Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 319 แม่บุญธรรม
บทที่ 319 แม่บุญธรรม
บทที่ 319 แม่บุญธรรม
“ไม่ว่าเด็กนี่จะไม่ใช่ลูกของคุณน่ะเหรอ?”
ผลตรวจดีเอ็นเอจะออกในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากว่าเด็กเป็นลูกของกู่อวี๋เฉิง คุณหมอก็กลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจเก็บเด็กคนนี้ไว้
“ไม่ครับ ทำแบบนี้ก็เพื่อสุขภาพร่างกายของซูหยินเอง ส่วนซูโย่วอี๋… ถ้าเธอไม่เห็นด้วย งั้นก็ไม่ต้องบอกเธอเรื่องการทำแท้ง เรื่องเอกสารผมจะเป็นคนลงชื่อเอง”
เขาจะเป็นผู้รับผลที่ตามมาเอง
ซูหยินกไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ และไม่มีญาติที่ไหน มีเพียงกู่อวี๋เฉิงที่เป็นคนคอยดูแล จะให้ใครลงชื่อให้ก็ได้ทั้งนั้น
คุณหมอเองก็ไม่มีทางเลือก “คงต้องเป็นอย่างนั้นครับ”
เขาออกมาจากห้องทำงานของคุณหมอ แล้วพาซูหยินไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ใต้ตึก โดยมีซูโย่วอี๋ตามมาอยู่ด้านหลัง
ซูหยินมองโน่นมองนี่เล่นโน่นเล่นนี่ไปทั่ว เธอดูสนใจทุก ๆ สิ่ง
ที่นอกโรงพยาบาล มีหญิงวัยกลางคนกำลังเข็นรถเข็นขายไอติมอยู่
รถเข็นเต็มไปด้วยตัวการ์ตูนสีสันสดใส ดึงดูดสายตาของซูหยินในทันที
เธอวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
ทั้งสองคนเห็นอย่างนั้นรีบวิ่งตามไปในทันที
ตั้งแต่เธอป่วย ซูโย่วอี๋ก็เอาแต่รั้งเธอเอาไว้ไม่ยอมให้เธอออกนอกประตูโรงพยาบาลได้เลย เพราะกลัวว่าหากอาการติดยาของเธอกำเริบขึ้นมากะทันหัน เธอจะไปทำร้ายคนอื่นและกลัวว่าคนอื่นจะมารังแกเธอ
หญิงวัยกลางคนที่เห็นว่ามีคนสนใจไอติมก็ยิ้มออกมา เธอเปิดตู้ไอติมออก “อยากกินอะไรดีจ๊ะ?”
ซูหยินดูอยู่ครู่หนึ่งและเอามือหยิบไอติมขึ้นมาหนึ่งอัน “น่ากินจัง อยากได้หมดเลยค่ะ”
ด้วยการใช้ภาษาแบบเด็ก ๆ ทำให้หญิงวัยกลางคนมองเธออยู่ 2-3 รอบ
เหมือนกับว่าเธอมีปัญหาด้านสติปัญญา?
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าในท้องของซูหยินยังมีเด็กน้อยอยู่ด้วย ซูโย่วอี๋จึงรั้งเธอเอาไว้ “หยินหยิน อันนี้กินไม่ได้นะ มันไม่ดีต่อร่างกาย”
ซูหยินมองไปยังกู่อวี๋เฉิงด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
ซูโย่วอี๋นึกว่ากู่อวี๋เฉิงจะหยุดเธอไว้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ทำตามในสิ่งที่ควรจะเป็น “อยากกินก็กิน แต่กินได้แค่อันเดียวนะ”
“กินมากไปจะปวดท้องเอาได้”
ซูหยินจึงทำได้เพียงต้องเลือกมาแค่อย่างเดียว พอเดินออกมาแล้วก็ยังคงหันหน้ากลับไปมองอีก
“ฉันอยากกินอันนี้ทุกวันเลย วันละหนึ่งอัน”
ซูโย่วอี๋ทำหน้าเข้มงวด “ไม่ได้”
ซูหยินกัดไอติมอย่างแรง เธอไม่พอใจเป็นอย่างมาก
สายตาก็มองดูท้องฟ้าที่ค่อย ๆ มืดลงเรื่อย ๆ ลมพัดเข้ามา หลาย ๆ คนต่างพากันกลับไปกินข้าวเย็นที่ห้องพักคนไข้
รอจนซูหยินหลับไป กู่อวี๋เฉิงก็ลุกขึ้น “ผมกลับก่อนนะ”
ซูโย่วอี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณไม่รอผลตรวจก่อนเหรอคะ?”
