Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 325 กลับไปซะ
บทที่ 325 กลับไปซะ
บทที่ 325 กลับไปซะ
“ทำไมเธอถึงบอกฉันล่ะ?”
เด็กน้อยพูดเสียงค่อย “คุณครูบอกว่าจะโกหกหรือหลอกลวงคนอื่นไม่ได้”
“เธอเป็นเด็กดีมาก”
ซูโย่วอี๋และลู่เฉินกลับไปที่ห้องส่วนตัว ที่ตอนนี้มีผู้มาใหม่อยู่ข้างใน
รองผู้อำนวยการแนะนำว่าเขาเป็นผู้นำข้าราชการส่วนท้องถิ่น “ผมขอโทษนะครับ ผมมาช้าเพราะติดงานเลยไม่มีเวลาต้อนรับคุณ”
หลังทานอาหารเย็นเสร็จ ซูโย่วอี๋ก็ขอดูหอพักเด็ก ๆ
รองผู้อำนวยการตกลงทันที “ตกลงครับ เชิญทางนี้”
ที่นี่เป็นบ้านอิฐสามชั้น ห้องเด็กอยู่ชั้นบน และพนักงานอยู่ที่ชั้นหนึ่งโดยมีห้องส่วนตัวของแต่ละคน
เมื่อก้าวขึ้นบันได ความรู้สึกคุ้นเคยก็เพิ่มขึ้น
“ฉันกับหยินหยินอยู่ห้องที่สองบนชั้นสาม”
สภาพที่พักของเด็กไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ เด็กหกคนต้องอัดกันในห้องเดียว
เด็กบางคนพักผ่อนในห้องของตัวเองเพราะไม่ได้ไปโรงเรียน
เมื่อเห็นคนเดินเข้ามาก็มองอย่างอาย ๆ ไม่กล้าพูดจา
หลังจากที่คนกลุ่มนั้นจากไป พวกเขาก็เดินตามหลัง ไม่นานนัก จากเด็กคนเดียวก็กลายเป็นเด็กทั้งกลุ่ม
ผู้อำนวยการพูดตะวาด “มาดูอะไรกัน กลับไปที่ห้องซะ”
เด็ก ๆ วิ่งกระจัดกระจายออกไปเหมือนนกตื่นกลัว
ซูโย่วอี๋ไม่รู้จะทำสีหน้ายังไง “ผู้อำนวยการดุจังเลยนะคะ”
ผู้อำนวยการแค่นเสียงขึ้นจมูก “ที่นี่มีเด็กเยอะมาก ผมเลยต้องจัดการให้อยู่หมัด พวกเขาอยู่ในวัยซุกซน ไม่ดุไม่ได้หรอกครับ”
หลังจากมองไปรอบ ๆ ซูโย่วอี๋ก็เริ่มสัมผัสผ้าห่มของเด็ก ความรู้สึกที่ชัดที่สุดคือบาง ขาด และสกปรก
กอปรกับการฉี่รดที่นอนของพวกเด็ก ๆ ทำให้กลิ่นในห้องไม่น่าอภิรมย์นัก
เพียงแต่ว่าซูโย่วอี๋ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการจงใจให้พวกเธอเห็นหรือเปล่า
รองผู้อำนวยการก็หัวเราะ “คุณซู คุณลู่ ต้องการดูอีกไหมครับ? ถ้าไม่มีแล้วก็ไปที่ห้องประชุมกันเถอะครับ”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไปพูดคุยเรื่องการบริจาค
แต่จู่ ๆ ซูโย่วอี๋เดินไปที่ห้องที่อยู่สุดทางเดิน “ฉันยังไม่ได้ดูห้องนี้เลย”
ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการมองหน้ากันพร้อมทำหน้าแปลก ๆ “นี่เป็นห้องเก็บของครับ ไม่มีอะไรให้ดูหรอก เราไปดูห้องครัวกับห้องน้ำดีกว่า”
ซูโย่วอี๋ลดสายตาลง “ถ้าจะดูว่าเด็ก ๆ ขาดอะไร ฉันคงต้องขอให้ผู้อำนวยการช่วยเปิดประตูด้วยค่ะ”
ผู้อำนวยการคว้ากุญแจแน่น ไม่ขยับเขยื้อน แต่เพราะผู้นำอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่สามารถชักสีหน้าได้
