Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 351 ฮีโร่ผู้ช่วยสาวงาม
บทที่ 351 ฮีโร่ผู้ช่วยสาวงาม
บทที่ 351 ฮีโร่ผู้ช่วยสาวงาม
ไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข้างกายของเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทำให้คนอื่นสับสน
ดวงตาของลู่เฉินล้ำลึก “มีเคสนึงอยู่ที่อเมริกา”
“[เคสอะไร?]”
“ซูโย่วอี๋ เธอเข้ารับการฝึกอบรมของฮิลเบิร์ต”
โอห์มคิดอยู่ครู่หนึ่ง “[ฉันนึกออกแล้ว ลูกของเธอก็เกิดที่โรงพยาบาลของพวกเรานี่]”
ลู่เฉินแนะนำ “นายตรวจสอบจากเธอได้ไหม ส่วนเรื่องของคุณปู่ ฉันจะตรวจสอบเอง”
ทั้งสองแบ่งงานกันอย่างชัดเจน
โอห์มเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว “[โอเค ๆ]”
เมื่อวางสายไป จิตใจของลู่เฉินรู้สึกว้าวุ่น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่หายากมาก พอเลิกงานเขาจึงกลับบ้านทันที
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู โต้วโต่วรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อไปต้อนรับเจ้าของของมัน
“เหมียว”
ลู่เฉินก้มลงลูบที่หัวของมัน “หิวเหรอ?”
เขาเอื้อมมือไปเปิดกระป๋องอาหารแมว โต้วโต่วก้มหัวลงไปกินอาหาร
ลู่เฉินนั่งลงบนโซฟา สายตายังคงมองไปยังโต้วโต่ว
งานของเขายุ่งมาก ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงแมวเลยด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้โต้วโต่วก็อยู่กับคุณปู่มาโดยตลอดแท้ ๆ ลู่เฉินนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าโต้วโต่วมาอยู่ที่บ้านของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
วันต่อมา ลู่เฉินไม่ได้ไปที่ทำงาน แต่กลับไปที่บ้านเก่า พอคุณปู่เห็นเขาก็ดีใจมาก “ทำไมถึงมีเวลามาได้ล่ะ?”
ลู่เฉินเข้าไปพยุงคุณปู่ “มีเรื่องนิดหน่อยครับ”
“พูดมาสิ”
“ทำไมปู่ถึงเอาโต้วโต่วมาให้ผมเลี้ยง?”
คุณปู่มองเขาด้วยความสงสัย “ให้หลานเลี้ยง?”
ผ่านไปสักพักคุณปู่ก็พูดกับตัวเอง “ให้หลานเลี้ยง แต่เหมือนปู่จะรู้สึกว่าไม่ได้ให้หลานเลี้ยงนะ… จำไม่ค่อยได้แล้วแหะ”
“ไม่อยากเลี้ยงแล้วเหรอ?”
ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่ครับ”
“อาการโรคกระเพาะของปู่ดีขึ้นมาได้ยังไงครับ?”
น้ำเสียงแปลกใจของคุณปู่ตอบกลับ “หลานเอายามาให้ปู่ไม่ใช่เหรอ? กินไปได้ไม่ถึงครึ่งเดือน ปู่ก็รู้สึกดีขึ้นมากเลย”
“อาเฉิน ช่วงนี้หลานกดดันตัวเองเกินไปหรือเปล่า?”
“อยากจะพักสักหน่อยไหม ผ่อนคลายลงหน่อย”
ลู่เฉินเงียบ ทำไมเรื่องราวที่คุณปู่พูดมาเขาถึงจำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย?
หรือเขาจะสูญเสียความทรงจำบางช่วงไปจริง ๆ?
…
ซิดถูกเรียกตัวให้กลับบ้านอย่างเร่งด่วน ซึ่งตอนนี้โอห์มนั้นนั่งอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่และกำลังมองเขาอยู่
“ซิดน้องรัก พี่มีเรื่องที่อยากให้แกช่วยหน่อย”
ได้ยินเช่นนั้นซิดก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาในทันที
“หยุดก่อน ผมเรียนดนตรี พี่เรียนแพทย์ พี่มีอะไรถึงได้ต้องการความช่วยเหลือจากผมกัน?”
