Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 313 ประหารฉันเถอะ
บทที่ 313 ประหารฉันเถอะ
บทที่ 313 ประหารฉันเถอะ
ในฤดูหนาว ท้องฟ้ามืดเร็วขึ้น อากาศที่หนาวเย็นพัดใส่ใบหน้าเหมือนคมมีด
เจ้าหน้าที่ตำรวจซื้ออาหารจานด่วนและนำเข้าไปในห้องสอบสวน เมื่อมองไปที่ผู้หญิงที่ยังคงเงียบสงบข้างใน เขาอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “คุณนายฮัว ทานอาหารก่อนเถอะครับ”
อวิ๋นจิ้งหว่านไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว
ตั้งแต่เธอเข้าไปในห้องสอบสวน เธอก็จ้องมองเพดานอย่างว่างเปล่า และสิ่งเดียวที่เธอพูดคือ “มีใครมาขอพบฉันบ้างไหม”
เธอกำลังรอใครอยู่?
คุณฮัว?
เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกสงสาร คุณนายฮัวอยู่ที่สถานีตำรวจมาทั้งวัน แต่ไม่มีใครมาเยี่ยมเลยสักคน
ตอนนี้ประตูห้องสอบสวนถูกผลักเปิด
“คุณนายฮัว มีคนมาหาคุณ”
อวิ๋นจิ้งหว่านหันศีรษะไปมอง เมื่อเห็นหน้าผู้อำนวยการเซิน เธอก็ยกยิ้มจาง ๆ “คุณมาแล้ว”
เจ้าหน้าที่ตำรวจออกจากห้องสอบสวน ปล่อยให้ทั้งสองคนพูดคุยกัน
ผู้อำนวยการเซินนั่งลงตรงข้ามอวิ๋นจิ้งหว่าน “คุณอวิ๋น เงินถูกโอนเข้าบัญชีของคุณแล้ว แล้วจดหมายโอนหุ้นล่ะ?”
“ผู้อำนวยการเซิน ขอยืมโทรศัพท์มือถือของคุณหน่อยค่ะ”
ผู้อำนวยการเซินค่อย ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและมอบให้อวิ๋นจิ้งหว่าน เธอหยิบมันขึ้นมาและใช้นิ้วกดอย่างรวดเร็ว หลังจากลงชื่อเข้าใช้ธนาคารบนมือถือ เธอพบว่ายอดเงินคงเหลือเพิ่มขึ้นนับหมื่นล้าน
ดีมาก
เธอได้มอบหมายให้เพื่อนเก่าเป็นคนจัดการเรื่องเงิน หลังจากคืนนี้ เงินจะไหลไปต่างประเทศและไม่มีทางที่จะติดตามได้ พ่อแม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีเธอไปตลอดชีวิต
อวิ๋นจิ้งหว่านวางโทรศัพท์ของเธอ หยิบจดหมายโอนหุ้นออกมาจากกระเป๋า และเซ็นชื่ออย่างไม่ลังเล
ลายมือของเธอ มันค่อนข้างแตกต่างจากรูปลักษณ์ที่สง่างาม
ผู้อำนวยการเซินที่ได้รับจดหมายโอนหุ้นรู้สึกอารมณ์ดีและชมเชยหญิงสาวไม่ขาดปาก “ลายมือคุณอวิ๋นนี่สวยจริง ๆ นะครับ”
“ผู้อำนวยการเซิน ฉันให้คนส่งพัสดุไปให้คุณ”
“มันคืออะไรเหรอครับ?”
“เป็นสิ่งดีที่ช่วยให้คุณรักษาตำแหน่งสูงสุดในโรงพยาบาลเป่าไป๋ไว้ได้อย่างมั่นคง”
ผู้อำนวยการเซินคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้างั้นก็ขอบคุณคุณอวิ๋นมาก”
หลังจากจัดการกับเรื่องที่สำคัญที่สุด อวิ๋นจิ้งหว่านก็เปิดกล่องอาหารจานด่วนกิน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเก็บขยะ จึงเห็นว่าเธออารมณ์ดีขึ้นมาก “คุณนายฮัว ถ้าคุณง่วงก็พักผ่อนเถอะครับ ทางเจ้าหน้าที่เหลียงและคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าจะกลับกันมาเมื่อไหร่”
อวิ๋นจิ้งหว่านพูดอย่างใจเย็น “คุณไม่สงสัยหรือว่าฉันเป็นคนร้าย?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ไม่ครับ”
จะมีคนร้ายคนไหนที่ถามคนอื่น ๆ ว่าพวกเขาเป็นคนร้ายหรือเปล่าด้วยเหรอ?