ผู้นำเอ่ยขึ้น “เปิดให้คุณซูและคนอื่น ๆ ดูสิ”
ผู้อำนวยการยอมเปิดประตูโกดังอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเปิดดูทุกคนก็ต้องตกใจ เพราะข้างในห้องเต็มไปด้วยผ้านวมหนาสีขาวใหม่เอี่ยมพับเป็นมัดอย่างเรียบร้อย
ทันใดนั้นใบหน้าของผู้นำข้าราชการก็บิดเบี้ยว “ทำไมไม่ให้เด็ก ๆ ใช้ผ้านวมพวกนี้”
ในฤดูหนาวแบบนี้ อากาศมันหนาวมาก ๆ จนทำให้พวกเด็ก ๆ มือเท้าเย็นได้เลยนะ
ถ้าผู้บังคับบัญชารู้เข้า เขาจะต้องรับผิดชอบอย่างถึงที่สุดแน่นอน
แต่ผู้อำนวยการพูดอย่างมั่นใจว่า “ผู้นำครับ คุณไม่ค่อยได้มาที่นี่ คุณเลยไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ เด็กพวกนี้มักจะฉี่รดที่นอนและไม่ชอบทำความสะอาด ผ้านวมจึงมักสกปรกภายในสองวัน ผมเลยตั้งกฎว่าจะเปลี่ยนมันหลังจากหมดฤดูหนาวครับ”
ซูหยินขมวดคิ้ว “นี่คุณหมายความว่าผู้นำไม่ทำตามหน้าที่ใช่ไหม?”
ผู้อำนวยการสำลัก “ผมไม่ได้พูดอย่างนั้น”
“ก็คุณบอกเองว่าผู้นำไม่เข้าใจสถานการณ์ ผู้นำที่รับผิดชอบไม่รู้สถานการณ์ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในเขตที่ดูแล ตลกอะไรแบบนี้”
“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าพวกเด็ก ๆ ไม่ชอบทำความสะอาด แต่มันเป็นเพราะคุณไม่สนใจพวกเขาต่างหาก เด็กบางคนอายุแค่สองหรือสามขวบ คุณคาดหวังให้พวกเขาอาบน้ำหรือซักผ้านวมเองเหรอไงคะ?”
“คุณกินเงินเดือนของรัฐแท้ ๆ แต่ไม่ทำงาน ไม่มีจิตสำนึกบ้างเหรอ?”
ใบหน้าของผู้อำนวยการแดงก่ำ “ซูหยิน เธอเองก็มาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พูดแบบนั้นก็อกตัญญูเกินไป ถ้าไม่มีพวกเรา เธอจะประสบความสำเร็จอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เหรอหะ?”
ทั้งสองเกือบจะทะเลาะกันแล้ว
แต่ผู้นำส่งเสียงปราม “ผู้อำนวยการ คุณซูเองก็มีเจตนาดี ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็ควรพูดคุยกันดี ๆ นะครับ”
ผู้อำนวยการเอามือไพล่หลัง “พอเด็ก ๆ เริ่มโต อารมณ์ของเขาก็จะรุนแรงขึ้น ให้ผมมาคอยรับใช้พวกเขาไม่ไหวหรอกเขา”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย ขอตัวก่อน”
พูดจบเขาก็เดินจากไป เหลือเพียงแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ
ผู้นำรู้สึกไม่สบายใจ แต่เขาไม่ได้แสดงออก “ช่วยเข้าใจพวกเราด้วยนะครับ”
ซูโย่วอี๋เปิดดูต่อ พบว่ามันมีเสื้อผ้าใหม่ ๆ มากมายที่ถูกบริจาค “เด็ก ๆ กำลังหนาวกัน แต่เสื้อผ้าและเครื่องนอนที่พวกเขาใข้มันดูไม่เหมาะสมเลยนะคะ”
“นี่เป็นเพราะการละเลยหน้าที่ของผู้นำอย่างคุณด้วยหรือเปล่าคะ?”
