Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 321 อาหารค่ำส่งท้ายปี
บทที่ 321 อาหารค่ำส่งท้ายปี
บทที่ 321 อาหารค่ำส่งท้ายปี
ซูหยินเดินเข้าไปในห้องนอน เปิดเครื่องทำความร้อน และนอนลงบนเตียง “ฉันจะนอนที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
หลังจากพูดจบ เธอก็ขดตัวและหลับตาลง ดูงดงามและเงียบสงบราวกับทารกแรกเกิด
ซูโย่วอี๋ปิดไฟก่อนพูดอย่างจนใจ “ตกลง”
จากนั้นเธอก็นอนลงบนเตียงและดึงผ้านวมที่เพิ่งซื้อมาคลุมตนเองและอีกฝ่ายไว้
เครื่องทำความร้อนเพิ่งเปิด ทำให้ตอนนี้ทั้งห้องยังเย็นอยู่ โชคดีที่ทั้งคู่นอนหลับได้โดยไม่ต้องถอดเสื้อโคต
ซูโย่วอี๋เบิกตาโพลงในความมืด เธอง่วงมากแต่ก็หลับไม่ลง
เธอหันหน้าไปด้านข้างเพื่อจะคุยกับซูหยิน แต่เสียงลมหายใจของอีกฝ่ายกลับทอดยาวเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้เปลี่ยนท่าทางเลยตั้งแต่ล้มตัวลงนอน
คงจะหลับไปแล้ว
ต่อมา ซูโย่วอี๋เองก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
อาทิตย์ต่อมา ซูโย่วอี๋และซูหยินซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อทำให้บ้านที่รกร้างหลังนี้ดูน่าอยู่ขึ้น
หากไม่นับความทรมานจากการติดยา ซูหยินในตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไปเลย
เพียงแต่เธอไม่ค่อยพูดและมักจะเหม่อลอย
ซูโย่วอี๋กับซูหยินคุยกันเรื่องงาน ซูหยินดูเหนื่อยล้า “ออกจากวงการนี้กันเถอะ”
ก่อนเกิดเรื่องนั้น เธอวางแผนที่จะหายไปจากวงการบันเทิงอยู่แล้ว
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “พักผ่อนสักหน่อยแล้วกัน อีกอย่างเธอตั้งท้องอยู่ด้วย อย่าหักโหมเกินไปเลยนะ”
เมื่อพูดถึงเด็ก สีหน้าของซูหยินดูไม่มีความสุข
ตอนนี้ซูโย่วอี๋ยังไปที่ระบบเพื่อทำภารกิจตามปกติ บางครั้งก็ได้ บางครั้งก็ไม่ได้
เธอรีบซื้อยาต้านการเสพติด เมื่อซูโย่วอี๋กลับไป ก็เหลือเม็ดช็อกโกแลตอยู่แค่ไม่กี่เม็ดเท่านั้น
เธอไม่รู้ว่าเด็กจะมีปัญหาอะไรไหมและไม่รู้ว่าค่ารักษาจะมากเท่าไหร่
ซูโย่วอี๋แค่ต้องการเก็บเม็ดช็อกโกแลตให้มากที่สุด
เมื่อเห็นว่าซูหยินดูปกติมากขึ้น ซูโย่วอี๋ก็จะไปหารือเกี่ยวกับตารางงานในปีหน้ากับผู้จัดการของเธอที่บริษัทบ้างเป็นครั้งคราว
ในตอนบ่าย เธอไปที่บริษัทและกินอาหารเย็นกับลู่เฉิน ก่อนที่จะเดินทางกลับไปยังเทียนฮวา
ระหว่างทาง เธอบังเอิญเจอกับกู่อวี๋เฉิงที่ประตู
ลู่เฉินหยุดรถและลดกระจกลง “มาหาซูหยินเหรอ?”