“โธ่ มีแน่นอน ฉันมีผู้หญิงคนหนึ่ง…”
ยังไม่ทันที่โอห์มจะพูดจบ ก็ถูกซิดขัดจังหวะไว้ก่อน “พี่ไปมั่วกับผู้หญิงมาอีกแล้วเหรอ?”
“ผมจะบอกให้นะ พี่จะนอนกับผู้หญิงก็ได้ แต่ก็ควรมีขีดจำกัดบ้าง อย่าบังคับให้ผมต้องตัดความสัมพันธ์พี่น้องกับพี่เลย”
โอห์มเอามือแตะจมูกอย่างเขินอาย “ไม่ใช่สักหน่อย ครั้งนี้ฉันมีเรื่องสำคัญมากจริง ๆ”
“คนอายุยี่สิบแบบแกพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง ฉันหรือแกกันแน่ที่เป็นพี่ หะ?”
“วิทยาลัยของพวกแกมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ร่างกายค่อนข้างแปลก แกช่วยฉันตรวจสอบดูหน่อยสิ”
ซิดที่เห็นท่าทางจริงจังของพี่ชาย น้ำเสียงจึงดีขึ้นมาหน่อย “พูดให้ชัดเจน อะไรที่เรียกว่าแปลก?”
“เธอมีลูกไม่ได้ แต่ตอนนี้กลับมีลูกอายุสามขวบแล้ว และในช่วงเวลานั้นก็ไม่มีประวัติทางการแพทย์อะไรเลย”
ซิดเม้มริมฝีปาก “ผมไม่มีพื้นฐานทางการแพทย์ ทางที่ดีที่สุดเรื่องแบบนี้พี่ควรหาคนที่เชี่ยวชาญไปนะ”
“ฉันรู้” โอห์มขอร้อง “แต่แกเรียนอยู่ในฮิลเบิร์ต คะแนนก็ดี มีโอกาสเข้าใกล้เธอมากกว่าพวกเรา ในความคิดของฉัน ฉันอยากให้แกไปเป็นเพื่อนของเธอ แบบนั้นถึงจะพอได้เรื่องหน่อย”
ซิดทำได้เพียงรับปากไป “เธอชื่ออะไร?”
“ชั้นเรียนฝึกอบรม ฮันโย่วอี๋”
ซิดตกตะลึง “เธอคนนั้นเหรอ?”
“แกรู้จักเหรอ งั้นก็ดีเลย จะได้ประหยัดเวลา”
ซิดถามขึ้นมาอย่างไม่ทันฉุกคิด “เธอแต่งงานมีลูกแล้วงั้นเหรอ?”
“ใช่สิ อายุเท่านั้นจะมีลูกก็เป็นเรื่องปกติจะตายไป”
ซิดลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอก “เข้าใจแล้ว”
ความประทับใจที่มีต่อซูโย่วอี๋ในใจของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เทียบกับโอห์มที่เจ้าชู้คบกับคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ซิดกลับเป็นคนที่แน่วแน่ในศีลธรรมและซื่อตรงกับความรู้สึก
เขาไม่มีทางมีสายสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
นี่เป็นเพียงเพราะหน้าที่ทำให้เขาต้องเดินหน้าต่อ เขาร่างแผนการเบื้องต้นออกมาอย่างรวดเร็ว และในตอนเที่ยงของวันหนึ่ง เขาหยิบกล่องข้าวไปยังห้องสมุด
เสียงเตาอบไมโครเวฟดังขึ้น ข้าวอุ่นเสร็จแล้ว
เขานั่งลงข้าง ๆ ซูโย่วอี๋ “สวัสดี”
ซิดมีท่าทางอ่อนโยนเสมอต่อหน้าคนที่ไม่รู้จัก เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกดี
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “สวัสดีค่ะ อาจารย์ผู้ช่วย”
ซิดเปิดกล่องข้าวออกและเริ่มกิน “ช่วงนี้เหมือนว่าคุณจะเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดตลอด ไม่ค่อยเห็นนักศึกษาจากชั้นเรียนฝึกอบรมขยันแบบนี้เลย”
