Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 348 เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะกลัวอะไร
บทที่ 348 เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะกลัวอะไร?
บทที่ 348 เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะกลัวอะไร?
ผู้เฒ่าไป๋จับมือของฮันเจ๋อเหยียนมาวางลงบนมือของไป๋เสิ่นเฉียว “เป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็เท่ากับว่าพวกเธอสองคนจะอยู่ด้วยกันชั่วชีวิต เจ๋อเหยียน เธอเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ฉันฝากเฉียวเฉียวไว้กับเธอแล้วนะ”
“เฉียวเฉียวดื้อรั้น เมื่อเธอตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง ต่อให้มีวัวสิบตัวมาฉุดก็ไม่อยู่ ถ้าเธอชอบทำอาหาร เธอก็จะวิ่งไปเป็นเชฟ ถ้าเธอชอบเที่ยวเล่น เธอก็จะวิ่งไปรอบโลก ไม่ต้องเอาอกเอาใจเธอนักหรอก แค่ดูแลเธอก็พอ”
ฮันเจ๋อเหยียนก้มหัวลงฟังอย่างตั้งใจ รอให้ชายชราพูดจบอย่างเงียบ ๆ “แต่การที่ผู้หญิงมีนิสัยแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ”
มีสิ่งที่ตนรัก
ผู้เฒ่าไป๋มองทั้งสองคนอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ ฉันจะไปแล้ว”
เสิ่นเฉียวติดตามครอบครัวฮันกลับไปที่บ้านของตระกูลฮัน
เดิมทีฮันเจ๋อหยางเตรียมบ้านใหม่ไว้ให้เธอแล้ว แต่ทางฮันเจ๋อเหยียนคู่รักใหม่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่จะย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น
และเสิ่นเฉียวเองก็ไม่ต้องการอยู่กับฮันเจ๋อเหยียนตามลำพัง ถ้ากลับมาที่บ้านตระกูลฮัน เธอจะได้ไม่ต้องอึดอัด
เพียงไม่นาน ไป๋เสิ่นเฉียวก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เด็กชายดอกไม้ตัวน้อยแสนเท่เดินตามเธอกลับไปที่บ้านตระกูลฮัน ทั้งยังเรียกซูโย่วอี๋ว่าแม่อีก
“เธอแต่งงานแล้วเหรอ?” ไป๋เสิ่นเฉียวค่อนข้างประหลาดใจ
“ไม่”
“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ?”
“ลูกฉันเอง”
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ปิดบังเสิ่นเฉียวและบอกเธอแบบเดียวกับที่เคยบอกกับครอบครัว
ไป๋เสิ่นเฉียวรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ฉันคิดว่าเธอไม่ควรถูกผูกมัดด้วยการแต่งงานเลยนะ”
“ทำไมพูดงั้นล่ะ?”
ไป๋เสิ่นเฉียวยักไหล่ “ฉันแค่พูด”
จากนั้นจิวจิวดึงซุ่ยซุ่ยมาทักทาย “ป้าสะใภ้คะ หนูชื่อจิวจิว ส่วนชื่อจริงหนูคือกู่ไน่เซิง หนูจะเป็นหลานสาวที่น่ารักของคุณป้า”
