดน้ำเสียงอ้อนวอน
ความรู้สึกเหมือนพวกโรคจิตก่อตัวขึ้นในใจของอวิ๋นจิ้งหว่าน “ดีมาก ในที่สุดก็รู้แล้วสินะว่าแกเป็นแค่หมาตัวหนึ่ง”
“เห่าให้ฟังหน่อยสิ”
ซูหยินเปิดปากออกอย่างยากลำบาก “โฮ่ง”
“เสียงดังหน่อย”
“โฮ่ง”
อวิ๋นจิ้งหว่านพอใจเป็นอย่างมาก เธอส่งสายตาไปให้ผู้ชายสองคนนั้น
ผู้ชายหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาและค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของซูหยิน “ไม่นะ…”
“กู่อวี๋เฉิง ช่วยฉันด้วย!”
คืนนี้ กู่อวี๋เฉิงกระวนกระวายใจเป็นอย่างมากจนถึงกับนั่งไม่ติด
ความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้นจนถึงดึกดื่นและค่อย ๆ หายไป
เขาดม ๆ ที่เสื้อผ้าของตัวเอง มันมีแต่กลิ่นเหม็น
เขาเก็บเสื้อผ้าและเตรียมไปอาบน้ำอย่างเหนื่อยล้า เดินไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เสียดแทงขึ้นมาในหัวใจ
กู่อวี๋เฉิงยืนทรงตัวไม่ไหวจนล้มลงไปกับพื้น พอเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยคราบน้ำตา
“ซูหยิน คุณกำลังเรียกผมอยู่ใช่ไหม?”
…
สิบวันผ่านไป ตำรวจไม่พบเบาะแสใด ๆ เลยจึงตัดสินใจที่จะล้มเลิกการค้นหา
ทุก ๆ ปีมีคนมากมายที่หายสาบสูญไปและหาตัวไม่พบ พวกเขาเองก็ไม่สามารถนำกำลังของตำรวจทั้งหมดไปใช้เพื่อคน ๆ เดียวได้
แม้ซูโย่วอี๋จะขอร้อง
“เจ้าหน้าที่เหลียง ถ้าหากว่าพวกเรายอมแพ้ ก็จะไม่เหลือความหวังในการช่วยหยินหยินแล้วนะคะ”
“เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง คุณเชื่อฉันเถอะ”
“คุณซู เรื่องนี้ทางตำรวจจะให้ความสำคัญแน่นอน แต่คุณเองก็ควรจะต้องเตรียมใจกับข่าวร้ายเอาไว้ด้วย”
หัวใจของซูโย่วอี๋เหมือนจะแตกสลาย
สุนัขจิ้งจอกทนดูเฉย ๆ ไม่ได้ [ซู่จู่ การไม่มีข่าวคราวอะไรแบบนี้อาจจะเป็นข่าวดีก็ได้]
ซูโย่วอี๋เดินอย่างไร้จุดหมายไปบนถนน หวังว่าซูหยินจะกระโดดออกมาจากมุมไหนสักมุมและเรียกเธอว่า ‘ที่รัก’
จู่ ๆ โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสั่นขึ้นมา ซูโย่วอี๋หยิบขึ้นมาดูก็ชาวาบไปทั้งร่างกาย
มันเป็นเบอร์แปลก
‘ในถังขยะตรงประตูทิศใต้ของอาคารเทียนเฉิงมีสิ่งของที่คุณต้องการอยู่’
ซูโย่วอี๋โทรกลับไป แต่ปลายสายมีเพียงเสียงเย็นชาของผู้หญิงดังขึ้น [ขออภัยค่ะ หมายเลขที่คุณโทรออกยังไม่เปิดใช้บริการ กรุณาตรวจสอบเบอร์ติดต่อก่อนโทรออก]
ซูโย่วอี๋ไม่กล้าเสียเวลาอีกต่อไป เธอรีบวิ่งไปยังประตูของอาคารเทียนเฉิง จากที่นี่ไปก็แค่ไม่กี่นาที
ระหว่างทาง เธอแจ้งข่าวให้กับกู่อวี๋เฉิงและเจ้าหน้าที่เหลียง
“ฉันล่วงหน้าไปก่อน”
เจ้าหน้าที่เหลียงเตือนให้เธอระมัดระวังตัวให้ดี “อย่าพึ่งรีบร้อนเข้าใกล้ถังขยะล่ะ”
ไม่มีใครรู้ว่าในถังขยะเป็นเบาะแสหรือระเบิด
อาคารเทียนเฉิงอยู่ในย่านธุรกิจที่มีการจราจรหนาแน่น หลังจากที่ซูโย่วอี๋รีบไปยังประตูทางทิศใต้แล้ว ที่นี่ก็มีผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทิ้งขยะกันไม่หยุด
ซูโย่วอี๋รออยู่ 2 วินาทีก่อนที่จะเดินไปทางถังขยะ
สุนัขจิ้งจอกเรียกขึ้นมา [ซู่จู่ คุณบ้าไปแล้ว]
[ตำรวจกำลังจะมาถึงแล้ว คุณไม่ห่วงชีวิตแล้วหรือไง?]