ซูโย่วอี๋ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
อีกฝ่ายคงจะไม่รู้ตัว เขามักแยกนักศึกษาจากชั้นเรียนฝึกอบรมและห้องปกติออกจากกัน
ซิดเล่าเรื่องน่าสนใจในวิทยาลัยให้เธอฟังอย่างอารมณ์ดี เรื่องราวที่คุยกันก็หลากหลาย การพูดคุยเข้ากันได้ดี ทั้งสองรู้สึกสบายใจมาก
ซูโย่วอี๋รู้สึกว่าถ้าในระหว่างการเรียนสามารถเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ได้ก็ดี หลังกินข้าวเสร็จ เธอก็ไม่ได้รีบไปไหน พอเห็นว่าเวลาพอประมาณแล้วเธอจึงลุกขึ้นและไปล้างชาม
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันที่ซิดปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่ซูโย่วอี๋มากินข้าว หลังจากนั้นก็คุยกับเธอเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง
ในเว็บบอร์ดของฮิลเบิร์ตเริ่มมีข่าวลือว่าทั้งสองคนกำลังคบหาดูใจกันอยู่
วันหนึ่งหลังกินข้าวเสร็จ ซูโย่วอี๋ถามขึ้นก่อน “อาจารย์ผู้ช่วย คุณชอบฉันหรือเปล่า?”
สายตาของเธอสงบนิ่งและตรงไปตรงมา ไม่มีความอายหรืออาการหลั่นไหวใด ๆ
หัวใจของซิดเต้นแรง “เปล่า”
“ช่วงนี้ที่ผมมาที่ห้องสมุดบ่อย ๆ ก็เพราะว่าต้องออกแบบหลักสูตร ไม่ได้มาเพราะเจอคุณหรอก”
ซูโย่วอี๋พยักหน้า “อืม งั้นก็ดีค่ะ”
เธอพูดอย่างเข้าใจ เพราะซิดก็เป็นเพื่อนที่ไม่เลวคนนึงเลย
เพียงแต่ว่าการตีสนิทซูโย่วอี๋นั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้า ทำให้โอห์มไม่พอใจ
“[แกจะเป็นเพื่อนเธอไปถึงชาติหน้าเลยหรือไงถึงจะเอาข้อมูลจากเธอมาได้ คืนนี้ฉันวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะให้แกเป็นฮีโร่ผู้เข้าไปช่วยสาวงาม]”
“[จะได้ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกแกสนิทใจกันขึ้นเร็ว ๆ]”
ซิดขมวดคิ้ว “อย่าทำอะไรไร้สาระน่า”
ต่อให้เป็นแค่การแสดง แต่ก็อาจจะเกิดการบาดเจ็บได้ เขาไม่อยากให้ซูโย่วอี๋ต้องเจ็บตัว
โอห์มไม่ตอบ “[ฟังฉันนะ ถ้าแกไม่ไป สาวสวยคนนั้นก็คงจะถูกลวนลามแน่นอน]”
ยังไม่ทันที่ซิดจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็วางสายไป
และตามมาด้วยข้อความที่ส่งมา [สามคน สถานที่คือซอยเล็ก ๆ หลังวิทยาลัย หกโมงพวกเขาจะไปรออยู่ที่นั่น แกพาคนไปที่นั่นก็พอ]
แต่ซูโย่วอี๋จะยอมไปตามสถานที่ที่พวกเขาวางแผนเอาไว้ได้อย่างไรกัน?
ซิดเก็บโทรศัพท์และโน้มน้าวใจตัวเอง ขอแค่ไม่พาซูโย่วอี๋ไปที่นั่นก็พอ
แต่ในความเป็นจริงกลับเกินความคาดหมายของเขาไปไกลมาก ซูโย่วอี๋ดันไปจริง ๆ
เมื่อเขาได้รับรูปภาพที่โอห์มส่งมา ในนั้นมีข้อความอยู่สองคำ [ลงมือ]
ยังไม่ทันที่โอห์มจะได้คิดว่าทำไมเธอถึงไปที่นั่น เท้าของเขาก็รีบวิ่งไปยังประตูด้านหลังในทันที พร้อมใบหน้าอันตกตะลึงของแชค “นี่ นายจะไปไหน?”
