Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 349 สาวงาม
บทที่ 349 สาวงาม
บทที่ 349 สาวงาม
หลังจากผ่านไปกว่าสิบชั่วโมง ซูโย่วอี๋ก็มาถึงสนามบิน
ทันทีที่เธอออกจากสถานี อัลวินที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนก็โบกมือให้เธอด้วยความดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนาน
“โย่วอี๋”
ซูโย่วอี๋ลากกระเป๋าแล้วเดินไปหา “มีของไม่มากหรอกค่ะ ฉันไปเองได้”
ตาสีเหลืองอำพันของอัลวินเต็มไปด้วยความยินดี “ผมแค่อยากมา”
“นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว อาหารบนเครื่องไม่อร่อยหรอกครับ เราไปกินด้วยกันไหม?”
ซูโย่วอี๋พยักหน้ารับ
อัลวินเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าเธออยากฟังหรือไม่อยากฟังอะไร ระหว่างกินอาหาร เขาได้แนะนำสภาพแวดล้อมของวิทยาลัยฮิลเบิร์ต
โดยทั่วไปแล้ว วิทยาลัยฮิลเบิร์ตสนับสนุนนักวิชาการและมีบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีมาก
อย่างไรก็ตาม นักเรียนในชั้นเรียนอบรมยังไม่ใช่นักเรียนอย่างเป็นทางการและถูกคัดออกได้ทุกเมื่อ
อัลวินวางตะเกียบลง “อย่ากังวลเลยครับ คนส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนอบรมได้ ต้องมีทั้งเงินและเส้นสายพอสมควร แม้ว่านักเรียนในวิทยาลัยจะดูถูก แต่ก็ไม่ได้มาหาเรื่องอะไร”
อย่างมากก็แค่รู้สึกว่าพวกเขาอยู่คนละระดับกัน และก็ไม่ต้องการสานสัมพันธ์กับผู้คนในชั้นเรียนฝึกอบรมสักเท่าไหร่
ซูโย่วอี๋ไม่สนใจเรื่องนี้ เธอมาโรงเรียนเพื่อศึกษา ไม่ใช่เพื่อสร้างความสัมพันธ์
หลังจากกินอาหารเสร็จ เธอปฏิเสธอัลวินที่อยากจะไปส่งเธอกลับบ้าน
และลากกระเป๋าจากไป
เมื่อเปิดประตู บ้านยังดูสะอาดสะอ้านราวกับไม่ใช่บ้านที่ไม่มีคนอยู่
เพียงแต่ไม่มีซุ่ยซุ่ย ซูโย่วอี๋จึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
คุณป้าทิ้งโน้ตไว้บนโต๊ะ บอกว่าเธอทำอาหารมังสวิรัติทิ้งไว้ในตู้เย็น ให้เธออุ่นอาหารกินเองได้เลย
เดิมที คุณนายฮันอยากให้คุณป้าพี่เลี้ยงคอยดูแลเธอในทุกวัน แต่ซูโย่วอี๋ปฏิเสธไป
หลายปีก่อน มีช่วงที่ซูโย่วอี๋ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่ตอนนี้เธอสบายดีแล้ว เธอจึงไม่ต้องการสร้างปัญหาให้คนอื่นอีก
แค่ขอให้คุณป้าทำความสะอาดบ้านอาทิตย์ละครั้งก็พอ
เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงวันรับสมัคร
ที่จอดรถเต็มไปด้วยฝุ่น ซูโย่วอี๋ถือสายฉีดล้างรถแบบลวก ๆ จากนั้นก็ขับออกไป
การรายงานตัวกินเวลาทั้งวัน ชั้นเรียนฝึกอบรมมีนักเรียนประมาณ 100 คนเท่านั้น
เมื่อไปถึงประตูวิทยาลัย ซูโย่วอี๋เห็นรถยนต์คันหรูมากมายจอดเต็มสองข้างทาง
ดูวุ่นวายยิ่งใหญ่กว่างานแสดงรถยนต์
รถส่วนใหญ่มีราคามากกว่าห้าล้านดอลลาร์ และแทบไม่มีรถยนต์ราคาต่ำกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์เลย
ซูโย่วอี๋เริ่มเข้าใจสิ่งที่อัลวินเรียกว่า ‘คนรวยมีเส้นสาย’ เธอจึงจอดรถมูลค่าหลายแสนดอลลาร์ระหว่างรถหรูสองคันอย่างไม่ใส่ใจ และเดินเข้าไปในวิทยาลัยโดยไม่หันกลับมามอง
