Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 339 ถ้าไม่ใช่เพราะชอบ
บทที่ 339 ถ้าไม่ใช่เพราะชอบ
บทที่ 339 ถ้าไม่ใช่เพราะชอบ
ฮันเจ๋อหยางดูไม่กังวลเสียเลย “พี่มั่นใจ ต่อให้ใช้เวลานานแค่ไหนก็เถอะ เสิ่นเฉียวจะต้องชอบพี่แน่นอน”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี ถ้าจะคบกันจริงก็คงจะคบกันไปตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องรอมาถึงตอนนี้หรอก
ไม่มีทางปลุกคนที่หลับฝันได้จริง ๆ
เพียงแต่เวลาไม่ได้รอให้เธอคิดเรื่องของคนอื่นเสียก่อน ไฟก็เริ่มลามเข้ามาในบ้านของตัวเองเสียแล้ว
ลู่เฉินมีรักครั้งใหม่
ในอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยรูปภาพของลู่เฉินและแฟนสาวในข่าวลือ ทันทีที่ซูโย่วอี๋เห็นข่าว เธอก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องและเปิดอ่านรายงานข่าวซ้ำไปซ้ำมา
ฝ่ายหญิงคือคนที่เป็นนักแสดงแทนของซูโย่วอี๋ในเรื่องรักในฝันที่ชื่อว่าจินหลิง
รายงานที่ลงรายละเอียดมากที่สุดคือนิตยสารเฟิงหยุนที่อยู่ภายใต้ฮันกรุ๊ป หัวหน้าบรรณาธิการอย่างเจี่ยงต้าเว่ยนั้นเก่งมากที่สามารถขุดคุ้ยข้อมูลพวกนี้ออกมาได้ แต่มันดูไม่ค่อยจะเหมาะสมเสียเท่าไหร่
ครั้งหนึ่งที่เรื่องการหย่าร้างของซูโย่วอี๋นั้นถูกพูดถึงขึ้นมา ก็เป็นเขานี้แหละที่พูดวิจารณ์ซูโย่วอี๋ในงานแถลงข่าว
ข้อสรุปที่ได้จากสำนักพิมพ์นิตยสารเฟิงหยุนก็คือ ความเป็นไปได้ในรักครั้งใหม่ของลู่เฉินกับแฟนสาวคนนี้นั้นสูงถึง 80%
ซูโย่วอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมายังชั้นล่างด้วยสภาพไร้วิญญาณ คุณนายฮันที่เห็นเธอจึงพูดขึ้น “เสี่ยวอี๋ จะออกไปข้างนอกเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ ออกไปเดินเล่นน่ะ”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ให้คนขับรถไปส่ง แต่กลับขับรถไปยังสำนักพิมพ์นิตยสารเฟิงหยุนด้วยตัวเอง
พนักงานต้อนรับสาวที่เห็นเธอเดินเข้ามาก็ถามอย่างสุภาพว่ามาหาใคร
ซูโย่วอี๋ถอดแว่นกันแดดออก “ฉันมาหาเจี่ยงต้าเว่ย”
พนักงานฝ่ายต้อนรับมองไปที่ใบหน้าอันงดงามก็รู้ทันที่ว่าเธอคือผู้บริหารของบริษัทตัวเอง จึงรีบเชิญเธอไปยังห้องด้านในสุดด้วยความเคารพ
“คุณหนูฮัน คุณกลับมาจากต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”
“สองวันก่อน”
“คุณกลับมาเตรียมงานเหรอคะ?” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
แต่ซูโย่วอี๋ไม่ได้ต้องการคุยกับเธอต่อ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเธออารมณ์ไม่ดีอย่างมาก “คุณกำลังทำตัวเป็นนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ฉันงั้นเหรอ?”