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงแผ่นหลังที่ค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ
คิดไปคิดมาแชคจึงตามไป
ประตูหลังวิทยาลัย
ซูโย่วอี๋เข้าเรียนในตอนเช้าจนครบหมดแล้ว และได้พูดคุยกับอาจารย์ซีลอยู่สักพัก ซีลแนะนำหนังสือหลายเล่มที่เหมาะกับพื้นฐานของเธอ
เพียงแต่หนังสือของห้องสมุดไม่มีให้ยืม ซูโย่วอี๋จึงอยากไปซื้อที่ร้านหนังสือหลังวิทยาลัย
ประตูด้านหลังไม่ค่อยมีคนผ่านไปผ่านมานัก แต่ยังมีร้านหนังสือเปิดอยู่ภายในซอยเล็ก ๆ ที่มีเจ้าของร้านหนังสือแสนขี้เกียจดูแลอยู่ ทำให้หนังสือถูกกองเอาไว้ราวกับภูเขา
ซูโย่วอี๋ใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสืออยู่นาน กว่าจะหาหนังสือที่ต้องการจนเจอ
เธอไปคิดเงินเพื่อจะได้กลับเร็ว ๆ
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดหมดแล้ว
มีไฟถนนเพียงดวงเดียวในซอยที่อยู่ไกลออกไป แสงไฟอ่อน ๆ ทำให้ต้องมองอย่างละเอียดเพื่อดูหลุมบ่อบนถนน
ซูโย่วอี๋ถอนหายใจ ที่ธุรกิจของร้านแย่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
แต่จู่ ๆ สุนัขจิ้งจอกก็ส่งเสียงออกมา [ซู่จู่ มีคนอยู่ข้างหน้า]
[ผู้ชายห้าคน ดูไม่น่าไว้วางใจเลย]
ซูโย่วอี๋หยุดฝีเท้าลง “มีปืนเหรอ?”
สุนัขจิ้งจอกกวาดตามอง [ไม่มี]
[มีมีดปลอกผลไม้]
หัวใจของซูโย่วอี๋สงบลงนิดหน่อย ขอแค่ไม่มีปืน ต่อให้เป็นผู้ชายเธอก็สู้ไหว
ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็วิ่งกลับไปที่ร้านหนังสือก็ได้ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจะเป็นการหาเรื่องให้เจ้าของร้าน
จึงได้แต่ภาวนาขอให้อีกฝ่ายอย่าได้เข้ามาหาเรื่องเธอเลย
ซูโย่วอี๋ทำสีหน้าเย็นชาพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
คนที่แอบอยู่ในความมืดพุ่งตัวออกมา คนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือชายหัวล้าน “เห็นพวกเราแล้วงั้นเหรอ? ลูกเจี๊ยบตัวน้อยนี่ระวังตัวดีจริง ๆ”
ซูโย่วอี๋รีบกวาดตามองเหล่าคนที่อยู่ตรงหน้า “ทำไมถึงมาหาเรื่องฉัน?”
ชายหัวล้านเลิกคิ้วขึ้น “ใจเย็นดีนี่”
“ฉันชอบ”
ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังยิ้มออกมาอย่างหื่นกระหาย
“ไม่มีอะไรมาก ก็แค่รู้สึกประทับใจ มาเล่นกับพวกเราหน่อยไหม?”
