Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 52 อยู่ ๆ ก็ได้เป็นเซนเตอร์
บทที่ 52 อยู่ ๆ ก็ได้เป็นเซนเตอร์
บทที่ 52 อยู่ ๆ ก็ได้เป็นเซนเตอร์
“เมื่อเวลา 12:00 น. ของคืนที่ผ่านมา เด็กฝึกที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้งเจ็ดคนได้กลายเป็นลีดเดอร์ของเพลงทั้งเจ็ดโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ขอเชิญอวี๋ชิงจ้าว เด็กฝึกที่ได้รับความนิยมสูงสุดมาเลือกเพลงการแสดงของคุณบนเวทีด้วย”
อวี๋ชิงจ้าวไปที่เพลง ‘yes or yes’
ฉูรั่วฮวนเลือกเพลง ‘dumb dumb’
ด้านซูโย่วอี๋ที่ลังเลระหว่างสามเพลงก็ตัดสินใจได้ และเลือก ‘รองเท้าส้นสูงสีแดง’
เธอชอบเพลงนี้มาก และต้องการแสดงมันในแบบของเธอเอง
ในไม่ช้าหัวหน้าทีมทั้งเจ็ดก็เลือกเพลงที่ต้องแสดงเสร็จแล้ว
ฮันเอินจีหยิบไมโครโฟนขึ้นและประกาศ “ลีดเดอร์ทุกคน โปรดเลือกสมาชิกในทีมของคุณ”
นอกจากการได้รับเลือกเป็นหัวหน้าทีมด้วยอันดับความนิยมสูงสุดแล้ว อวี๋ชิงจ้าวก็ยังมีสายตาที่เฉียบคมมาก เธอเลือกนักเต้นที่ดีที่สุดจากเด็กฝึกที่เหลือไปเกือบหมด ต่างจากฉูรั่วฮวนที่ดูเฉยเมย เพราะไม่ว่ายังไง เธอก็ต้องเป็นคนที่เด่นที่สุดในทีม ความแตกต่างระหว่างสมาชิกในทีมสามารถสะท้อนตัวตนของเธอได้ดีกว่า
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับซูโย่วอี๋ แต่ติดปัญหาคือฉูรั่วฮวนเลือกเฉินซีซีไปอยู่ในทีมด้วย
ถึงเฉินซีซีจะเต้นเก่งมาก แต่ซูโย่วอี๋ก็รู้สึกได้ว่าฉูรั่วฮวนมีแผนบางอย่างในใจ
เมื่อถึงตาซูโย่วอี๋ เธอมุ่งเน้นไปที่การเลือกเด็กฝึกที่มีเสียงร้องที่แข็งแกร่งและมีสไตล์การร้องเพลงเป็นของตัวเอง โดยไม่ได้สนใจการเต้น การแรป แม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาและความนิยมมาก เพราะตัวเลือกหลายคนของเธอเป็นเด็กฝึกในคลาสล่าง ๆ อย่าง คลาส C หรือแม้กระทั่ง คลาส D
[ทำไมฉันไม่เข้าใจการเลือกของโย่วโย่วเลย]
[ไม่มีหลินเจี้ยนจากคลาส B เหรอ]
[เอ๊ะ นี่คือการแข่งขัน อย่าถามโง่ ๆ แบบนั้นได้ไหม ต้องเลือกคนที่สนิทกันอย่างเดียวหรือไง? ไม่ใช่รายการการกุศลนะ]
[กระต่ายขาวตัวน้อยกับโย่วโย่วต้องพลัดพรากแล้ว]
[โย่วโย่วเลือกเด็กฝึกที่ร้องเพลงดี ไม่เคยมีฉากแบบนี้มาก่อน ฉันจะติดตามโย่วโย่วอย่างใกล้ชิด]
[ตั้งหน้าตั้งตารอดูเพลง ‘รองเท้าส้นสูงสีแดง’ ฉันจะรีบซื้อตั๋วเข้าไปดูเลย]
เฉินซีซียืนอยู่ในแถวของฉูรั่วฮวน เธอยื่นมือออกอย่างหงอย ๆ ไปดึงชายเสื้อของซูโย่วอี๋ และเรียกพี่สาวอย่างเศร้าสร้อย “พี่สาว…”
ซูโย่วอี๋หันหลังกลับไปมอง และบังเอิญไปสบกับสายตาเย็นชาของฉูรั่วฮวนซึ่งเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
ซูโย่วอี๋ลูบมือของเฉินซีซีเบา ๆ และส่งสัญญาณให้เธอปล่อยมือ
ฉากนี้ถูกกล้องถ่ายไว้โดยไม่คาดคิด
[อา อา กระต่ายขาวตัวน้อยของฉันดูทำอะไรไม่ถูก]
[ได้โปรด อย่าแยกทั้งสองคนออกจากกันเลย]