หญิงสาวนิ่งไป “ไม่ใช่นะคะ”
“… ขอโทษค่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกปราบปลื้มเป็นอย่างมาก “ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอเคาะประตูเบา ๆ สองครั้ง “บรรณาธิการเจี่ยงคะ คุณหนูฮันมาแล้วค่ะ”
“เชิญเข้ามาได้”
เจี่ยงต้าเว่ยลุกขึ้นยืน ยกยิ้มอย่างอบอุ่น “คุณหนูฮัน ไม่รู้ว่าคุณจะมา ผมเลยไม่ได้ไปรับคุณเลย ขอโทษนะครับ”
ซูโย่วอี๋นั่งลงบนโซฟาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บรรณาธิการเจี่ยง นี่ก็สี่ปีแล้วนะคะ ความสามารถของคุณในการปั้นน้ำเป็นตัวนับวันยิ่งเก่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยจริง ๆ”
บรรณาธิการเจี่ยงรู้สึกตกใจ ดูท่าผู้มาเยี่ยมจะไม่ได้มาดีเสียแล้ว
ช่วงนี้เรื่องที่วุ่นวายและเรื่องใหญ่มากที่สุดก็มีเพียงเรื่องความรักของลู่เฉิน หรือที่เธอมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้?
“คุณหนูฮัน ได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากไหนกันครับ?”
ซูโย่วอี๋เปิดโทรศัพท์ “บรรณาธิการเจี่ยง ไม่รู้ว่าความเป็นไปได้ 80% นี้คุณไปเอามันมาจากไหน? หรือว่าคุณไม่รู้ว่าประโยคพวกนี้มันทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด?”
“คุณหนูฮัน คุณประเมินความสามารถนิตยสารของพวกเราต่ำเกินไปแล้วนะครับ ถ้าไม่มีหลักฐาน พวกเราจะกล้าพูดแบบนั้นได้ยังไง?”
น้ำเสียงของเจี่ยงต้าเว่ยหนักแน่นมาก หนักแน่นเสียจนหัวใจของซูโย่วอี๋หนักอึ้ง
“ไหนลองเล่ามาสิ ตั้งแต่ต้นจนจบแบบละเอียด ห้ามขาดตอนไหนไปเลย”
เจี่ยงต้าเว่ยมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ เขารู้สึกว่าสิ่งที่ซูโย่วอี๋สนใจไม่ใช่เรื่องมั่วซั่วที่ถูกแต่งขึ้น แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“รอบตัวของผู้ชายอย่างประธานลู่รายล้อมไปด้วยผู้หญิงโลภมาก แต่เหมือนว่าคนที่สามารถเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เขาได้นั้นไม่มีเลย”
“ผมพบความผิดปกติครั้งแรกคือเมื่อหนึ่งปีก่อน ผมไปที่คลับเจวี๋ยเซ่อเพื่อปรึกษาเรื่องธุรกิจ ผมได้ยินประธานลู่คุยกับผู้หญิงคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เขาบอกว่าไม่อยากให้เธอทำงานในคลับอีกแล้ว”
“น้ำเสียงของทั้งสองไม่ได้ถือว่าสนิทสนมกัน แต่เขาเป็นถึงประธานลู่ ทำไมจะต้องไปสนใจผู้หญิงที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันด้วย?”
เจี่ยงต้าเว่ยกำลังหวนนึกถึงความทรงจำครั้งนั้น “หลังจากนั้นผมก็ไปคลับเจวี๋ยเซ่อนั้นอีก แต่กลับไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว คิดไปคิดมาเธอน่าจะทำตามที่ประธานลู่บอกจึงได้ลาออกไปแล้ว”
ท่าทางไร้เดียงสา จิตใจดี และเขินอายของจินหลิงปรากฏขึ้นในความคิดของซูโย่วอี๋
ไม่ต้องพูดคุยอะไรมากก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดา
เจี่ยงต้าเว่ยพูดต่อ “หลังจากนั้นจินหลิงก็เข้าไปในบริษัทเทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ และได้เป็นนักแสดง ลู่เฉินกลับไม่ได้ให้ข้อยกเว้นกับเธอมากจนเกินไป แต่หลังจากนั้นก็ไม่เหมือนเดิม”
“ครั้งหนึ่งเคยเกิดเรื่องขึ้นในวงใน จะพูดไปก็เกี่ยวข้องกับคุณอยู่นิดหน่อย”
“ตั้งแต่เปิดตัวจินหลิง ก็มีแต่คนเรียกเธอว่าซูโย่วอี๋น้อย จะบังเอิญหรือไม่ในนั้นก็มีนักลงทุนที่เป็นแฟนคลับของคุณอยู่ด้วย แต่จากฐานะของคุณ เขาจะปีนขึ้นไปถึงได้ยังไงกัน เขาจึงได้ให้ความสนใจไปยังจินหลิงแทน”
“นักลงทุนคนนั้นได้ติดต่อจิงหลินให้ไปดื่มด้วย จิงหลินเองก็ไม่มีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาก่อน เธอจึงตกใจจนร้องไห้ออกมา”
ท่าทางของซูโย่วอี๋ดูไม่แยแส “ลู่เฉินก็เลยเป็นฮีโร่ที่เข้าไปช่วยเหรอ?”