ชายหัวล้านก้าวขึ้นมาสองก้าวและเอื้อมมือเข้าไปหวังจะลูบใบหน้าของซูโย่วอี๋ แต่มีเสียงผู้ชายดังขึ้นมาจากปากซอยเสียก่อน “หยุดนะ”
กลุ่มคนพวกนั้นหันกลับมามองด้านหลัง ซูโย่วอี๋เองก็เห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงถนนภายใต้แสงไฟตรงนั้นอย่างชัดเจน
ซิด…
นั่นทำให้ซูโย่วอี๋ไม่กลัวอีกต่อไป ขอแค่มีคนที่จัดการกับพวกอันธพาลสักสองคนได้ เธอเองก็จัดการกับคนที่เหลือได้
ชายหัวล้านหัวเราะเย้ยหยัน “โอ้ ฮีโร่ผู้ไม่กลัวตายมาช่วยสาวงามแล้วแหะ”
ซิดวิ่งเข้ามา พร้อมกับขยิบตาให้พวกเขาและส่งเสียงตะคอกออกไป “ไสหัวไปซะ”
พวกอันธพาลไม่เข้าใจ คน ๆ นี้เป็นใคร ทำอย่างกับว่าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขา
ซิดยืนบังซูโย่วอี๋ “ไม่ต้องกลัวนะครับ”
ชายหัวล้านดูจะไม่พอใจ “รู้จักที่ของตัวเองซะบ้าง รีบไป…”
ยังไม่ทันพูดจบ เสียงต่ำ ๆ ของซูโย่วอี๋ก็ถามขึ้น “คุณสู้ได้กี่คน?”
ซิด “?”
พวกอันธพาล “???”
เขาตอบกลับ “มากสุดก็สองคน”
ซูโย่วอี๋เลือกคนที่อยู่ทางซ้ายสุดและคนที่อยู่ทางขวาสุดในทันที “สองคนนั้นฉันให้คุณ ที่เหลือฉันจัดการเอง”
ซิด “หืม?”
ฟังดูแล้วไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไหร่เลยนะ
ชายหัวล้านรู้สึกโกรธ “ผู้หญิงอวดดีนี่มาจากไหนกัน”
ทันทีที่พูดจบ หว่างขาของเขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ชายหัวล้านเอามือกุมเป้าของตัวเอง อ้าปากกว้างแต่ก็ไม่มีเสียงร้องออกมา
ท่าทางดูเจ็บปวดมาก
เหล่าอันธพาลตอบสนองกลับทันที พวกเขาพุ่งเข้าใส่ผู้หญิงที่ดูเย็นชาคนนั้น
ซิดดึงหนึ่งในนั้นเอาไว้ได้ ที่เหลืออีกสามคนพุ่งเข้าใส่ซูโย่วอี๋
ซิดอยากจัดการคนพวกนี้และรีบเข้าไปช่วยเธอ แต่ทันใดนั้นก็เห็นผู้หญิงข้าง ๆ จัดการกับอีกสามคน
อย่างรวดเร็ว…
ไม่นานทั้งสามคนล้มลงไปนอนคร่ำครวญอยู่ที่พื้น
ซิดมองดูภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง
ซูโย่วอี๋มองมายังเขาด้วยดวงตาอันเฉียบคม เหมือนเป็นคนละคนกับตอนปกติที่มักจะอ่อนโยน
เธอก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วและเตะชายหัวล้านที่กำลังแอบเข้ามาโจมตี
“อาจารย์ผู้ช่วย”
“ตอนมีเรื่องชกต่อยไม่ควรเหม่อลอยนะ…”
ทั่วทั้งร่างกายของเธอเผยให้เห็นความน่าเกรงขามเล็กน้อย
ซิดจับจ้องไปยังใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมจนแทบหายใจไม่ออก
แชคเห็นการต่อสู้นี้ทั้งหมด เขารอจนจบลงจึงเดินเข้ามา “ซิด นายรู้หรือเปล่าว่าอีกนิดเดียวนายจะถูกชายหัวล้านนั่นแทงอยู่แล้ว”
ยังดีที่ซูโย่วอี๋มือไวเท้าไว
เขามองไปยังซูโย่วอี๋ด้วยสายตายอมรับ “คุณเท่มากเลย”
“คุณจัดการพวกมันอยู่ฝ่ายเดียวเลยนะ”
ซูโย่วอี๋กลับมาเป็นปกติ เธอเดินเข้าไปหาชายหัวล้านและพูดคำถามเดิมในตอนแรกอีกครั้ง “ทำไมถึงมาหาเรื่องฉัน?”
ชายหัวล้านไม่พูด
“ไม่พูดงั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่พูด งั้นฉันจะจัดการแกเอง”