แม้ว่าพรุ่งนี้จะไม่ใช่วันหยุด แต่เรื่องการตรวจดีเอ็นเอเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ว่าอย่างไรกู่อวี๋เฉิงก็ควรจะอยู่รอ
“ไม่ครับ ถ้าผลตรวจออกมาแล้วรบกวนคุณแจ้งผมด้วยนะครับ”
พูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมาเลย
ซูโย่วอี๋คาดเดาอะไรไม่ถูก “เจ้าจิ้งจอกเน่า นายรู้สึกไหมว่าปฏิกิริยาตอบกลับของกู่อวี๋เฉิงดูแปลก ๆ”
[ไม่นี่ ประธานกู่ใส่ใจพี่ซูมาตลอด น่าจะเป็นเพราะคุณคิดมากไปเอง]
งั้นเหรอ?
นั่นก็เป็นเพราะกู่อวี๋เฉิงรอบคอบกับทุก ๆ เรื่อง แต่วันนี้เขากลับทำเรื่องที่ไม่สมเป็นตัวเองถึงสองครั้ง มันจึงดูแปลกมาก
“ซูหยินท้อง แต่เขากลับยอมให้เธอกินไอติม”
สุนัขจิ้งจอกขบริมฝีปาก [ซู่จู่ ใครบอกว่าท้องแล้วกินไอติมไม่ได้ อีกอย่างนะ รองประธานกู่คงจะทำใจไม่ได้ที่จะไม่ให้พี่ซูกินอะไรเลย]
“งั้นเรื่องผลตรวจล่ะ?”
ทำไมเขาถึงไม่รอ?
[ฉันคิดจริง ๆ นะว่าคุณคิดมากเกินไป] สุนัขจิ้งจอกดูไม่เข้าใจ [สำหรับรองประธานกู่แล้ว ไม่ว่าเด็กจะเป็นลูกของเขาหรือไม่ เขาก็จะปฏิบัติต่อพี่ซูอย่างดีเหมือนเดิมอยู่ดี เพราะอย่างนั้น จะรอหรือไม่รอผลตรวจก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรเลย?]
[อีกอย่าง ต่อให้เขาอยู่ที่นี่ผลการตรวจก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง]
ซูโย่วอี๋ “…”
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าสุนัขจิ้งจอกนี่ช่างพูดจริง ๆ
“หวังว่าฉันจะคิดมากไปเองนะ”
วันต่อมา ซูโย่วอี๋โชคดีมาก เธอแย่งภารกิจรดน้ำดอกไม้ในสวนของระบบมาได้ ทำงาน 4 ชั่วโมง ค่าตอบแทนคือเม็ดช็อกโกแลต 12 เม็ด
ดอกกุหลาบบานสะพรั่งไปทั่วทั้งสวนจนเป็นสีแดงสดไปทั้งผืน ส่งกลิ่นหอมหวนออกมา
ซูโย่วอี๋ทำภารกิจสำเร็จอย่างมีความสุข
เมื่อเธอออกมาจากระบบ พอดีกับที่คุณหมอโทรศัพท์เข้ามา “[ผลตรวจออกมาแล้วครับ]”
ซูโย่วอี๋กลั้นหายใจ “เป็นยังไงบ้างคะ?”
“[เด็กในท้องของซูโย่วอี๋และกู่อวี๋เฉิงมีดีเอ็นเอตรงกันถึง 0.999]”
เด็กในท้องเป็นลูกของกู่อวี๋เฉิง!
ในที่สุดหัวใจที่เหมือนถูกแขวนเอาไว้ก็ปล่อยวางลง ในหัวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอรู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
“ขอบคุณค่ะ คุณหมอ ฉันจะรีบกลับไปที่โรงพยาบาล”
ระหว่างทาง ซูโย่วอี๋โทรศัพท์หากู่อวี๋เฉิง แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะใจเย็นจนผิดปกติขนาดนี้ “[ผมรู้แล้ว]”
เหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้าไปเต็ม ๆ
ใบหน้าของซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะเย็นชาขึ้นมา “กู่อวี๋เฉิง คุณคิดยังไงกันแน่คะ? ตอนแรกฉันก็ถามความคิดเห็นของคุณแล้ว ถ้าหากว่าคุณจะทิ้งหยินหยินก็ไม่เป็นไร ยังไงซะเธอก็จำคุณไม่ได้ คุณจะอยู่หรือไปก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเธอทั้งนั้น”
แต่กู่อวี๋เฉิงกลับค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในชีวิตของซูหยินทีละก้าว ๆ อีกครั้ง
ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำไปเพื่ออะไร?