“ยังไงก็ถือว่าจิงหลินเองก็ได้รับความเดือดร้อน แต่ยังดีที่ลู่เฉินมาพาเธอออกไป พอกลับไปที่บริษัท เขาก็ไล่หุ้นส่วนคนนั้นออกทันที”
มือสองข้างที่วางอยู่บนเข่าของซูโย่วอี๋ค่อย ๆ กำแน่นขึ้น จากที่เธอรู้จักกับลู่เฉินมา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชอบ เขาจะทำเรื่องแบบนี้ไปทำไมกัน?
เธอลุกขึ้นยืน “โอเคค่ะ บรรณาธิการเจี่ยง ฉันไม่รบกวนคุณทำงานแล้ว ไม่ต้องไปส่งนะคะ”
คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เจี่ยงต้าเว่ยไม่เข้าใจความคิดของคุณหนูคนนี้เลย “คุณหนูฮัน งั้นจะให้ลบรายงานข่าวนี้ไหมครับ?”
แม้ว่าข่าวนี้จะโด่งดังมากและเป็นที่พูดถึงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังคงต้องคำนึงถึงความคิดของพวกผู้บริหารด้วย
ผ่านไปสักพัก ซูโย่วอี๋จึงพูดขึ้น “ไม่ต้อง ในเมื่อมันไม่ใช่การปั้นน้ำเป็นตัว งั้นก็ปล่อยไป”
หากพวกเขาไม่เผยแพร่ คนอื่น ๆ ก็ต้องเผยแพร่อยู่ดี ไม่สู้ให้ตัวเองได้เงินจะดีกว่า
เจี่ยงต้าเว่ยเข้าใจว่าซูโย่วอี๋หายโกรธแล้ว จึงถือว่าเรื่องนี้ได้ผ่านไปได้ด้วยดี
เขายิ้มและส่งซูโย่วอี๋ออกไป รอจนรถของเธอละสายตาจึงค่อยกลับมายังสำนักงาน
เหล่านักข่าวเข้ามาล้อมตัวเขาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “บรรณาธิการเจี่ยง คุณหนูฮันมาทำอะไรที่บริษัทนิตยสารของพวกเราเหรอ?”
“อารมณ์ของเธอดูไม่ค่อยดีเลย”
“ดูจากการเดินก็ดูอารมณ์เสียอยู่นะ”
“หึ ๆ แต่ก็สวยจริง ๆ นั่นแหละ ว่ากันว่ากาลเวลาเอาชนะความงามไม่ได้ ถ้าเทียบกับหลายปีก่อนที่ผ่านมา เธอดูไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด อีกทั้งยิ่งสวยกว่าเดิมอีก”
“นี่ คุณว่าคุณหนูฮันคงจะไม่ได้มาเทคโอเวอร์บริษัทนิตยสารของพวกเราใช่ไหม”
เมื่อก่อนที่ฮันเอินจีเป็นทายาทของตระกูลฮัน นิตยสารเฟิงหยุนก็อยู่ภายใต้ชื่อของเธอ
แต่ตอนนี้ลูกสาวแท้ ๆ กลับมาแล้ว นิตยสารนี้ก็คงจะได้รับการดูแลโดยผู้มาใหม่
มุมปากของเจี่ยงต้าเว่ยเม้มเข้าหากันแน่น ไม่พูดอะไร “พวกนายว่างกันมากนักเหรอ?“
“คุณหนูฮันก็แค่มาดู พวกนายอย่าเพ้อเจ้อให้มาก”
นักข่าวที่สนิทกันพูดติดตลก “ถ้าเธอมาเป็นพวกเดียวกันกับพวกเราก็ดีนะ ใช่ว่าความเพ้อเจ้อจะไม่มีทางเป็นจริงได้สักหน่อย”
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ซูโย่วอี๋ที่กำลังขับรถกลับบ้าน เห็นไฟสีแดงตรงสี่แยกสว่างวาบขึ้น
เธอหยุดรถลงอย่างนิ่มนวลตรงท้ายรถของรถคันหน้า ในดวงตาดูมึนงงเล็กน้อย
จะช้าหรือเร็ว ข้างกายลู่เฉินก็จะต้องมีผู้หญิงสักคนอยู่ดี เธอเข้าใจในความจริงข้อนี้ดี
แต่พอมาได้ยินจริง ๆ กลับรู้สึกทรมานมาก
เธอหลับตาลงและพยายามบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงภาพของลู่เฉินกับจินหลิงตอนที่คบกัน
ถ้ายังคิดต่อไป เธอจะต้องเป็นบ้าแน่ ๆ
เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น ซูโย่วอี๋ชำเลืองมองก็เห็นว่าฮันเจ๋อหยางโทรมา
เธอไม่ได้รับสาย
ผ่านไปสักพัก เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ซูโย่วอี๋จึงรับพร้อมด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี “ฮันเจ๋อหยาง ทางที่ดีพี่พูดแค่เรื่องสำคัญมาก็พอ”
“[อะไรกัน? เธอถูกทิ้งมาหรือไง? อารมณ์ไม่ดีขนาดนั้นเลย?]”