จู่ ๆ ผู้นำก็ตื่นตระหนก “คุณซู นี่…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูโย่วอี๋ก็ยกยิ้ม “แต่คุณคงยุ่งกับงาน เลยไม่มีเวลามาดูแลเรื่องแบบนี้ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีผู้อำนวยการที่ซื่อสัตย์และไว้ใจได้ใช่ไหมคะ?”
“ผู้อำนวยการเซินก็แก่แล้ว คงจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ไม่ไหว ดังนั้นรัฐบาลควรเอาใจใส่มากกว่านี้นะคะ”
ผู้นำเข้าใจสิ่งที่ซูโย่วอี๋พูด ถึงเวลาเปลี่ยนผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วสินะ
“เราจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ขอให้ผู้นำให้คำตอบในตอนนี้ “เรียกเด็ก ๆ ไปที่โรงอาหารเถอะค่ะ เราจะแจกของให้ทุกคน”
รองผู้อำนวยการเดินไปจัดระเบียบเด็ก ๆ ทันที
ซูโย่วอี๋หันไปมองอีกด้านและเห็นว่าซูหยินหน้าซีดลงเล็กน้อย เธอจึงกังวล “หยินหยิน เธอเหนื่อยหรือเปล่า?”
ซูหยินเม้มริมฝีปาก “ไม่เป็นไร”
ซูโย่วอี๋ไม่กล้าปล่อยให้ซูหยินเหนื่อย ดังนั้นเมื่อมาถึงโรงอาหาร เธอจึงให้อีกฝ่ายนั่งลงพักผ่อน “ลู่เฉินกับฉันจัดการเรื่องนี้เองได้”
“แต่ถ้าเธออยู่เฉย ๆ ไม่ได้จริง ๆ ก็ช่วยดูภาพรวมแล้วกัน”
เด็ก ๆ เข้ามาทีละคน พวกเขาต่างมองดูกองกระเป๋านักเรียนและของเล่นบนโต๊ะอย่างตื่นเต้น
รองผู้อำนวยการปรบมือ “ทุกคนเข้าแถวขึ้นไปรับของทีละคน แล้วจำได้ใช่ไหมว่าต้องพูดอะไรกันตอนรับของ?”
“ขอบคุณค่ะ/ครับ”
รองผู้อำนวยการยิ้ม “ถูกต้อง พวกเธอต้องกล่าวขอบคุณพวกคุณซูและคุณลู่”
ซูโย่วอี๋กวักมือเรียกเด็กผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าสุด “มานี่เร็ว”
เธอหยิบกระเป๋านักเรียนสีชมพูและของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ให้เด็กหญิง ซึ่งเด็กหญิงตัวน้อยก็กอดพวกมันด้วยมือทั้งสองข้าง “ขอบคุณค่ะ คุณป้า”
หลังแจกคนแรกเสร็จ คนข้างหลังก็ตามมา ไม่ช้าเด็กกำพร้าทั้ง 43 คนในบ้านก็ได้รับของขวัญครบ และในขณะที่อวดของขวัญที่ได้รับมานั้น พวกเขาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าคนอื่นได้รับอะไรกันบ้าง
ส่วนผ้าห่ม ซูโย่วอี๋ขอให้คนขับรถและพนักงานในบ้านเปลี่ยนให้ทันทีและเอาอันที่พัง ๆ โยนทิ้งไปทั้งหมด
ตอนนี้ผู้อำนวยการซ่อนตัวอยู่ในห้องพัก เฝ้าดูการสถานการณ์นอกหน้าต่างอย่างคับข้องใจ ผ้าห่มที่ซูโย่วอี๋และคนอื่น ๆ นำมาให้นั้นมีคุณภาพดีมาก แค่มองดูพวกมันก็อุ่นแล้ว
แต่จริง ๆ แค่เอาผ้านวมจากโกดังออกมาก็พอ
สิ้นเปลืองจริง ๆ
ผู้อำนวยการวางแผนที่จะเปลี่ยนผ้านวมของพวกซูโย่วอี๋ด้วยผ้าห่มในโกดังหลังพวกเขากลับไป แน่นอนว่าเขาต้องเก็บผ้านวมที่ดีที่สุดไว้ให้ตัวเอง แต่บังเอิญว่าหลานของเขาอยู่ที่บ้าน หากมีเวลาเขาจะเอาเตียงสองหลังให้พวกเธอด้วย
ผู้นำเดินเข้าไปหาซูโย่วอี๋ “คุณซู ผมได้ยินจากผู้อำนวยการว่าคุณต้องการบริจาคเงินให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใช่ไหมครับ?”