“ส่วนนี่คือซุ่ยซุ่ย หลานชายตัวเหม็นของคุณป้าค่ะ”
ซุ่ยซุ่ยเม้มริมฝีปาก “ป้าสะใภ้ ผมชื่อฮันเจียมู่ครับ”
ไป๋เสิ่นเฉียวย่อตัวลงอุ้มทั้งสองไว้คนละข้าง “นางฟ้าตัวน้อยชอบกินอะไรคะ? ป้าสะใภ้หนูทำอาหารเก่งมากเลยนะ เดี๋ยวคืนนี้ป้าสะใภ้ของหนูจะทำอาหารให้กินเอง”
จิวจิวนับนิ้วทันที “ปลาหมึก เป็ดผัดขิง กั้งออสเตรเลีย…”
นับแล้วนับอีก จิวจิวหน้าแดงขึ้นอย่างเขินอาย “หนูสั่งเยอะไปหรือเปล่าคะ? แต่หนูต้องเก็บอาหารสองจานไว้ให้ซุ่ยซุ่ยด้วย”
เสิ่นเฉียวเกาจมูกของเธอ “ได้อยู่จ้ะ แต่ป้าสะใภ้ของหนูคงทำคนเดียวไม่ได้”
“งั้นให้ลุงใหญ่ช่วยสิคะ”
ส่วนฮันเจ๋อเหยียนวางแผนที่จะไปที่โรงแรมเพื่อจัดการเรื่องฮันเอินจี ก็พบว่าเด็กทั้งสองกำลังมองมาที่เขา
เขาพูดเบา ๆ ว่า “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
จิวจิววิ่งเข้ามากอดขากางเกง “ป้าสะใภ้จะทำอาหารให้พวกเรากินค่ะ”
“อืม ป้าสะใภ้เขาทำอาหารเก่ง”
“ลุงใหญ่ต้องช่วยป้าสะใภ้นะคะ”
ฮันเจ๋อเหยียนใจอ่อนยวบ “ตกลงครับ”
จากนั้นจิวจิวเด้งกลับไปหาเสิ่นเฉียวทันที “ดูสิคะ หนูบอกแล้วว่าลุงใหญ่จะเห็นด้วย”
เสิ่นเฉียวเงยหน้าขึ้นสบตากับฮันเจ๋อเหยียน
จากนั้นเธอก็มองไปทางอื่นอย่างแผ่วเบา “มาเถอะ เข้าไปในบ้านกัน”
ฮันเจ๋อเหยียนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง เมื่อเขาออกมาก็เห็นเสิ่นเฉียวนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับคู่สามีภรรยาฮันและซูโย่วอี๋
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขายังคงเดินตามหลังเสิ่นเฉียวไป “ผมย้ายของของคุณไปที่ห้องของผมแล้ว”
“ค่ะ”
เสิ่นเฉียวไม่ได้มองมาที่เขา
“ผมจะออกไปข้างนอกสักเดี๋ยว แล้วกลับมากินอาหารเย็น”
“ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเสิ่นเฉียวไม่มีอะไรจะพูดกับเขา ฮันเจ๋อเหยียนจึงเดินออกไป
คู่สามีภรรยาฮันต่างขำขันราวกับดูเรื่องตลก พอมีภรรยาแล้วลูกชายคนนี้แตกต่างไปจากเดิมจริง ๆ
รู้จักรายงานก่อนออกไปไหนด้วย
แต่ฮันเจ๋อเหยียนไม่ได้เย็นชาอย่างที่เห็นและเขาไม่รู้ตัวจนกระทั่งเข้าไปในรถ
ตอนนี้เขาแต่งงานแล้ว?
มีภรรยาแล้ว?
เขากำมือแน่นแล้วสตาร์ตรถออกไป
ระหว่างทาง เขาโทรหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรม ซึ่งฝั่งนั้นบอกว่าฮันเจ๋อหยางได้พาฮันเอินจีออกไปแล้ว
ดวงตาของฮันเจ๋อเหยียนมืดลง
เขาโทรฮันเจ๋อหยาง “อยู่ไหน?”