จุดรายงานตัวอยู่ในสนามกีฬาซึ่งแบ่งไปตามสายอาชีพ
ตอนนั้นเองที่ซูโย่วอี๋ค้นพบว่าผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าเรียนจากวิทยาลัยก็มารายงานตัวในวันเดียวกับเธอ และจุดรายงานตัวของชั้นเรียนฝึกอบรมก็อยู่ที่มุม ๆ หนึ่ง
ถัดจากห้องน้ำ…
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่จุดรายงานของแผนกดนตรีตะโกนว่า “ซิด ดูคนสวยตรงนั้นเร็วเข้า”
ในเวลานี้ คนที่นอนอยู่บนเก้าอี้วางเท้าไว้บนโต๊ะรายงานตัวและกอดอกลืมตาขึ้นอย่างหมดความอดทน “หาเรื่องตายเหรอ โตจนป่านนี้คิดว่าฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงรึไง”
ขณะที่ซูโย่วอี๋หันศีรษะไป ชายที่พูดก่อนหน้านี้ก็เห็นรูปร่างหน้าตาของเธอเต็ม ๆ ตา “ให้ตายเถอะ”
“ซิด ฉันเจอผู้หญิงมาเยอะ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นผู้หญิงท็อปคลาสอย่างเธอ”
“ไม่พูดแล้ว นายจะชอบหรือไม่ชอบก็ช่าง ฉันจะไปพาคนสวยไปรายงานตัวแล้ว”
พูดจบ ชายหนุ่มก็วิ่งหายวับไป
มือที่ยื่นออกไปของซิดค้างอยู่ในอากาศ
อะไรเนี่ย แล้วใครจะรับผิดชอบรับรายงานตัวแผนกดนตรีล่ะ!
เขาเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงท่าทางเหมือนสุนัขของแชคและแผ่นหลังของผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ เขา
มันดูเพรียวบางและน่าดึงดูด
“ชิ”
เขากลอกตาและขี้เกียจเกินกว่าจะมองไปอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง แชคยิ้มกว้างเหมือนดอกไม้บาน “สวัสดีเพื่อนนักเรียน ผมชื่อแชค เป็นนักเรียนชั้นปีที่สองของที่นี่ มีหน้าที่รับผิดชอบในการรับรายงานตัว คุณเลือกวิชาเอกอะไรครับ ผมจะพาคุณไปเอง”
“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ฉันหาจุดรายงานตัวเจอแล้ว ไปเองได้ค่ะ”
แต่แชคยังไม่ยอมแพ้ “ไม่รบกวนหรอกครับ ผมเป็นเกียรติที่ได้รับใช้สาวงาม”
เขายังต้องการพูดหยอดคำหวานอีกหลายคำ แต่เมื่อแชคชำเลืองมองที่ใบรับรองการฝึกอบรมในมือของเธอ ก็พูดขึ้นด้วยความไม่เชื่อ “คุณมาจากชั้นเรียนฝึกอบรมเหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
จู่ ๆ สีหน้าของแชคก็กระอักกระอ่วน “เป็นอย่างนี้เอง”
น่าเสียดายจริง ๆ
ในสายตาของพวกเขา นักเรียนในชั้นเรียนอบรมไม่ถือว่าเป็นนักเรียนเลย คนเหล่านั้นแค่มาฆ่าเวลาที่นี่เท่านั้น
ตอนนี้ แชคมองซูโย่วอี๋อย่างอึดอัด “โอเค คนสวย ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่รบกวนคุณแล้วครับ”
“แต่คุณยังมาหาผมได้หากต้องการจะถามอะไรนะครับ”
พร้อมกันนั้น เขาก็ชี้ไปสถานที่รายงานตัวของชั้นเรียนฝึกอบรม
ซูโย่วอี๋ไม่สนใจกับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างกระทันหันของคนตรงหน้า เธอเพียงพยักหน้าและเดินต่อไป
หญิงสาวจากแผนกดนตรีคนหนึ่งเห็นภาพนั้นก็ยกยิ้มและล้มตัวลงนอนบนโต๊ะ “โอ้ แชค ดูท่าทางเหมือนกินอึเข้าไปของนายสิ นายเสียดายที่ได้ยินว่าเธอมาจากชั้นเรียนอบรมงั้นเหรอ?”