ตอนที่คุยโทรศัพท์ ซูโย่วอี๋พูดว่าจะบริจาค ส่วนบริจาคเท่าไรอะไรอย่างไรนั้นยังไม่ชัดเจน
รอยยิ้มของซูโย่วอี๋จางลง “ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉันกับหยินหยินต้องการบริจาคเงิน เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่เราเติบโตขึ้นมา เราควรตอบแทน”
“ก็แค่…”
ผู้นำเงยหน้าขึ้นมอง “ถ้าคุณซูมีเรื่องกังวลใจอะไร บอกผมได้นะครับ”
“ผู้อำนวยการ…” ซูโย่วอี๋อายเล็กน้อย “คุณคงได้เห็นสถานการณ์ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อครู่นี้แล้ว การกระทำของผู้อำนวยการทำให้ผู้คนไม่สบายใจ และยากที่จะบอกว่าเงินที่บริจาคไปจะเป็นประโยชน์ต่อเด็ก ๆ จริง ๆ”
“และเราก็ตั้งใจจะบริจาคเงินจำนวนไม่น้อยด้วย”
ผู้นำชะงัก “คุณจะบริจาคเท่าไหร่ครับ?”
“หยินหยินกับฉันจะบริจาคคนละ 500,000 หยวนค่ะ”
รวมกันเป็น 1,000,000 หยวน
รองผู้อำนวยการแทบจะกัดลิ้น ตลอดหลายปีมีคนบริจาคให้ที่นี่มากมาย แต่ส่วนใหญ่บริจาคเพียงหลักหมื่น และไม่มีใครเคยบริจาคให้เกินสองแสน ซึ่งพวกเขาพึ่งพาการจัดสรรทางการเงินเป็นหลัก
คุณซูทั้งสองคนนี้บริจาคถึงครึ่งล้านหยวน นี่เป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
ระหว่างการสนทนา ผู้นำยังคงให้ความสนใจกับปัญหาที่ซูโยว่อี๋กังวล “ผมจะรายงานข้อเสนอแนะของคุณซูไปยังผู้บังคับบัญชา หวังว่าเราจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจสำหรับทั้งสองฝ่าย”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรอข่าวดีจากคุณค่ะ”
จริง ๆ เธอวางแผนโอนเงินเข้าบัญชีของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในวันนี้ แต่ดูท่าว่า… คงต้องรออีกสักสองวัน
หลังจากคุยเสร็จแล้ว ซูโย่วอี๋กำลังจะกลับ แต่เห็นว่าซูหยินถูกรายล้อมไปด้วยเด็ก ๆ และกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ภาพซูหยินตอนอุ้มลูกปรากฏขึ้นในใจของเธอพร้อม ๆ กับรอยยิ้ม
“หยินหยิน ไปกันเถอะ”
ผู้นำและรองผู้อำนวยการมาส่งพวกเธอ เด็ก ๆ เองก็มารวมตัวกันที่ประตูเพื่อส่งพวกเธอเช่นกัน
ตอนนี้ซูหยินเหนื่อยมากจนหลับไปหลังจากขึ้นรถได้ไม่นาน
ลู่เฉินมองไปยังที่นั่งข้างคนขับ “คุณเหนื่อยไหม? อยากนอนพักสักงีบหรือเปล่า?”