ไม่มีทาง
อวิ๋นจิ้งหว่านหยุดพูดไปสักพัก
แต่ไม่นาน ความเงียบสงบของสถานีตำรวจถูกทำลายลงด้วยการกลับมาของเจ้าหน้าที่เหลียงและทีมของเขา ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เหลือต่างลุกขึ้นทีละคน “คุณพบอะไรไหมครับ?”
การค้นบ้านตระกูลฮัวที่มีชื่อเสียงในปักกิ่งไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย
หัวหน้าทีมค้นหาขยิบตาและบอกให้พวกเขาดูสีหน้าจริงจังของเจ้าหน้าที่เหลียง
เจ้าหน้าที่เหลียงเดินตรงเข้าไปในห้องสอบสวนอย่างไม่ลังเล ลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
“บอกผมสิว่าทำไม?”
อวิ๋นจิ้งหว่านถอนหายใจเงียบ ๆ “ฉันยอมรับผิด คุณถามอะไรก็ได้ที่คุณต้องการค่ะ”
เจ้าหน้าที่เหลียงรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ “คุณถ่วงเวลาช่วงระหว่างวันงั้นเหรอ?”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคดีนี้ และฉันไม่มีอะไรจะพูด”
เจ้าหน้าที่เหลียงพูดอย่างเฉียบขาด “คุณจับซูหยินทำไม?”
“ฉันเกลียดเธอ หลังจากที่ฉันแต่งงาน เธอยังเข้ามาพัวพันกับฮัวจิง ฉันกำลังจะคลอดในเดือนกันยายนแล้วแท้ ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงไม่แท้งลูก!”
เจ้าหน้าที่เหลียงเองก็รู้ซึ้งถึงความรักและความเกลียดชังจากผู้คนมากมาย ซูหยินไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับฮัวจิงหลังแต่งงานเลย และไม่ใช่ความผิดของซูหยินที่อวิ๋นจิ้งหว่านแท้งลูก
ไม่ว่าจะมองยังไง อวิ๋นจิ้งหว่านก็ควรจะเกลียดฮัวจิงมากกว่าด้วยซ้ำ
“แล้วคุณฮัวล่ะ คุณไม่เกลียดเขาเลยเหรอ?”
อวิ๋นจิ้งหว่านปิดปากของเธอแล้วหัวเราะ “ฉันรักเขาและฉันก็เกลียดเขาเท่าที่ฉันรักเขา”
“คุณคิดว่าฉันจะปล่อยเขาไปง่าย ๆ เหรอคะ? ฮัวจิง เขาไปไหนไม่ได้เด็ดขาด เขาต้องรับผิดชอบการนอกใจการครั้งนี้”
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม น้ำตาเริ่มคลอ
เจ้าหน้าที่เหลียงมองผู้หญิงตรงหน้าเขาด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน “คุณทำลายพวกเขาและก็ตัวคุณเอง ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย?”
น้ำเสียงของอวิ๋นจิ้งหว่านโดดเดี่ยวและอ้างว้าง “คุณไม่เข้าใจความเจ็บปวดกับการฝันว่าต้องเลิกราในกลางดึก”
“คุณไม่เข้าใจความเจ็บปวดของการสูญเสียลูก การไม่สามารถมีลูกได้อีก และสามีที่กำลังวางแผนหย่าและขับไล่คุณออกไป”
“ถ้าฉันไม่รักเขา ฉันคงมีชีวิตที่ดีอย่างที่คุณพูด แต่ฉันกลับรักเขา”
“ฉันดีมากขนาดนี้ แต่กลับเทียบไม่ได้กับนักแสดงคนหนึ่งที่มันตอกหมุดแห่งความอัปยศและเหยียบย่ำฉัน”
“มีแค่การทำลายเธอเท่านั้น ฉันจึงจะทำใจได้”
หลังจากที่เธอสงบลง เจ้าหน้าที่เหลียงก็ถามเกี่ยวกับรายละเอียดของการลักพาตัว อวิ๋นจิ้งหว่านเล่าเรื่องของคนอื่นได้อย่างใจเย็น เจ้าหน้าที่เหลียงเขียนบันทึกเสร็จก็ถูกอวิ๋นจิ้งหว่านหยุดไว้ตอนเดินออกจากห้องสอบสวน
“เจ้าหน้าที่เหลียง”
“ให้โทษประหารฉันเถอะ”
ระหว่างที่ฃลักพาตัวซูหยิน เธอมีความสุขที่ได้แก้แค้นมาก แต่ก็ถูกทรมานด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอเช่นกัน