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ตอบกลับ เธอเปิดฝาถังขยะออกและชะโงกหน้าเข้าไปดู
หน้ากากอนามัยไม่สามารถบดบังกลิ่นเหม็นเน่าได้
น้ำซุป อาหารเน่าเสีย กระดาษสกปรก…
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างพากันมอง
“หน้าตาสวยแท้ ๆ แต่งตัวก็ดี แต่กลับมาคุ้ยขยะเนี่ยนะ?”
“สกปรกชะมัด เธอเอามือไปจับมันได้ยังไงเนี่ย”
“เห็นแล้วฉันอยากจะอ้วก จะคุ้ยก็คุ้ยไป แต่จะเอามามองใกล้ ๆ ทำไมเนี่ย อี๋”
“เหมือนเธอกำลังหาอะไรบ้างอย่าง คงจะเป็นของที่สำคัญมาก ๆ เลยนะ”
ไม่งั้นใครจะมาคุ้ยขยะกันล่ะ?
ตำรวจที่เพิ่งมาถึงปิดล้อมถังขยะเอาไว้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันนั้นก็ได้กันผู้คนเอาไว้รอบนอกแล้ว แต่ยิ่งเป็นการดึงดูดให้ผู้คนหยุดดูกันมากยิ่งขึ้น
เจ้าหน้าที่เหลียงเดินตรงมายังด้านหน้าของซูโย่วอี๋ “เจออะไรไหมครับ?”
มือของซูโย่วอี๋ยังคงคุ้ยไม่หยุด เหมือนเป็นการบอกว่าเธอยังไม่เจอสิ่งของที่ต้องการเลย
แต่ทันใดนั้น เธอก็นิ่งไป
มันคือหมั่นโถวที่อีกครึ่งซีกยังกินไม่หมด ส่วนที่ถูกตัดถูกย้อมด้วยสีแดงเล็กน้อย
ซูโย่วอี๋หยิบหมั่นโถวขึ้นมา เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
น้ำหนักของหมั่นโถวที่ควรเบากลับหนักจนผิดปกติ
ด้านข้างมีตะเข็บขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่
นี่แหละ!
ซูโย่วอี๋ฉีกหมั่นโถวออก เผยให้เห็นนิ้วมืออันแห้งเหี่ยว
นิ้วมือเรียวสวยที่เพนท์รูปแมวอยู่บนเล็บ
ซูโย่วอี๋ตัวสั่น เธอรู้ดีว่านี้คือนิ้วมือของซูหยิน
สีหน้าของเจ้าหน้าที่เหลียงเปลี่ยนไป เขารีบแจ้งกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อนำนิ้วกลับไปยังสถานีตำรวจ
ตอนที่กู่อวี๋เฉิงมาถึง เขาก็เห็นเหตุการณ์นี้พอดี
เขยืนาตัวแข็งทื่ออยู่สักพักก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาพยุงให้ซูโย่วอี๋ลุกขึ้น
ชุดสูทและรองเท้าหนังที่ดูเรียบร้อยไปทั้งตัว
นอกจากสายตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าแล้ว ทั้งตัวของเขาไม่ต่างจากตอนก่อนเกิดเหตุกับซูหยินเลย
แต่สายตาของเขาปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองทั้งหมด
มันดูเหม่อลอยและหนักอึ้ง
ซูโย่วอี๋ไม่กล้ามองหน้ากู่อวี๋เฉิง เธออยากจะเอ่ยปากปลอบเขา แต่เสียงกลับติดอยู่ในลำคอและไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย
กลับกัน กู่อวี๋เฉิงตบลงที่ไหล่ของเธอเบา ๆ
ผลดีเอ็นเอของนิ้วที่ขาดออกมาแล้ว มันเป็นนิ้วของซูหยินอย่างแน่นอน
น้ำเสียงสงบนิ่งของเจ้าหน้าที่เหลียง “จากสภาพของนิ้วที่ขาด พิสูจน์ได้ว่าพึ่งถูกตัดออกมาจากร่างที่มีชีวิตได้ไม่นาน”
“มีความเป็นได้สูงมากว่าซูหยินยังมีชีวิตอยู่”
จนถึงตอนนี้ นี่น่าจะเป็นข่าวดีเพียงข่าวเดียว
ซูโย่วอี๋เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ตรวจสอบคนที่ส่งข้อความมาจากเลขได้ไหมคะ?”
“คนที่เอานิ้วมาทิ้งไว้ล่ะ?”
เจ้าหน้าที่เหลียงพยักหน้า “กำลังตรวจสอบอยู่ครับ ถ้าได้ข่าวคราวอะไรจะแจ้งพวกคุณทันที”
ความจริงผลการตรวจสอบออกมาแล้ว
สถานที่ส่งข้อความคือต่างประเทศ จึงไม่สามารถแกะรอยได้
คนที่เอานิ้วมาทิ้งเอาไว้ก็หายเข้าไปในกลุ่มผู้คน
เบาะแสสำคัญตอนนี้มันหายไปอีกแล้ว
ส่วนเจ้าหน้าที่เหลียงแค่ทำตามคำแนะนำของลู่เฉิน คือการไม่บอกความจริงกับซูโย่วอี๋ก็เท่านั้น