“ฉันไม่นอน ฉันจะคุยกับคุณ คุณจะได้ไม่เบื่อไง”
ลู่เฉินวางบนพวงมาลัยอย่างผ่อนคลาย “คุณต้องการบังคับให้พวกเขาเปลี่ยนผู้อำนวยการเหรอ?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “ปีนี้ผู้อำนวยการอายุเกือบห้าสิบแล้ว เขาจะเกษียณภายในอีกไม่กี่ปีเท่านั้น แต่ถ้าเขาทำงานต่อไปอีกหนึ่งปี เด็ก ๆ ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี”
ลู่เฉินแนะนำ “ถ้าคุณอยากทำอะไรกับผู้อำนวยการ คุณพูดคุยกับรองผู้อำนวยการได้”
รองผู้อำนวยการอายุสี่สิบ มีคุณสมบัติครบถ้วนและคุ้นเคยกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านี้ดี หากตำแหน่งผู้อำนวยการว่าง เขาน่าจะมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง
จากสถานการณ์ในตอนนี้ คน ๆ นี้สื่อสารกับเด็ก ๆ และทำสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องมากกว่า
ซูโย่วอี๋หันไปมองเขา “คุณคิดว่าเขาดีเหรอคะ?”
“พอไหว”
“เขาอาจมีประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญ”
สิ่งที่ลู่เฉินพูดย่อมมีเหตุผล แม้ว่าซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจความหมายของ ‘ช่วงเวลาสำคัญ’ เธอก็ยังคงเก็บคำพูดเขาไว้ในใจ
ฟ้าเริ่มมืดขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดพวกเธอก็กลับถึงปักกิ่ง
พวกเธอไปส่งซูหยินที่เทียนฮวาก่อน
เมื่อลงจากรถ อารมณ์ของซูหยินดูดิ่งลงกว่าเดิม เธอเองก็อธิบายไม่ถูก แต่มันดูแย่กว่าใบหน้าไร้อารมณ์ก่อนหน้านี้
ซูโย่วอี๋มองไปที่ด้านหลัง ก่อนจะเริ่มปรึกษาสิ่งที่ตนคิด “ลู่เฉิน คุณรู้สึกว่าหยินหยินเงียบขึ้นกว่าเดิมเรื่อย ๆ หรือเปล่าคะ?”
“เธอเคยพูดเรื่องในระหว่างที่เธอถูกขังไว้หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ”
ลู่เฉินจับมือของซูโย่วอี๋ “อาจมีเรื่องอื่นที่เราไม่รู้ มันยากที่เธอจะกลับมาเป็นปกติในเวลาสั้น ๆ นะ”
“ให้แม่บ้านเอาใจใส่เธอให้มากกว่านี้คงดีที่สุด”
เมื่อซูหยินกลับมาถึงบ้าน เธอก็พบว่ากู่อวี๋เฉิงกำลังส่งอาหารเสริมให้แม่บ้านเด็ก
ซูหยินเดินไป “ป้าหลิน คุณกล้ารับของจากคนที่คุณไม่รู้จักด้วยเหรอคะ?”
แม่บ้านตกใจและพยายามอธิบาย “ฉันถามคุณซูโย่วอี๋แล้ว เธอบอกว่ารับของจากคุณผู้ชายนี้ได้ค่ะ”
“ของบำรุงก่อนหน้านี้ที่คุณกินก็ใช่ค่ะ”
กู่อวี๋เฉิงยืนอยู่ข้าง ๆ จ้องมองไปที่ซูหยินอย่างว่างเปล่า นับตั้งแต่ซูหยินฟื้นความทรงจำ เขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเธอใกล้ขนาดนี้เลย
“ซูหยิน…”
ซูหยินเปิดประตู “กลับไปซะ”