แม้ว่าตำรวจจะหาตัวซูหยินไม่เจอไปอีกสักพัก อวิ๋นจิ้งหว่านก็อยู่ได้ไม่นาน
โทษประหารชีวิตเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ
เจ้าหน้าที่เหลียงหันศีรษะอย่างเย็นชา “อาชญากรรมของคุณไม่ถึงขั้นโทษประหาร”
โรงพยาบาลบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด
ซูโย่วอี๋นั่งมองนางพยาบาลกำลังทำแผลที่หน้าผากของเธออยู่บนเตียงข้าง ๆ
ซูหยินอยากยาระหว่างทางจนตัวสั่นราวกับผีเข้า ทุบของในรถเป็นชิ้น ๆ จนควบคุมไม่อยู่
ซูโย่วอี๋ต้องการที่จะหยุด แต่ซูหยินกลับหยิบกรรไกรขึ้นมาและทิ่มไปที่ใบหน้าของเธอ
โชคดีที่ไม่โดนมากนักมีแค่รอยขีดข่วนที่ผิวหนังเท่านั้น
ซูโย่วอี๋ยังคงนึกกลัวอยู่ในใจ ตอนนี้เธอเพิ่งเข้าใจว่าการติดยานั้นน่ากลัวเพียงใด
เมื่อลู่เฉินผลักประตูเข้ามา ซูโย่วอี๋ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง วันนี้ทุกอย่างมันกระชั้นชิดไปหมด เธอเลยลืมบอกลู่เฉินว่าจะมาพบซูหยิน
ลู่เฉินยื่นหน้ามามองดูบาดแผลของเธอ “คราวหน้าอย่าประมาท คนติดยาเสียสติแล้วน่ากลัวมาก และพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ยา”
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมซูหยินถึงดูเชื่อฟังมากในการถ่ายทอดสด
ซูโย่วอี๋ไม่ได้มองเขา “สถานการณ์มันเร่งด่วนและฉันก็คิดอะไรไม่ออก ฉันกลัวว่าเธอจะใช้กรรไกรทำร้ายตัวเอง”
“มีวิธีเลิกยาดี ๆ ไหมคะ?”
ลู่เฉินจับมือเธอ “ผมติดต่อกับสถาบันการแพทย์ชั้นนำแล้ว พวกเขามียาพิเศษสำหรับฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด มันได้ผลดีมาก”
“แต่คุณต้องเตรียมใจ กระบวนการล้างพิษไม่มีทางไม่เจ็บปวด”
ตั้งแต่นั้นมา ซูโย่วอี๋ก็เริ่มทำงานในโรงพยาบาลบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนกู่อวี๋เฉิงทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง และกลับไปทำงาน เขามาที่โรงพยาบาลทุกวันเพื่อเฝ้าดูซูหยิน
ข่าวการลักพาตัวของซูหยินยังคงแพร่กระจาย พ่อแม่ของกู่อวี๋เฉิงมาที่วอร์ดในบ่ายวันหนึ่ง
ซูหยินกำลังนั่งเล่นเกมอยู่บนเตียง เมื่อเธอเห็นใครบางคนเข้ามา เธอก็เงยหน้าขึ้นและเล่นต่อ
ตอนนี้เธอไม่กลัวผู้คนแล้ว แต่เธอไม่รู้จักใครเลยนอกจากซูโย่วอี๋
“คุณเป็นใครคะ?” ซูโย่วอี๋ถามอย่างสุภาพ
“คุณคือซูโย่วอี๋ เพื่อนสนิทของซูหยินใช่ไหม? เราได้ยินมาจากอวี๋เฉิง”
“ลุงกู่ ป้ากู่ เชิญนั่งลงค่ะ”
ซูโย่วอี๋รีบรินชาให้พวกเขา “ขอบคุณที่มาพบซูหยินนะคะ”
เห็นได้ชัดว่าป้ากู่รู้ถึงสถานการณ์ปัจจุบันของซูหยิน เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าวโดยไม่เข้าใกล้เตียงในโรงพยาบาลมากเกินไป และมองดูอย่างจริงจังสักพัก “เด็กคนนี้ต้องทรมานแค่ไหนกันนะ”
“คุณซู อวี๋เฉิงไม่เคยมีเพื่อนเลยตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อเขาแต่งงาน พวกเราสามีภรรยาจึงมีความสุขมาก”
“ฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าซูหยินจะสามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรา เราให้เธอทำทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการแสดง การเรียน หรือการเป็นภรรยา ฉันรู้ว่าคุณและเธอเป็นเด็กกำพร้า ฉันจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชดเชยความรักในครอบครัวของเธอ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกสะเทือนใจ “ฉันขอบคุณแทนหยินหยินด้วยค่ะ”
ป้ากู่โบกมือแล้วหยิบบัตรออกมาจากกระเป๋าของเธอพร้อมพูดว่า
“คุณซู เราเสียใจมากกับสิ่งที่ซูหยินต้องทนทรมาน แต่พ่อของเขากับฉันรับไม่ได้ ตอนนี้ทุกวันที่เราออกไปข้างนอกก็มีคนมาชี้ที่เรา”
“ฉันหวังว่าคุณจะเข้าใจการตัดสินใจของเรา ยกเลิกงานแต่งของอวี๋เฉิงและซูหยินเถอะ ในบัตรนี้มีเงินสองล้าน ซึ่งเป็นเงินบำนาญของเราสามีภรรยา ใช้เงินก้อนนี้เป็นค่ารักษาพยาบาลของซูหยินนะคะ”
ซูโย่วอี๋กำมือแน่น รู้สึกโกรธในใจ แต่ลึก ๆ แล้วรู้สึกหมดหนทาง “ป้ากู่ เอาเงินคืนไปเถอะค่ะ เราไม่ต้องการ”
ป้ากู่ไม่ขยับ “เอาไปเถอะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ต้องการเงิน แต่นี่คือน้ำใจ”
น้ำใจ?
บางทีหยินหยินอาจเคยมองว่าพวกเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในหัวใจของเธอ แต่พวกเขาก็สามารถซื้ออดีตได้ด้วยเงินเมื่อพวกเขาหันหลังให้เธองั้นเหรอ
ช่างใจดีจริง ๆ
ซูหยินชี้ไปที่ผลไม้ที่คู่รักกู่นำมาให้ “โย่วอี๋ ฉันอยากกินกล้วย”
“สีเหลือง งอ ๆ นิ่ม ๆ”
ซูโย่วอี๋จะลุกขึ้น แต่ป้ากู่รีบปอกกล้วยข้างหน้าเธอส่งให้ซูหยิน
ซูหยินมองไปที่ซูโย่วอี๋ “ฉันกินได้ไหม?”
เธอรับมันหลังจากที่เห็นเธอพยักหน้าและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “ขอบคุณค่ะ”
เธอกัดคำเล็ก ๆ
ป้ากู่รอให้เธอกินเสร็จและพูดว่า “ลาก่อน”
ซูหยินคิดว่ามันน่าสนุก เลยพูดต่อไปว่า “ลาก่อน ลาก่อน”
ป้ากู่หันกลับไปราวกับกำลังตัดสินใจได้แล้ว เธอหยิบกระเป๋าหนังสีดำขึ้นมา “ตาแก่ พวกเราไปกันเถอะ”
ซูโย่วอี๋หยิบบัตรธนาคารบนโต๊ะและตามออกไป เแต่กลับพบว่าป้ากู่กำลังเช็ดน้ำตาและดวงตาของเธอแดงก่ำ
ซูโย่วอี๋บอกไม่ได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอจึงเดินไปและยัดบัตรลงในกระเป๋าของอีกฝ่าย
จากนั้นเธอก็กลับไปที่วอร์ดโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เสียงร้องไห้ของป้ากู่ดังมา “คุณซู ชีวิตคนเราถ้าไม่อยู่เพื่อลูก ก็อยู่บนทางเดินให้เขา แล้วคุณจะเข้าใจเรา”
สมองของซูโย่วอี๋บอกว่าเข้าใจ แต่ทางความรู้สึก เธอไม่สามารถให้อภัยได้
ในตอนเย็น กู่อวี๋เฉิงมาอีกครั้ง
ซูหยินเพิ่งรอดชีวิตจากการติดยา ซูโย่วอี๋ที่เฝ้าดูกระบวนการล้างพิษของเธอเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับกู่อวี๋เฉิง เธอก็สูญเสียความสุภาพ “คุณกู่ คุณจะทำยังไงกับหยินหยินคะ?”
“ผมไม่เคยคิดอะไร แค่อยู่เคียงข้างเธอ”
น้ำเสียงของกู่อวี๋เฉิงปกติราวกับว่าเขากำลังพูดว่าคืนนี้จะกินอะไรดี
“พ่อแม่ของคุณมาที่นี่” ซูโย่วอี๋พูดเรื่องทั้งหมด “คุณควรรู้ว่าพวกเขาคิดยังไง”
“ครับ”