“[ผมไม่เคยคิดจะทิ้งเธอ]” กู่อวี๋เฉิงนิ่งไปและตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “[แต่เราจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ไม่ได้]”
“ทำไม?”
ซูโย่วอี๋ไม่อยากจะเชื่อ “นี่มันลูกของคุณนะ!”
กู่อวี๋เฉิงค่อย ๆ กระชับมือทั้งสองข้างของเขาให้แน่นขึ้น “[ผมปรึกษาเรื่องนี้กับคุณหมอแล้ว ความเป็นไปได้ที่เด็กจะพิการมีมากเกิน 50%”
ความน่าจะเป็นนี้มันสูงมากเกินไป จนเขาไม่กล้าเดิมพัน
ซูโย่วอี๋จึงรู้ได้ในทันทีเลยว่ากู่อวี๋เฉิงไม่ได้คิดจะเก็บเด็กเอาไว้ตั้งนานแล้ว
“เรื่องสุขภาพร่างกายของเด็ก คุณไม่ต้องเป็นห่วง ฉันมีวิธี”
กู่อวี๋เฉิงเงียบไปและตอบกลับไปแค่อืม “[อืม ค่อยว่ากันนะครับ]”
เขาทำให้ซูโย่วอี๋ดูเป็นคนไม่มีเหตุผลไปเลย
กลับมาถึงโรงพยาบาล ซูโย่วอี๋นั้นมีความสุขมากจนเกินจะบรรยาย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงมันออกมาต่อหน้าหยินหยินอย่างเปิดเผย
ซูหยินมองเธอยิ้มและตัวเองก็ยิ้มตาม “โย่วอี๋ เธอยิ้มได้โง่มาก ๆ เลย”
ซูโย่วอี๋วางผลไม้และอาหารเสริมลงพร้อมกับดึงเก้าอี้ออกมานั่งลงข้าง ๆ อีกฝ่าย และใช้มือลูบไปยังท้องน้อย ๆ ที่แบนราบ “หยินหยิน เธอรู้หรือเปล่าว่าเธอมีลูกแล้วนะ ฉันจะได้เป็นแม่บุญธรรมแล้ว”
“ลูก?” ซูหยินเอียงหัว “อยู่ที่ไหน?”
ซูโย่วอี๋ชี้ไปที่ท้องของเธอ “ในนี้”
ซูหยินอ้าปากค้าง “แต่ฉันไม่เห็นเลยนะ”
เธอถึงขั้นเปิดเสื้อออกดู
ซูโย่วอี๋รวบมือที่กำลังวุ่นวายของเพื่อนสาวเอาไว้ “ตอนนี้ยังมองไม่เห็น เด็กยังตัวเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวอยู่เลย”
“เขาจะค่อย ๆ ตัวโตขึ้น มีแขน มีขา แล้วก็ใบหน้า อืม แล้วก็ยังมีผมสีดำ ๆ ด้วยนะ”
ซูหยินคิดตาม “อ้อ ฉันรู้แล้ว เหมือนกับการเพาะเลี้ยงต้นไม้ใช่ไหม?”