แชคถลึงตาใส่เธอ “หยุดพูดมากเลยนะ”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคนเล่นไวโอลินอย่างเธอ”
เขากลับไปที่จุดรายงานของแผนกดนตรี
ซิดเพิ่งลงทะเบียนน้องใหม่เสร็จก็เหลือบมองเขา “ทำไม? ถูกคนสวยปฏิเสธมาเหรอ?”
แชคถอนหายใจ “เฮ้ ครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอ ฉันรู้สึกเหมือนได้พบกับรักแท้ในชีวิตของฉันเลย แต่เธอมาจากชั้นเรียนอบรมนี่สิ มันถึงมีช่องวางขนาดใหญ่อยู่”
“ระหว่างเราไม่มีทางเป็นไปได้ ฉันจึงตัดสินใจเด็ดความรักครั้งนี้ทิ้งไป”
ซิดได้ยินคำว่าของชั้นเรียนอบรมก็แค่นเสียง “กลุ่มขยะเคลือบทองวิ่งมาที่นี่อีกแล้ว”
แต่แชคนึกถึงใบหน้าของซูโย่วอี๋ เขารู้สึกว่าเธอไม่สามารถเอาไปเทียบกับคำที่เสื่อมเสียเช่นขยะได้
แต่หลังจากคิดดูแล้ว คนในชั้นเรียนอบรมก็ล้วนไร้ค่าไม่ใช่เหรอ?
ช่างน่าเสียดาย
ที่จุดรายงานตัวของหลักสูตรฝึกอบรมไม่มีใครอยู่
มีเพียงชายชราที่มีเคราสีเทาหลับใหลอยู่เท่านั้น
ดวงตาของซูโย่วอี๋เป็นประกายงงงวย เธอจำได้ว่าจำนวนนักเรียนที่วิทยาลัยฮิลเบิร์ตคัดเลือกอย่างเป็นทางการในแต่ละปีมีเพียงประมาณ 100 คนเท่านั้น และพวกเขาต้องแบ่งออกเป็นวิชาเอกต่าง ๆ อาจมีนักเรียนใหม่เพียงไม่กี่คนต่อปีสำหรับวิชาเอกที่ไม่เป็นที่นิยม
ในทางตรงกันข้าม ในชั้นเรียนฝึกอบรมมีคนถึง 100 คน แล้วจะดูว่างเปล่าเมื่อเทียบกับจุดรายงานตัวจุดอื่น ๆ ได้อย่างไรกัน?