กู่อวี๋เฉิงพูดเสียงเศร้า “อืม แต่เธอไม่อยากเจอผม”
“ผมคิดว่าเธอคงจะโกรธ แต่ผมไม่เคยคิดว่าเธอจะโกรธขนาดนี้ หยินหยินตัดสินใจเลิกกับผมแล้ว”
ซูโย่วอี๋ทนไม่ได้ “คุณกู่กลับไปเถอะค่ะ ฉันจะเกลี้ยกล่อมเธอให้คุณเอง”
กู่อวี๋เฉิงลดศีรษะลง เผยให้เห็นเส้นผมดำขลับที่มีขวัญน้ำวนเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง โบราณบอกไว้ว่าคนที่มีลักษณะแบบนี้เป็นคนดื้อรั้น
“คุณซู อาการติดยาของซูหยินเป็นยังไงบ้างครับ?”
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหมกมุ่นมากเกินไป ซูโย่วอี๋เลือกที่จะโกหกว่า “ผลการรักษาดีขึ้นมาก การกินยาช่วยให้อาการของหยินหยินลดลงเรื่อย ๆ เธอควบคุมมันได้ด้วยตัวเองแล้วค่ะ”
ได้ยินดังนั้น กู่อวี๋เฉิงก็ยิ้มออก “ดีแล้วครับ”
“ผมซื้ออาหารเสริมมา คุณช่วยนำไปให้ซูหยินหน่อยได้มั้ย แต่อย่าบอกว่าผมเป็นคนซื้อมานะครับ”
ซูโย่วอี๋ตกตะลึง “คุณไม่ได้คัดค้านหยินหยินเรื่องเก็บเด็กไว้เหรอคะ?”
กู่อวี๋เฉิงทอดมองออกไปอย่างว่างเปล่า “ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าซูหยินฝืนจะเก็บเด็กเอาไว้ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองมีวิธีที่ดีกว่านี้ ผมทำได้เพียงพยายามช่วยเธอรักษาสุขภาพเท่านั้น”
ทันใดนั้นเอง ความรู้สึกที่หลากหลายก็ประเดประดังเข้ามาที่ซูโย่วอี๋
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็พบว่าซูหยินยังไม่ได้กินอาหารเย็นจริง ๆ
อีกฝ่ายไม่ได้เปิดไฟด้วยซ้ำ เธอนั่งอยู่คนเดียวบนขอบหน้าต่างที่ยื่นออกมาในห้องนอนในท่าเอามือวางบนเข่า
ร่างด้านหลังกลืนไปกับความมืด
ซูโย่วอี๋รู้สึกอึดอัด เธอมองไปตามสายตาของซูหยิน ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายมองไปยังจุดที่กู่อวี๋เฉิงเคยยืนอยู่
ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครแล้ว
“หยินหยิน เธอกำลังรอคุณกู่อยู่หรือเปล่า?”
ซูหยินส่ายหัว
“การนั่งตรงนี้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ”
เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้น ซูหยินหันศีรษะไปตามต้นเสียงทันที
“โย่วอี๋ เรียกซูหยินออกมากินอาหารเย็นเถอะ”
ลู่เฉิน
แสงแห่งความหวังจาง ๆ ในดวงตาของซูหยินดับลง
ซูโย่วอี๋ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติดังกล่าว เธอพูดว่า “อาหารที่ห่อมาเย็นหมดแล้ว ฉันเลยขอให้ลู่เฉินอุ่นให้น่ะ”
ซูหยินลุกขึ้นไปที่ห้องอาหาร
อาหารจานโปรดทั้งหมดของเธอถูกจัดวางอยู่บนโต๊ะ เธอนั่งลงและกินเข้าไป
หลังจากกัดไปสองคำ ซูหยินก็เงยหน้าขึ้น “ประธานลู่ สองสัปดาห์ข้างหน้า คุณพอมีเวลามาทานอาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่าด้วยกันไหมคะ?”
ลู่เฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ได้ ผมจะมาให้ตรงเวลา”
ซูหยินกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าอีกครั้ง
ลู่เฉินกลับไปหลังจากทำความสะอาดครัวเสร็จ ซูโย่วอี๋ไปส่งเขาที่โรงรถ และทั้งสองก็มีความสุขกับเวลาที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง
“ลู่เฉิน คุณโกรธฉันไหมที่ฉันละเลยคุณ?”