“[โรงพยาบาลเป๋าไป่]”
ที่ทางเดินในโรงพยาบาล
ฮันเจ๋อหยางถือผลตรวจและพิงกำแพงโดยไม่มีการแสดงออกใด ๆ
ข้าง ๆ มีฮันเอินจีนั่งอยู่
“พี่รอง พี่อย่าเงียบสิ”
ความเฉยเมยเป็นสิ่งที่น่ากลัว
ดวงตาของฮันเจ๋อหยางแดงก่ำ เขาไม่ตอบสนองต่อคำพูดเธอ
ฮันเจ๋อเหยียนมาถึงเร็วมาก
เขาสวมชุดสูทและรองเท้าหนังวาววับ
สมเป็นเจ้าบ่าว
ฮันเจ๋อหยางหัวเราะไม่ออกและส่งรายงานการตรวจในมือไปให้อย่างเงียบ ๆ “ผลตรวจบอกว่าฮันเอินจี… เยื่อพรหมจรรย์ไม่บุบสลาย และผมไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเธอ”
“ผมเป็นผู้บริสุทธิ์”
น้ำเสียงของฮันเจ๋อหยางแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองน้องสาวที่อยู่กับเขามามากกว่า 20 ปี “ฮันเอินจี ฉันไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรเธอ”
“เธอทำร้ายฉัน เสิ่นเฉียว และพี่ชายของฉัน”
“จากวันนี้ไป ระหว่างฉันกับเธอจะไม่เหลือความสัมพันธ์อะไรกันอีกแล้ว”
หลักฐานที่แน่นหนาทำให้ฮันเอินจีไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้อีกต่อไป
เธอยืนขึ้นและจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฮันเจ๋อเหยียนแค่นเสียงหยัน “เธอไม่แม้แต่จะขอโทษ”
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เธอไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าได้ทำอะไรผิดไป
เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
ทั้งยังเห็นแก่ตัว
ฮันเจ๋อหยางเงียบไปชั่วขณะ “พี่ครับ ผมอยากไปต่างประเทศ ในอนาคตผมจะทุ่มเทให้กับอาชีพการแสดงของผม”
“นายคิดดีแล้วเหรอ?”
“อืม ถ้าไม่มีเรื่องอะไรผมจะไม่กลับมาจีน”
“จะไปเมื่อไหร่?”
“คืนนี้”
ฮันเจ๋อเหยียนพยักหน้า “นายเป็นผู้ใหญ่แล้ว นายตัดสินใจเองได้”
ดูเหมือนฮันเจ๋อหยางจะเติบโตขึ้นในชั่วข้ามคืน
“พี่ครับ บอกเสิ่นเฉียวแทนผมด้วยว่าผมขอโทษ”
ฮันเจ๋อเหยียนมองดูแผ่นหลังโดดเดี่ยวของน้องชาย
จากนั้นผู้ช่วยก็เดินเข้ามา “ประธานฮันครับ แล้วทางคุณเอินจีล่ะครับ?”
“ไม่จำเป็นต้องส่งใครไปช่วยเธอ”
“ตกลงครับ”
ผู้ช่วยส่ายหัวอย่างผิดหวัง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ต่อหน้าฮันเจ๋อเหยียนจะทำเป็นเมินเฉยต่อฮันเอินจี แต่เขาคนนี้ก็คอยช่วยเธออยู่ลับหลัง
หากฮันเอินจีหมดหวังจริง ๆ และเลือกเส้นทางผิดที่ไม่สามารถย้อนกลับมาได้ เขาจะช่วยเหลือเธอเอง
คืนนั้นในคลับเฮาส์ แม้ว่าฮันเจ๋อหยางจะเข้าไปช่วยเหลือฮันเอินจีโดยบังเอิญก็ตาม
แต่ฮันเจ๋อเหยียนไม่คิดจะปล่อยให้ฉินสือทำเธอแปดเปื้อน
แต่แล้วทุกอย่างก็จบลงเมื่อคืนนี้
จนถึงตอนนี้ ฮันเอินจีได้ใช้สายใยสุดท้ายของความรักจากครอบครัวฮันไปแล้ว
บ้านตระกูลฮัน
อาหารเย็นถูกจัดเตรียมไว้หลากหลาย แต่ฮันเจ๋อเหยียนยังไม่กลับมา
ตอนนี้จิวจิวอยากกินมากจนน้ำลายสอ “ป้าสะใภ้ทำอาหารน่าอร่อยมากเลยค่ะ”
“ขอบคุณนะจ๊ะที่ช่วยฉันล้างผัก”
จิวจิวทำหน้ามุ่ย “ทำไมลุงใหญ่ยังไม่กลับมาอีกล่ะคะ”
คุณนายฮันคิดว่าลูกชายของเธอคงช้า จึงเอ่ยขึ้นว่า “งั้นกินกันก่อนเถอะจ้ะ ไม่ต้องรอแล้ว”
จากนั้นคุณฮันหยิบไวน์ชั้นดีที่เขาเก็บมาหลายปีออกมา “มีงานเลี้ยงฉลองทั้งที ทุกคนต้องดื่มกันสักสองแก้ว”
“คุณดื่มน้อยลงหน่อยนะคะ”
“ขอผมดื่มสองแก้วนะ นี่คงเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตที่ลูกชายของผมแต่งงาน”
ซูโย่วอี๋ชินกับมันแล้ว เธอใช้ตะเกียบกลางคีบอาหารให้เสิ่นเฉียว
“ขอถือวิสาสะนะ ถึงเธอจะเป็นคนทำทั้งหมดก็เถอะ”
ใครก็ตามที่คีบอาหารให้ก็ถือว่ามีน้ำใจทั้งนั้นแหละ
ไป๋เสิ่นเฉียวรู้สึกประหลาดใจมาก “พวกนี้เป็นของโปรดของฉันหมดเลย”
“นี่เรียกว่ารู้ใจหรือเปล่า?”