เธอพูดขึ้นเบา ๆ “สวัสดีค่ะ ฉันมารายงานตัว”
ชายชราไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยและยังกรนตอบกลับเสียด้วยซ้ำ
เสียงของซูโย่วอี๋ดังขึ้นอีกครั้ง “สวัสดีค่ะ ฉันมารายงานตัว”
คุณปู่สะดุ้งด้วยความตกใจ “อา…”
เขาตื่นขึ้นมาและเห็นหญิงสาวที่หน้าตาใสสะอาดอยู่ตรงหน้า “โอ้ รายงานตัว ๆ”
“เอ้า ส่งใบรับรองการฝึกอบรมมาให้ฉัน”
ซูโย่วอี๋มอบเอกสารต่าง ๆ ให้ คุณปู่พลิกดูอย่างสบาย ๆ ก่อนหยิบสมุดรายงานตัวออกมาจากโต๊ะ “เซ็นชื่อของคุณตรงนี้”
สมุดรายงานตัวเป็นแค่กระดาษเปล่าที่มีหมายเลขตั้งแต่ 1 – 120
ซูโย่วอี๋หยิบปากกาขึ้นมาและเขียนชื่อของเธอลง
ทั้งที่ใกล้จะสายแล้ว เธอกลับเป็นคนแรกที่มารายงานตัว
ดูเหมือนว่าชายชราจะอ่านความคิดในใจของเธอได้ “คุณไม่รู้เหรอ?”
“คุณเป็นคนเอเชียเลยน่าจะไม่รู้ มีกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ว่าในวันรายงานตัวให้ชั้นเรียนฝึกอบรมมาตอนบ่ายเท่านั้น”
ซูโย่วอี๋วางปากกาแล้วถาม “ทำไมคะ?”
ชายชราชี้ให้เธอมองไปด้านข้าง ซูโย่วอี๋มองตามสายตาของชายชราก็พบว่าผู้คนจากจุดรายงานตัวอื่น ๆ กำลังมองมาด้านนี้อย่างแปลกประหลาด
มีความดูถูกในแววตาของพวกเขา
“พูดอีกอย่างก็คือชั้นเรียนอบรมคือการเข้าทางประตูหลัง นักเรียนที่ได้รับเลือกจึงไม่ชอบพวกเข้าทางประตูหลังมากที่สุด”
“ในตอนเช้าเป็นเวลาที่มีคนมารายงานตัวเยอะมาก นักเรียนในชั้นเรียนอบรมจึงเลี่ยงมาช่วงเช้าและมาตอนบ่ายแทน”
ถึงว่าทำไมถึงมีแค่ซูโย่วอี๋ที่มารายงานตัวคนเดียว
แต่ซูโย่วอี๋ไม่ถือสาอะไรเพราะรู้สึกว่านักเรียนทางการเหล่านี้ช่างไร้เดียงสา
แค่การไปโรงเรียนก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหนือกว่าเสียแล้ว
ชายชราหยิบบัตรวิทยาลัยสีเหลืองออกมา “คุณใช้บัตรนี้เข้าออกจากวิทยาเขต กินข้าว และเข้าห้องสมุด บัตรมีอายุสองเดือน และจะหมดอายุหลังจากชั้นเรียนฝึกอบรมของคุณจบลง”
หลังจากพูดจบ เขาก็เสริมว่า “ถ้าคุณผ่านการประเมินการฝึกอบรมและกลายเป็นนักเรียนอย่างเป็นทางการ ทางวิทยาลัยจะออกบัตรสีแดงให้กับคุณอีกครั้ง”
บนบัตรจะมีชื่อ เกรด และวิชาเอกเขียนอยู่บนนั้น แทนบัตรวิทยาลัยสีเหลืองซึ่งไม่มีข้อมูลอะไรตอนนี้
“ตารางเรียนก็ตามนี้ สนใจเอาชีทไปอ่านได้”
“อีกอย่าง ทางวิทยาลัยไม่มีที่พักให้นักเรียนในชั้นอบรมนะ จัดการเอาเองล่ะ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าและรับตารางเรียนมา “รบกวนด้วยค่ะ”
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน เธอก็หยิบตารางเรียนออกมาดู อืม ถือว่าไม่หนักเกินไป มีเรียนวันละสองคาบ ช่วงเช้า เริ่มเก้าโมง…
มีอาจารย์เพียงคนเดียวชื่อซีล