ลู่เฉินกำมือของเธอแน่น “ไม่”
“เวลานี้ซูหยินต้องการคนดูแล และแฟนของคุณก็ไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น”
ซูโย่วอี๋อยู่ในโรงรถ เธอกอดลู่เฉินไม่ยอมปล่อยเป็นเวลานาน
“ลู่เฉิน อย่าลืมคิดถึงฉันตอนกลับถึงบ้านนะคะ”
ลู่เฉินดึงเธอออกและจูบเข้าที่ริมฝีปาก “อย่าห่วงเลย ผมคิดถึงคุณทุกคืน”
“แล้วไม่คิดถึงฉันตอนกลางวันเหรอ?”
มุมปากของลู่เฉินยกโค้งขึ้น “คิดถึงน้อยกว่าตอนกลางคืนนิดหน่อย”
“พอเลย”
ซูโย่วอี๋ทำหน้าบูดบึ้งและวิ่งหนีไป
หลังจากกลับเข้าบ้าน ซูโย่วอี๋ก็เดินไปที่ด้านข้างของซูหยิน “อืม เธอนี่เป็นคนดีจริง ๆ เธอเชิญคนมากินอาหารที่บ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ ที่สำคัญเธอก็ทำอาหารไม่เป็น แล้วนี่ใครจะเป็นคนทำอาหาร?”
ซูหยินยิ้มออกมาในรอบหลายวัน แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่เบาบางมากก็ตาม “ขอบคุณเธอที่ลำบากทำอาหารนะ”
“ฉันยังอยากชวนคนอีก 2-3 คน เธอทำให้มากขึ้นหน่อยล่ะ”
ซูโย่วอี๋สงสัย “เพื่อนของเธอเหรอ?”
“ไม่ใช่ เดี๋ยวเธอก็จะรู้เองเมื่อถึงเวลา”
เห็นอย่างนี้ ซูโย่วอี๋ก็ยิ่งอยากรู้อยากเห็น
แต่ไม่ว่าเธอจะถามซูหยินเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ไม่ยอมพูดอะไร
“หยินหยิน เธอได้เชิญ… คุณกู่หรือเปล่า?”
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของซูหยินเย็นชาทันที “เธอจะเชิญเขามาทำไม?”
ซูหยินมองไปที่ซูโย่วอี๋ด้วยสายตาที่จริงจัง “โย่วอี๋ ฉันจะบอกเธอไว้เลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะอยู่กับเขา อย่าพยายามจับคู่เรา เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน ถ้าใช่ก็คือใช่ ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่”
ซูโย่วอี๋พูดไม่ออก
เธอใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “หยินหยิน เธอไม่ใจร้ายกับคุณกู่เกินไปเหรอ?”
อีกฝ่ายไม่ตอบ
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึงในที่สุด ซูโย่วอี๋ตั้งใจจะพาซูหยินออกไปซื้อผักตอนเช้า
ทว่าซูหยินขี้เกียจและไม่อยากเคลื่อนตัวไปไหน ส่วนซูโย่วอี๋ก็หมดแรง
“นี่ คุณผู้หญิงคะ ถึงเธอทำอาหารไม่เป็น เธอก็ต้องไปซื้อผักมาทำอาหารส่งท้ายปีด้วยกัน เธออย่ามาทิ้งทุกอย่างให้ฉันคนเดียวสิ”
ซูหยินได้ยินอีกฝ่ายชัดเจนแต่เธอไม่ขยับ ซูโย่วอี๋จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปเอง
แต่โชคดีที่ลู่เฉินจัดเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว “ผมจ้างผู้ช่วยมาสองคน พวกเขาจะมาหาหลังมื้อเที่ยง”
“เยี่ยมมาก ฮ่า ๆ”
อาการคนท้องของซูหยินเริ่มชัดเจนมากขึ้น เธอเซื่องซึมและเหนื่อยง่าย ดังนั้นเธอจึงงีบในตอนเที่ยงอยู่พักหนึ่ง
พอตื่นขึ้น จมูกของเธอก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร
ซุปไก่ข้น เครื่องเทศ…
ซูหยินหวนคืนสู่วัยเด็กของเธอครู่หนึ่ง ตอนนั้นเธอตั้งหน้าตั้งตารอวันปีใหม่ทุกวัน เพราะรู้ว่าจะได้กินอาหารอร่อย ๆ
เธอกับโย่วอี๋มักใส่ชุดที่สวยที่สุดเพื่อต้อนรับปีใหม่
ทันใดนั้นเอง ข้างนอกก็มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้น จากนั้นซูหยินก็ไถลตัวออกจากเตียง
เธอเห็นคนแปลกหน้าอีกสองคนในครัว
“นี่คือ?”