ซูโย่วอี๋หันไปสนใจรถที่กำลังเข้ามา “พูดธุระสำคัญมา ถ้าไม่พูดฉันจะวางแล้วนะ”
“[อย่านะ ไม่ใช่ว่าพี่กับเสิ่นเฉียวจะแต่งงานกันหรือไง? เธอยังไม่เคยเจอว่าที่พี่สะใภ้เลย? คืนนี้เรานัดกันไว้แล้วว่าจะแนะนำให้พวกเธอรู้จักกันสักหน่อย]”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้รับปากในทันที “เชิญใครมาบ้างเหรอ?”
“ก็คนกันเองทั้งนั้น ซูหยินก็ไปนะ ถ้าเธอรู้สึกไม่สนุกแค่มาเล่น ๆ แล้วกลับก็ได้ แต่ถ้าเธอจะไม่ไว้หน้าพี่ชายตัวเอง ก็ควรจะไว้หน้าพี่สะใภ้หน่อยนะ”
ซูโย่วอี๋อยากถามว่าลู่เฉินไปด้วยหรือเปล่า แต่เธอจะถามในฐานะอะไรได้ล่ะ?
“ที่ไหน”
“[คลับเจวี๋ยเซ่อ ห้องส่วนตัวเลข 001 ตอนทุ่มนึง]”
ซูโย่วอี๋มองดูเวลา ตอนนี้ก็หกโมงครึ่งแล้ว…
เธอจึงรีบกลับรถและขับไปยังคลับแห่งนั้น
แต่ดันตรงกับช่วงเวลาเลิกงานพอดี ถนนกวางหนานที่ซูโย่วอี๋อยู่ตอนนี้เป็นถนนใหญ่ที่รถติดมากที่สุด ต่อให้รีบไปก็น่าจะไปสายอยู่ดี
เมื่อก้าวเข้าสู่คลับเจวี๋ยเซ่อ เสี่ยวเหล่าซานก็เข้ามาต้อนรับ “คุณหนูฮัน ผมมารออยู่ตั้งนานแล้ว”
“กลัวว่าคุณจะหาไม่เจอ ประธานลู่เลยตั้งใจสั่งให้ผมมารอคุณอยู่ตรงนี้น่ะครับ เชิญตามผมมาทางนี้ได้เลยครับ”
“เขารู้เหรอคะว่าฉันจะมา?”
“ตอนที่นายน้อยฮันโทรศัพท์ไป ประธานลู่ได้ยินพอดีครับ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า ทั้งที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังถาม “เขาอยู่ข้างในเหรอคะ?”
สายตาของเสี่ยวเหล่าซานกลอกไปมา “คุณหนูฮันหมายถึงคนไหนครับ?”