[น่าสงสารจัง ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย]
[น้องสาว ฉันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน]
[ฉันรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าทุกคนคิดผิด]
[ชูธงของเมืองซู (ซู) (เฉิน)*[1] ให้สูง]
ซูโย่วอี๋ใช้โอกาสนี้มองย้อนกลับไปที่สมาชิกในทีมที่อยู่ข้างหลังเธอ เธอมองพวกเขาทีละคน และสมาชิกในทีมก็มองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย
ราวกับว่าจะเป็นลูกสุนัขที่กระตือรือร้นรอให้เจ้าของสัมผัส
ซูโย่วอี๋รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ในไม่ช้าการเลือกก็จบลง และฮันเอินจีก็บอกพวกเขาว่าให้ไปห้องซ้อมได้แล้ว
สมาชิกในทีมตามหัวหน้าทีมไปยังห้องฝึกซ้อม
ทีมของซูโย่วอี๋ประกอบด้วยสมาชิกเจ็ดคน โดยทั้งหกคนเดินตามหลังเธออย่างเรียบร้อย
เมื่อไหร่ก็ตามที่ ซูโย่วอี๋หยุด พวกเขาจะหยุดทันที และไม่มีใครเดินนำหน้าเธอ
เธอควรรู้สึกอย่างไรกับการเป็นหัวหน้าทีม?
ซูโย่วอี๋หันกลับมาและพูดกับพวกเธอว่า “พวกเธอไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้”
สมาชิกในทีมส่ายหัว “เชิญนำเลย”
“เราไม่เป็นไร”
“ใช่ค่ะ คุณไปก่อนเเลย”
หืม?
คุณ?
ซูโย่วอี๋สงสัยว่าเธอแก่กว่าพวกเขากี่ปีกัน ถึงเรียกเธอว่าคุณ?
[ฮ่าฮ่าฮ่า ความเคารพจากสมาชิกในทีม]
[คำชื่นชมของสมาชิกในทีม]
[หญิงสาวอายุยี่สิบสี่ปีที่ถูกเรียกว่า ‘คุณ’]
[มีอะไรแปลก? กระต่ายน้อยก็เคยบอกว่าเธอเหมือนแม่นี่ (อิอิ)]
[ความตลกที่อธิบายไม่ได้]
[ฉันคิดว่าทีมนี้จะน่าสนใจมาก]
[อายจนไม่กล้ามอง]
โชคดีที่ทีมของเธอมาถึงห้องซ้อมเร็ว ซูโย่วอี๋จึงไม่ต้องทนอายนานเท่าไหร่
ในห้อง มีเนื้อเพลงและโน้ตเพลงวางเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เธอหยิบมันขึ้นมาแจกจ่ายให้ทุกคน สมาชิกในทีมโค้งคำนับเมื่อพวกเธอรับกระดาษ
เห็นอย่างนั้น มือของซูโย่วอี๋ก็ชะงักค้างในอากาศอยู่ครู่หนึ่ง
[ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กกลุ่มนี้คงไม่ชินสินะ]
[พวกเธอมาจากโรงเรียนสอนมารยาทเหรอ สุภาพจัง]
[ทำให้ฉันนึกถึงระบบที่เข้มงวดของเด็กฝึกในบางประเทศ]
[ปกติแล้วคนหนุ่มสาวไม่ใช่แบบนี้นะ]
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วตั้งแต่เริ่มต้น สมาชิกในทีมปฏิบัติต่อเธออย่างสุภาพ หากยังเป็นอย่างนี้อยู่อีก ไม่กี่วันข้างหน้า พวกเธอจะซ้อมทันเหรอ?
ซูโย่วอี๋จึงกระแอมและพูดว่า “ถือซะว่า เราเป็นเพื่อนกัน เธอปฏิบัติต่อฉันในฐานะเพื่อนก็ได้ ทำตัวตามสบาย ๆ ไม่ต้องเดินตามหลังหรือมาคำนับ ฉันคงทนไม่ได้”
หลังจากที่สมาชิกในทีมสบตากัน ชุ่ยเชียนต้งเด็กฝึกหมายเลข 33 ก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ลีดเดอร์ พวกเราทั้งหกคนเป็นแฟนคลับของคุณ การที่เราได้มาร่วมทีมกับคุณแบบนี้มันทำให้เราดีใจมากค่ะ”
!!!