ซูโย่วอี๋กำลังล้างผัก “มาช่วยกันเร็ว ฉันทำคนเดียวไม่ได้”
“เธอหิวไหม? อยากกินอะไรก่อนรึเปล่า?”
ว่ากันว่าคนท้องจะหิวเร็วขึ้นกว่าปกติ
ซูหยินยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์ “โย่วอี๋ ออกมาก่อน ฉันมีอะไรจะบอกเธอ”
ซูโย่วอี๋มองอีกฝ่ายอย่างสงสัย เธอเช็ดมือแล้วเดินออกไป “มีอะไรเหรอ?”
“เมื่ออาหารพร้อมแล้ว ให้พวกคุณป้ากลับบ้านกันไปก่อนนะ”
ปกติป้าแม่บ้านจะต้องกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านของนายจ้าง
แม้ว่าจะไม่ได้เสิร์ฟที่โต๊ะ แต่พวกเธอก็จะกินแบบสบาย ๆ ในครัวหลังทำอาหารเย็นเสร็จ
ซูโย่วอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ “ตกลง”
อย่างมากก็ให้เงินพวกเขามากขึ้นหน่อยแล้วกัน
ซูหยินต้องการช่วยงานในครัว แต่ซูโย่วอี๋กลับผลักเธอให้นั่งลงบนโซฟา “เธอกำลังจะเป็นคุณแม่ ไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ดูทีวีรออาหารเย็นเสร็จก็พอ”
“ว่าแต่ เมื่อไหร่เพื่อนเธอจะมาเหรอ?”
ซูหยินเหลือบมองนาฬิกาแขวนบนผนัง “ใกล้จะถึงแล้ว”
ซูโย่วอี๋รีบกลับไปที่ห้องครัวเพื่อเร่งมือ
ป้าทั้งสองคุยกันขณะทำอาหาร พวกเธอได้ยินที่ซูโย่วอี๋เรียกซูหยินว่าคุณแม่
“คุณผู้หญิงคนนั้นท้องเหรอคะ? ดูไม่ออกเลยนะ”
“กี่เดือนแล้วเหรอคะ?”
ซูโย่วอี๋ตอบ “ประมาณสองเดือนค่ะ”
“มิน่าล่ะ ถึงมองไม่ออก แต่คุณเขาผอมไปนะคะ กินให้มากขึ้นและเสริมโภชนาการสักหน่อยดีกว่า ลูกจะได้เติบโตสมวัย”
ป้าอีกคนหนึ่งพูดขึ้น “ไม่พูดไม่ได้ ตอนลูกสะใภ้ของเพื่อนบ้านฉันท้อง เธอกินอาหารเจ็ดมื้อต่อวัน ไม่นับขนมและผลไม้อื่น ๆ จากนั้นเธอก็ให้กำเนิดเด็กชายตัวอ้วนใหญ่ พวกปู่ย่าตายายมีความสุขกันมาก”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับการมีลูก ตราบใดที่เป็นลูกของหยินหยิน เธอก็รักอย่างไม่มีเงื่อนไข
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
ซูโย่วอี๋รีบออกไปเปิดประตู “พวกคุณ…”
หือ?