“ฉันรดน้ำทุกวัน มันก็แตกหน่ออกมาสองหน่อ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ใช่ เป็นแบบนั้นแหละ”
เธอกังวลว่าตัวเองจะไม่สามารถดูแลซูหยินได้ตลอดเวลา ซูโย่วอี๋จึงเอาแต่จู้จี้และคอยเตือนสติเธออยู่ทั้งวัน
โดยไม่ได้สนใจเลยว่าซูหยินนั้นจะฟังเข้าใจหรือเปล่า
ซูหยินปิดหูของตัวเอง “ไม่อยากฟังแล้ว เลี้ยงลูกมันลำบากจัง”
แต่เมื่อซูโย่วอี๋เห็นซูหยินลงมาจากเตียง เธอก็จะพยายามปกป้องหน้าท้องเอาไว้ แม้มีบางครั้งที่เผลอชนไปอย่างไม่ระมัดมัดวัง เธอก็จะรีบพูดขึ้นในทันที “ขอโทษนะ ลูก ไม่ได้ทำให้ลูกตกใจใช่ไหม”
น่ารักมาก ๆ ซูโย่วอี๋อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ตอนนี้ก้อนหินขนาดใหญ่ในหัวใจค่อย ๆ ถูกวางลง เพราะช่วงนี้ซูโย่วอี๋ใช้สมองอย่างหนักเพื่อทำภารกิจในระบบ
อาจเพราะเป็นช่วงเวลาของความโชคดีที่แม้แต่พระเจ้าก็ยังช่วยเธอเอาไว้ ซูโย่วอี๋แย่งภารกิจมาได้ติดต่อกันหลายวัน เม็ดช็อกโกแลตจากห้าสิบกว่าเม็ดก็มีมากขึ้นถึง 93 เม็ด ขอเพียงแค่หาภารกิจได้อีกหนึ่งงานเท่านั้น เธอก็จะสามารถซื้อยารักษาอาการเสพติดได้แล้ว
กู่อวี๋เฉิงมาหาซูหยินในทุก ๆ วันหลังเลิกงานตามปกติ แต่ไม่เคยมีใครพูดเรื่องเด็กขึ้นมาก่อนเลย
คืนนี้กู่อวี๋เฉิงไม่ได้กลับบ้าน แต่กลับมานอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล ซูโย่วอี๋เองก็ไม่ได้สนใจเขา เธอกลับไปนอนที่ห้องข้าง ๆ
ไฟในห้องพักคนไข้ถูกปิดลง แสงจันทร์สีนวลส่องเข้ามา กู่อวี๋เฉิงนั่งอยู่ข้าง ๆ ซูหยิน จ้องมองใบหน้าหลับไหลของเธออยู่นานแสนนาน
นานมากจนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถขยับไปไหนได้ กู่อวี๋เฉิงจึงลุกขึ้นและออกมาจากห้องพักคนไข้
และไปยังห้องทำงานของคุณหมอ
“คุณมาแล้ว”
“อืม” กู่อวี๋เฉิงเดินเข้าไปและปิดประตูห้องทำงานลง
หมอหยิบหนังสือยินยอมขึ้นมา “กำหนดการดำเนินการคือพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้า ซูหยินอยู่ในโรงพยาบาลของผมเพื่อรับการรักษาในระยะแรก เรื่องการตรวจต่าง ๆ ทำมาหมดแล้วและไม่มีปัญหาอะไร”
กู่อวี๋เฉิงอ่านเงื่อนไขทั้งหมดอย่างละเอียด รวมถึงคำเตือนด้านความเสี่ยงและข้อควรระวัง คำว่าทำแท้งทิ่มแทงเข้าไปในตาของเขาจนเจ็บปวด
เขาเกือบจะหยิบปากกาขึ้นมาไม่ไหวตอนที่ต้องลงชื่อ
คุณหมอดูออกถึงอารมณ์อันแปรปรวนของเขา จึงพูดปลอบใจขึ้น “ในทางการแพทย์ ความรู้สึกส่วนตัวไม่มีประโยชน์อะไรเลย คุณกู่ สิ่งที่คุณทำถูกต้องแล้วครับ”
กู่อวี๋เฉิงดูขมขื่น อยากจะพูดอะไรออกมาแต่ทั้งตัวของเขากลับแข็งทื่อ
ที่แท้เขาเองก็ไม่ได้มีเหตุผลเหมือนอย่างที่ตัวเองคิดเลย
พอเห็นคุณหมอเก็บหนังสือยินยอมไป กู่อวี๋เฉิงก็หมุนตัวและเดินจากไป
หากยังมองอยู่อีก เขากลัวว่าตัวเองจะเสียใจ
กู่อวี๋เฉิงนอนไม่หลับทั้งคืน เขานอนลืมตาจนฟ้าสว่าง
ช่วงเวลานี้ เขาถามพยาบาลเกี่ยวกับกำหนดการเวลาต่าง ๆ ของซูโย่วอี๋ ปกติแล้วก่อนเก้าโมงเช้าซูโย่วอี๋จะออกไปข้างนอกสักพัก เวลาไม่แน่นอน แต่ถ้าวันไหนไปนานก็จะกลับมาในช่วงบ่าย
แม้จะโกนเคราหลังจากตื่นนอน แต่กู่อวี๋เฉิงก็ไม่ได้รู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาเลย ความเหนื่อยล้าฉายชัดในแววตาของเขา
ซูโย่วอี๋สังเกตเห็นมัน แต่เธอก็ไม่ได้ถามออกไป
ซูหยินเห็นว่าทั้งสองคนไม่พูดอะไรเลย “พวกคุณไม่มีความสุขงั้นเหรอ?”