หลักสูตรฟังดูค่อนข้างคลุมเครือ รวมความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศิลปะ ประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันตก ประวัติศาสตร์ดนตรีตะวันออก และยังมีหลักสูตรที่ค่อนข้างเป็นมืออาชีพ เช่น ทฤษฎีดนตรีเบื้องต้น การฟัง การร้องเพลง ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีประโยคบรรทัดเล็ก ๆ ที่ด้านล่างว่า คุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชั้นเรียนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ซูโย่วอี๋เม้มปาก ทำอย่างกับว่าคนอื่นต้องการขโมยความลับทางธุรกิจอย่างนั้นแหละ
วันต่อมา ซูโย่วอี๋ตื่นนอนตอนเจ็ดโมงเช้า กินอาหารเช้า และไปวิทยาลัย
ตึกหลักอยู่ไกลจากวิทยาลัยและใช้เวลาขับรถเกือบชั่วโมง
เมื่อไปถึง ในห้องเรียนมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนนั่งกันอยู่ประปราย
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พวกเขาก็มองไปที่ประตู
ซูโย่วอี๋เหลือบมอง ก่อนเลือกแถวที่สามข้างหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ เธอไม่อยากอยู่ไกลเกินไปเพราะกลัวว่าเธออาจจะไม่ได้ยินอาจารย์บรรยายอย่างชัดเจน
หลายคนที่อยากรู้จักเธอเข้ามาทักทาย “สวัสดี คุณอยากนั่งด้วยกันไหม?”
ซูโย่วอี๋ปฏิเสธ “ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
หนังสือเรียนถูกวางไว้บนโต๊ะแต่ละโต๊ะแล้ว ซูโย่วอี๋กำลังจะอ่านหนังสือเรียนของสองชั้นเรียนของวันนี้ก่อนเรียน หลังจากพลิกไป 2-3 หน้า บางคนในกลุ่มก็หัวเราะ “อย่าอ่านเลย สมัยมัธยมต้น ฉันท่องประวัติศาสตร์ในหนังสือย้อนหลังได้”
“หลักสูตรการฝึกอบรมของวิทยาลัยฮิลเบิร์ตเป็นเพียงการสร้างภาพและไม่ได้สอนความรู้อะไรให้กับพวกเราหรอก”
ซูโย่วอี๋ชะงักไป “ถ้าเป็นอย่างนั้น ทำไมยังมาเข้าชั้นอบรมอีกล่ะ?”
เด็กหนุ่มพูดพลางผายมือ “ทำไงได้ ผมไม่ได้รับจดหมายรับรอง ผมเลยมาเข้าชั้นอบรมแทน อย่างน้อยก็มีโอกาสที่จะได้รับการประเมิน และบางทีผมอาจจะผ่านเข้าไปได้”
“ดังนั้นผมจึงบอกว่าชั้นเรียนนี้จะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ แค่เตรียมตัวสำหรับการประเมินไว้ก็พอ”
ซูโย่วอี๋พยักหน้าอย่างครุ่นคิด “ฉันเข้าใจแล้ว”
เด็กหนุ่มเห็นเธอเข้าใจก็พูดต่อ “คุณอยากออกไปดื่มด้วยกันหลังเลิกเรียนไหม? พวกเราเป็นนักเรียนชั้นอบรม ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง โชคชะตาก็กำหนดให้เรามาเรียนในชั้นเรียนเดียวกันแล้ว”
ซูโย่วอี๋ปฏิเสธอีกครั้ง “พื้นฐานของฉันค่อนข้างแย่ ฉันว่าจะไปห้องสมุดสักหน่อยน่ะ”
เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “โอเค”
ทันใดนั้น มีเด็กสาวคนหนึ่งถามว่า “คุณเคยเล่นละครหรือเปล่า? ที่ชื่อ… ฮั่วเสวียน?”
ซูโย่วอี๋ไม่คาดคิดว่าจะมีคนได้ดูละครของเธอด้วย “ฉันเอง”
หญิงสาวอุทานด้วยความประหลาดใจ “คุณจริง ๆ ด้วย!”
“ไอดอลของฉัน!”
หญิงสาวรีบวิ่งไปทันที “มานั่งด้วยกันเถอะ”