“เสี่ยวอี๋” คุณนายฮันยืนอยู่นอกประตู เธอสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง
จากนั้นสมาชิกตระกูลฮันที่เหลือก็ตามมา มีเพียงฮันเอินจีที่ไม่ได้มาด้วย
ซูโย่วอี๋อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้น “ป้าฮัน ลุงฮัน ทำไมถึงมาที่นี่ได้คะ?”
ซูหยินเดินตามหลังเธอออกมา “ฉันขอให้พวกเขามาเอง อาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่าทั้งที เราต้องกินกับครอบครัวสิ”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยคำถามของซูโย่วอี๋มองไปที่ซูหยิน ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาที่เธอ แต่เรียกตระกูลฮันเข้ามา
“เข้ามาก่อนค่ะ โย่วอี๋ ช่วยลุงกับป้าหยิบรองเท้าแตะหน่อย”
“ไม่ต้องหรอก เราทำเองได้”
ฮันเจียงเดินเข้ามาก่อน เขาหารองเท้าใส่ในบ้านสำหรับทุกคนในตู้รองเท้า
ฮันเจ๋อหยางยื่นมือไปทักทายซูโย่วอี๋ “น้องสาว สวัสดีปีใหม่”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าเบา ๆ
หลังจากเข้าไปในห้อง ซูโย่วอี๋ที่กำลังจะเทน้ำก็ถูกคุณนายฮันห้ามไว้ “ปล่อยให้สองคนนี้ทำเถอะ อย่ารบกวนเลย”
ซูโย่วอี๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางถ้วยลง
เธอต้องการเข้าไปช่วยในครัว แต่ก็ถูกคุณนายฮันห้ามไว้อีก “แม่ทำเอง ลูกนั่งดูทีวีกับซูหยินเถอะ”
ซูโย่วอี๋นั่งบนโซฟาด้วยสีหน้างุนงง ในขณะที่ฮันเจ๋อหยางเผยรอยยิ้มร้ายให้เธอ
ต่อมาเขาก็ถูกคุณนายฮันเรียกจากในครัว “ฮันเจียง ฮันเจ๋อหยาง มาช่วยแม่หน่อยสิ”
“ทำตัวเป็นแขกกันจริง ๆ”
ฮันเจียงที่เคยนั่งสงบเสงี่ยมตอนนี้ยืนขึ้นตัวตรง “โย่วอี๋ พ่อจะไปช่วยแม่ เธอก็แบบนี้แหละ ทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่มีพ่อ”
ซูโย่วอี๋อยากจะหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ทำ “ค่ะ”
ฮันเจ๋อหยางไม่พอใจ “แม่ครับ ทำไมไม่เรียกพี่ด้วยล่ะ? เรียกพี่ด้วยสิ”
คุณนายฮันรีบเดินออกมาพร้อมต้นหอมหนึ่งกำมือ “พี่ชายของลูกเหนื่อยมาก ส่วนลูกนอนดึกอยู่ที่บ้านทุกวัน แล้วลูกยังมาอืดอาดตอนถูกขอให้ช่วยทำอะไรสักอย่างอีกเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางยืนขึ้น ส่งเสียงฮึดฮัด “ให้ผมทำจริงเหรอ? บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมทำอาหารไม่เป็น มากสุดผมทำได้แค่ล้างจานเท่านั้น”
คุณนายฮันจ้องเขม็ง “อ้างอะไรเยอะแยะ รีบมาเดี๋ยวนี้”
เมื่อเธอเห็นซูโย่วอี๋ เธอก็สวมบทแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรักพลางแย้มยิ้ม “นั่งเล่นไปก่อนเถอะจ้ะ ถ้าหิวก็บอกแม่นะ แล้วแม่จะไปหาอาหารอร่อย ๆ จากในครัวมาให้”
ซูโย่วอี๋คิดว่าท่าทางที่ดูเหมือนเด็กของอีกฝ่ายนั้นค่อนข้างน่ารัก