ซูโย่วอี๋ยิ้มและไม่พูดอะไร
หลังอาหารเย็น ไป๋เสิ่นเฉียวกลับไปที่ห้องของฮันเจ๋อเหยียน
เครื่องนอนใหม่ทั้งหมดและมีกลิ่นน้ำยาซักผ้าจาง ๆ
ในห้องเก็บเสื้อผ้า เสื้อผ้าของเสิ่นเฉียวถูกแขวนไว้อย่างเรียบร้อยทางด้านซ้าย
เธอชอบใส่เสื้อที่เป็นสีขาวดำ ถ้าไม่ดูดี ๆ คงบอกไม่ได้ว่าเป็นของใคร
หลังจากเดินไปรอบ ๆ ไป๋เสิ่นเฉียวก็กลับไปที่ห้องนอน จ้องมองไปที่เตียงกว้างด้วยความงุนงง
เธอยังไม่พร้อมมีเพศสัมพันธ์
แค่คิดก็จะอ้วกแล้ว
เธอนอนบนโซฟาหลังอาบน้ำเสร็จ
ฮันเจ๋อเหยียนฉลาดมาก เขาน่าจะเข้าใจเจตนาของเธอดี
หลับตาลงไม่นานก็หลับไป
เมื่อฮันเจ๋อเหยียนจัดการเรื่องต่าง ๆ ในบริษัทเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและพบว่าไม่มีคนที่บ้านโทรหา
เมื่อก่อนนี่อาจเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกแปลกเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
เลขาฯ เคาะประตู “ประธานฮันครับ ยังไม่กลับบ้านเหรอครับ?”
เรื่องงานพรุ่งนี้ค่อยจัดการก็ได้
ฮันเจ๋อเหยียนชะงักชั่วคราว “พวกคุณเลิกงานได้แล้ว”
เขาปิดคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้น และกลับบ้านไป
ตอนนี้ทั้งบ้านมืดสนิท
ฮันเจ๋อเหยียนยืนอยู่ที่ประตูห้อง ฟังการเคลื่อนไหวภายในครู่หนึ่ง แต่ไม่มีเสียงใด ๆ เลย
เขาเปิดประตูอย่างระมัดระวังก่อนเดินเข้าไป
ท่ามกลางแสงจันทร์ เขาเห็นว่าไม่มีใครอยู่บนเตียง
เพราะคนที่ควรจะนอนบนนั้นกำลังนอนอยู่บนโซฟา
เธอขดตัวเป็นก้อนกลมเพราะผ้าห่มเลื่อนตกลงพื้น
ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ อากาศยังเย็นอยู่
ฮันเจ๋อเหยียนขมวดคิ้ว เข้ามาอุ้มเธอขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไรมาก
ไป๋เสิ่นเฉียวลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงและตกใจ “ฮันเจ๋อเหยียน คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”
ฮันเจ๋อเหยียนไม่ตอบอะไรและวางเธอลงบนเตียง
“คุณไป๋ ผมจะไม่แตะต้องคุณโดยไม่ได้รับอนุญาตแน่นอน คุณวางใจได้เลย”
เสิ่นเฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เอาล่ะ ในเมื่อเราทำข้อตกลงแล้ว งั้นฉันจะนอนบนโซฟาในช่วงเวลาที่อยู่ในบ้านนี้”
ฮันเจ๋อเหยียนหยิบผ้าห่มอีกผืนออกมาจากตู้และพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“แต่ถ้าคุณอยากนอนโซฟาอีก ผมจะอุ้มกลับ”
ไป๋เสิ่นเฉียวเงียบไป
ฮันเจ๋อเหยียนไปล้างตัวในห้องน้ำ ส่วนไป๋เสิ่นเฉียวก็ยอมจำนน
ก็ได้
เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะกลัวอะไร?