“เปล่า รีบกินข้าวเช้าเถอะ”
“อื้ม”
ซูหยินก้มหน้ากินโจ๊ก แต่กินไปได้สองคำก็เงยหน้าขึ้นมาอีก “โย่วอี๋ ทำไมรสชาติอาหารไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยหละ”
“ฉันให้แม่ครัวมาทำอาหารให้เธอ เธออยากกินอะไรก็บอกคุณน้าฉินได้เลยนะ”
ซูหยินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ซูโย่วอี๋อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เตรียมออกไป
การทำภารกิจต้องไม่ถูกรบกวน โรงแรมข้าง ๆ จึงกลายเป็นที่อยู่ถาวรของเธอไปแล้ว
ซูหยินคุ้นเคยกับมันดี “โย่วอี๋ รีบกลับมาไว ๆ นะ”
ซูโย่วอี๋ยิ้มและมองไปยังกู่อวี๋เฉิง เธอไม่สามารถจากไปเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรได้
“ฉันไปก่อนนะ คุณดูแลหยินหยินให้ดี ๆ ล่ะ”
กู่อวี๋เฉิงไม่กล้ามองเธอ เขาตอบกลับด้วยเสียงอู้อี้ “อืม”
เขามองซูโย่วอี๋ที่เดินออกไปจากประตูของโรงพยาบาลผ่านจากทางหน้าต่าง กู่อวี๋เฉิงหยิบโทรศัพท์ติดต่อหาคุณหมอ “เธอไปแล้ว”
จากนั้นพยาบาลก็รีบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ให้ซูหยินเปลี่ยนชุดและพาเธอไปยังห้องผ่าตัด
ซูหยินรู้สึกกลัวนิดหน่อย “พวกคุณจะทำอะไร? ไม่ได้พาฉันไปบำบัดเหรอ?”
กู่อวี๋เฉิงเดินเข้ามาจับมือเธอเอาไว้ “ไม่ต้องกลัว พวกเราไปบำบัดกันนะ”
“แต่ว่า… เมื่อก่อนตอนบำบัดไม่ต้องสวมชุดสีเขียวนี่”
“วันนี้บำบัดแบบใหม่”
ผ่านไปสักพักซูหยินจึงพูดขึ้น “อ้อ”
เธอเอื้อมนิ้วไปจิ้มที่หน้าอกของกู่อวี๋เฉิง “คุณประหม่ามากเลยเหรอ?”
ท่าทางของเขาดูเครียดมากเลย
กู่อวี๋เฉิงไม่ได้ตอบอะไร
ห้องผ่าตัดสะอาดมาก ๆ
พยาบาลให้ซูหยินนอนลงบนเตียงผ่าตัด ซูหยินเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
อย่างไรเสียเธอก็เคยมีประสบการณ์ที่ถูกมัดมือมัดเท้าจากการบำบัดอาการเสพติด เธอเคยพยายามดิ้นรน แต่ซูโย่วอี๋บอกว่าพวกพยาบาลจำเป็นจะต้องทำแบบนี้ ซูหยินจึงค่อย ๆ ยอมรับมัน
ตอนนี้พยาบาลบอกให้เธอทำอะไรเธอก็ยอมทำตามโดยไม่สงสัยเลยสักนิด
ซูหยินมองไปยังแสงสีขาวที่สะท้อนมาอย่างแรง จนเธอต้องหลับตาลง “เปลี่ยนอันนี้ได้ไหมคะ?”
เหล่าพยาบาลเกลี้ยกล่อม “อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
คุณหมอในชุดสีขาวเดินเข้ามา ซูหยินสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก “โย่วอี๋อยู่ไหน?”
หืม
โย่วอี๋ไปทำงานแล้ว
“คนโง่ล่ะ ฉันต้องการคนโง่”