ซูโย่วอี๋เอาแต่ยิ้มเพื่อหลีกเลี่ยงการตอบ “รบกวนคุณแล้วนะคะ”
ห้อง 001 เป็นห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดในคลับเจวี๋ยเซ่อ การตกแต่งแสนหรูหรา เสี่ยวเหล่าซานผลักประตูเข้าไป เสียงร้องเพลงก็ดังขึ้น พร้อมกับแสงไปที่สาดส่องไปมา
ในตอนแรกเธอมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร
“คุณหนูฮัน ผมมีธุระ ไม่เข้าไปส่งคุณนะครับ”
ซูโย่วอี๋เดินเข้าไปด้วยความงุนงง ซูหยินเห็นเธอเป็นคนแรก จึงลุกขึ้นและโบกมือให้ “ที่รัก ทางนี้ ๆ”
ข้าง ๆ ของซูหยินคือกู่อวี๋เฉิง ส่วนข้าง ๆ ของกู่อวี๋เฉิงคือ… ลู่เฉิน
เธอเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ซูหยินโดยไม่ได้เหลียวมองเขาเลย
ซูหยินหยิบไวน์มาเทให้เธอแก้วนึง “เล่นลูกเต๋ากันไหม? ฟังพวกเขาร้องเพลงน่าเบื่อจะตาย”
ซูโย่วอี๋ส่ายหน้า “ฉันไม่อยากเล่นน่ะ”
หลาย ๆ คนเอาแต่นั่งฟังเพลง ฮันเจ๋อหยางที่ร้องเพลงจบจึงพบว่าซูโย่วอี๋มาแล้ว จึงหยุดเพลงและเปิดไฟ
ห้องสว่างขึ้นทันตา
มีคนหัวเราะ “ฮันเจ๋อหยาง นายจะถักชุดขนสัตว์เหรอ เปิดไฟสว่างขนาดนี้”
“นี่ วันนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามพูดอะไรไม่ดี ช่วยทำตัวสุภาพกับฉันด้วย”
“โอเค ๆ วันนี้นายใหญ่ พูดอะไรก็ตามนั้นเลย”
ฮันเจ๋อหยางหยิบไมโครโฟนและยืนอยู่ตรงกลาง “ที่เชิญทุกคนมารวมตัวกัน ก็ไม่มีอะไรมากเลย”
เพื่อน ๆ พากันหัวเราะออกมา “จะไม่แนะนำว่าที่ภรรยาของนายหน่อยเหรอ?”
ฮันเจ๋อหยางถ่มน้ำลายใส่เขา “เสิ่นเฉียวกับพวกนายก็รู้จักกันอยู่แล้ว คงไม่ต้องให้ฉันแนะนำหรอก นี่ซูโย่วอี๋ น้องสาวของฉัน พวกนายคงยังไม่เคยเจอกันสินะ”
สายตาของทุกคนในห้องส่วนตัวมองไปยังซูโย่วอี๋
ซูโย่วอี๋พูดอะไรไม่ถูก
นี่มันไร้สาระจริง ๆ
เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาและดื่มทักทายให้กับทุกคน
ถือว่าเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว
ฮันเจ๋อหยางถามต่ออย่างเอาเป็นเอาตาย “น้องสาว เธอร้องเพลงเพราะมากไม่ใช่เหรอ? อยากร้องสักเพลงไหม?”
น้องสาวบ้าบออะไร!
สายตาของซูโย่วอี๋ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไป ฮันเจ๋อหยางเองก็รู้ได้ทันทีว่าเธอไม่อยากร้องเพลง
พอไฟดับลง เขาจึงดึงเพื่อน 2-3 คนให้ไปร้องเพลงต่อ
ซูโย่วอี๋มองไปรอบ ๆ และพบว่าเสิ่นเฉียวนั่งอยู่ตรงมุมห้องโดยไม่มีใครนั่งด้วย
อีกฝ่ายหยิบบุหรี่ออกมาจากโต๊ะน้ำชา เปลวไฟสีน้ำเงินทำให้เกิดควันออกมา
ใบหน้าของเสิ่นเฉียวอยู่ในกลุ่มควัน มันดูเข้ากับใบหน้าโค้งมนและเย็นชาของเธอ จนรู้สึกได้ถึงความเหงาและความเศร้า
ซูโย่วอี๋ตกตะลึง เสิ่นเฉียวหัดสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เธอเดินเข้าไปและนั่งลงข้าง ๆ ของเสิ่นเฉียว
เสิ่นเฉียวเห็นอย่างนั้นก็ขมวดคิ้ว นิ้วเรียวยาวคีบบุหรี่ไปไว้อีกข้างหนึ่ง “คุณหนูฮัน ออกไปไกล ๆ หน่อยค่ะ เดี๋ยวจะสำลักควันนะ”
ซูโย่วอี๋ไม่สนใจ “ฉันขอสูบสักมวนได้ไหมคะ?”