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้วมุ่น มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า?
“อืม ไม่จำเป็นหรอก ยังไงเราก็ต้องเรียนรู้จากกันและกันนะ”
สมาชิกในทีมพูดอย่างถ่อมตัวว่า “แต่ฉันต้องการเรียนรู้จากคุณค่ะ”
คนเจ็ดคนนั่งเป็นวงกลม ซูโย่วอี๋ที่เป็นหัวหน้าทีมครั้งแรกก็ไม่รู้วิธีการจัดการทีมเลยสักนิด
แต่สมาชิกในทีมมองเธอด้วยความมั่นใจ แต่ซูโย่วอี๋ทำได้เพียงพูดด้วยใบหน้าที่แข็งทื่อ “ในเมื่อเราเป็นทีมกันแล้ว”
สมาชิกในทีมพยักหน้าและรอด้วยตาเบิกกว้าง
“มาพยายามด้วยกันนะ”
แล้วไงต่อ?
หลังจากรอเป็นเวลานาน สมาชิกในทีมพบว่าหัวหน้าทีมของพวกเธอไม่ยอมพูดอะไรต่อ และหยิบเนื้อเพลงขึ้นมาเพื่อฝึกซ้อม
พวกเขามองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
ชุ่ยเชียนต้งพูดอย่างกล้าหาญ “ลีดเดอร์ เราควรจะแบ่งท่อนร้องให้ทุกคนก่อน แล้วค่อยเลือกตำแหน่งเซนเตอร์”
ตำแหน่งเซนเตอร์ หมายถึงตัวแทนจิตวิญญาณของเพลง ทำหน้าที่เป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของการแสดง สามารถถ่ายทอดเพลงได้อย่างดีเยี่ยมและเด่นที่สุดเมื่ออยู่บนเวที สำหรับคนที่ไม่ได้ความนิยมมากนัก การได้ตำแหน่งเซนเตอร์ แทบจะเป็นโอกาสสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอ
ดังนั้นตำแหน่งเซนเตอร์จึงเป็นที่ต้องการของทุกคน
ซูโย่วอี๋คิดอยู่พักหนึ่ง นี่คือเพลงที่ต้องแสดงเป็นทีม การแสดงจะดีหรือไม่ดีนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับทุกคน จะต้องเข้าใจจุดแข็งของทุกคนและเลือกตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดให้พวกเขา
สำหรับตำแหน่งเซนเตอร์นั้น เป็นเรื่องปกติที่คนที่ได้ตำแหน่งนี้จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถที่สุด
ดังนั้น เธอจึงมองไปที่สมาชิกในทีมอย่างจริงจัง “เราต้องเลือกเซนเตอร์ก่อน มีใครอยากเป็นเซนเตอร์บ้างไหม?”
สมาชิกในทีมส่ายหัว
ชุ่ยเชียนต้งมองไปที่เธอและพูดขึ้นอย่างมั่นใจว่า “เราทุกคนคิดว่าคุณควรเป็นเซนเตอร์ของทีมค่ะ”
สมาชิกในทีมที่เหลือก็แอบให้กำลังใจเธอ
เป็นเพราะหัวหน้าทีมของพวกเธอยังไม่คุ้นเคยกับกระบวนการนี้ ดังนั้นพวกเธอต้องสนับสนุนอย่างเต็มที่
ซูโย่วอี๋ขมวดคิ้ว “อย่ามาพูดเล่น”
[อ่า นี่มันเซนเตอร์ในตำนานชัด ๆ!]
[ทีมอื่นแย่งกันเลือดตาแทบกระเด็น แต่ทีมนี้สามัคคีกันเกินไปแล้ว!]
[ฉันต้องการที่จะติดตามคุณไปตลอดชีวิต!]
[หมายความว่ายังไง หมายความว่าทีมนี้ยังเด็กเกินไปที่จะแข่งขันยังไงล่ะ!]
[ฮ่าฮ่าฮ่า สาวน้อย เธอไม่รู้ความสามารถของตัวเองเหรอ?]
[สมาชิกในทีม: ฉันเต็มใจที่จะเป็นคนตาบอด อย่ายื้อฉันไว้!]
[1] เฉิน แปลว่า เมือง เพราะฉะนั้น ซูเฉิน ที่มาจากชื่อของซูโย่วอี๋กับเฉินซีซี จึงเรียกว่า เมืองซู