…
เช้าตรู่วันต่อมา คู่สามีภรรยาฮันเห็นคู่บ่าวสาวฮันเจ๋อเหยียนลงมาข้างล่างพร้อมกัน พวกเขาก็มองดูทั้งสองอย่างหยอกล้อ “เมื่อคืนพวกลูกหลับสบายกันไหม?”
“หลับสบายมากครับ”
ฮันเจ๋อเหยียนตอบกลับด้วยในหน้าเรียบเฉย ไม่มีความเขินอายเลยสักนิด
หลังจากกินอาหารเช้า เขาก็เตรียมตัวไปที่บริษัท แต่คุณนายฮันเรียกเขาไว้ “ลูกสัญญากับเสิ่นเฉียวก่อนสิว่าจะกลับบ้านมากินอาหารเย็น หรือถ้าลูกกลับมาไม่ทัน ก็ควรบอกเธอก่อน”
“ผู้หญิงมักคิดเล็กคิดน้อย ตรงข้ามกับผู้ชายที่ไม่คิดอะไรเลย ลูกต้องคอยดูแลเธอให้ดีนะ”
ฮันเจ๋อเหยียนชำเลืองมองเสิ่นเฉียวด้วยหางตา แต่ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเลย
“ผมเข้าใจแล้ว”
เสิ่นเฉียวมีความสุขมากในบ้านตระกูลฮัน เธอชอบทำอาหาร แต่คุณนายฮันมักไม่ยอมให้เธอทำยกเว้นวันแรก
“ชอบทำแค่ไหนก็เบื่อได้ถ้าทำทุกวันนะจ๊ะ”
“ถ้านาน ๆ ทำทีแบบนั้นก็ทำได้ อย่ามองมันเป็นงานเลย”
ซูโย่วอี๋ยกนิ้วให้คุณนายฮันอย่างเงียบ ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีและลูกสะใภ้นั้นดีมาก
เพียงแต่เธอต้องไปแล้ว
อัลวินโทรมาหาเธอ แจ้งว่าคลาสฝึกอบรมกำลังจะเริ่มในอีกสามวัน
ทุกคนไปส่งเธอที่สนามบิน
ซุ่ยซุ่ยกังวลมากที่จะไม่ได้อยู่กับแม่ “แม่ครับ อย่าลืมโทรหาผมทุกวันนะ”
“รับทราบครับ นายท่านซุ่ยซุ่ย”
“อย่าลืมคิดถึงผมด้วย”
“ตามบัญชาครับผม”
“ตั้งใจเรียนด้วยนะ”
อารมณ์เศร้าของซูโย่วอี๋หายไปทันที เธอไม่เคยคิดว่าลูกชายของเธอจะกลายมาเป็นคนสั่งสอนเธออย่างกับตอนอายุมาก “แม่รู้แล้วจ้ะ”
เธอกอดซุ่ยซุ่ยและจูบเขาจนชุ่มน้ำลาย
ส่วนคุณนายฮันกระพริบตาที่เปียกชื้น “ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีล่ะ”
ซูโย่วอี๋ลูบไหล่ของแม่อย่างปลอบประโลม “ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูโตแล้ว”
เธอบอกลาพวกเขาทีละคน
จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางไปที่ประตูทางเข้าเพื่อขึ้นเครื่อง
ทันใดนั้นโทรศัพท์สั่นขึ้น มันเป็นสายของอัลวิน
“[จะมาแล้วเหรอครับ]”
“ค่ะ ใกล้จะบินแล้ว”
“[ครับ ผมจะรอคุณที่สนามบิน]”