Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว - บทที่ 53 หัวใจที่ถูกเหยียบย่ำเป็นผุยผง
บทที่ 53 หัวใจที่ถูกเหยียบย่ำเป็นผุยผง
บทที่ 53 หัวใจที่ถูกเหยียบย่ำเป็นผุยผง
“ลีดเดอร์ เราทุกคนรู้ถึงความสามารถของคุณดีค่ะ”
“ใช่ คุณคู่ควรกับตำแหน่งเซนเตอร์”
“เพื่อชัยชนะของทีมเรา จะต้องมีคุณเป็นเซนเตอร์”
“ใช่ ๆ เราเห็นด้วย”
ซูโย่วอี๋ไม่ใช่คนดื้อดึง เธอจึงพูดตอบกลับไปว่า “ถ้าเลือกตำแหน่งเซนเตอร์ได้แล้ว ต่อมาแบ่งท่อนร้องกัน พวกเธอเลือกก่อนได้เลยนะ ถ้าอยากจะร้องท่อนไหน”
พวกเธอถูกเลือกโดยซูโย่วอี๋ และเธอก็ไม่รู้ว่าทุกคนต้องการร้องเพลงนี้จริง ๆ หรือเปล่า ดังนั้น ซูโย่วอี๋จึงต้องการที่จะรับฟังความคิดเห็นของพวกเธอให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เด็กสาวตัวน้อยก็ยกมือขึ้นอย่างสั่นเทาและพูดเสียงเบาว่า “ลีดเดอร์ ฉันไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อน และก็ร้องเพลงนี้ไม่ได้ด้วยค่ะ”
เด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีกคนหนึ่งก็พูดเสริมว่า “ฉันก็ไม่เคยได้ยินเพลงนี้เหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้นทุกคนลองฟังเพลงนี้ก่อน แล้วเลือกท่อนที่โดนใจที่สุด ทำเครื่องหมายย่อหน้าที่ชื่นชอบไว้ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเราค่อยมาดูกัน”
ทันใดนั้น ชุ่ยเชียนต้งก็มองเธออย่างมีความหวัง “ลีดเดอร์ คุณช่วยร้องเพลงนี้ให้เราฟังก่อนได้ไหมคะ?”
ซูโย่วอี๋ตกตะลึงเธอเพิ่งเคยฟังเพลงนี้ในสตูดิโอนี่เอง จากประสบการณ์ที่ผ่านมาร้องท่อนฮุคน่าจะโอเคแต่ร้องทั้งเพลงคงไม่ได้แน่
อีกทั้งเธอยังไม่ได้อ่านเนื้อร้องเลย
ซูโย่วอี๋ต้องการที่จะบอกความจริงกับพวกเธอ แต่สมาชิกในทีมต่างมองมาที่เธออย่างกระตือรือร้น ซูโย่วอี๋จึงรู้สึกถึงความสำคัญของหัวหน้าทีมเป็นครั้งแรก
ไม่นาน เธอก็ยิ้มออกมา “ก็ได้ แต่ฉันจะร้องแค่ท่อนฮุคนะ ส่วนท่อนอื่นฉันยังจำเนื้อไม่ได้”
ดวงตาของสมาชิกในทีมเป็นประกายขึ้นมา
ว้าว หัวหน้าทีมนี่สุดยอดจริง ๆ
เธอเลือกร้องท่อนที่ยากที่สุดตั้งแต่แรกเลย
เสียงชื่นชมลอยมาที่ข้างหู
ทุกคนนั่งเรียงแถวกันรอฟังเพลง
ดวงตาของซูโย่วอี๋จดจ้องไปที่ท่อนฮุคในแผ่นเนื้อเพลง และริมฝีปากของเธอก็อ้าขึ้น
“หน้าตาผู้คนที่คุ้นเคย”
“คนบนเวทีร้องเพลงด้วยความทุกข์ที่ต้องพรากจากกัน”
“ยากที่จะเปล่งเสียง”
“ต้องกระอักเลือดออกมาเพื่อร้องเพลง”
…
สมาชิกในทีมทุกคนต่างตกตะลึงและประหลาดใจ
ก่อนฟังหัวหน้าทีมร้องเพลง เสียงที่ออกมาจากไมโครโฟนมักจะผิดเพี้ยนไปเสมอ
ตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งฟังซูโย่วอี๋ และเสียงร้องเพลงก็ก้องอยู่ในหู ด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมและพลังที่ซึมผ่านไปยังก้นบึ้งของจิตใจทำให้พวกเธอร้องไห้ออกมา
ซูโย่วอี๋หยุดร้องและถามขึ้น “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ชุ่ยเชียนต้งร้องไห้และพูดตอบกลับเธอว่า “ลีดเดอร์ การร้องเพลงของคุณมันเศร้าเกินไป ฉันเกือบจะคิดว่าตัวเองเกิดในยุคสงครามและกำลังจะตายไปพร้อมกับพวกทหารญี่ปุ่น”
ด้านชาวเน็ตก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้อง
[ร้องเพลงดี แต่คราวหน้าอย่าร้องนะ ใจฉันทนไม่ไหว]
[ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเศร้ามากที่ต้องร้องเพลงนี้]
[ขนลุกจนน้ำตานองหน้า]
[เธอต้องจ่ายค่าแต่งหน้าให้ฉัน]
[ฉันเป็นผู้ชายนะ แต่ฉันก็ทนไม่ไหวแล้ว!]
[เราไม่มีทางที่จะให้อภัยผู้ที่ทำร้ายประเทศของเรา เพื่อเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษของเรา]
ซูโย่วอี๋ไม่ได้ตั้งใจร้องเพลงจนทำให้พวกเธอร้องไห้ “เช็ดน้ำตาซะ ฉันจะไปหาอาจารย์เพื่อเอาเพลงต้นฉบับมา เธอควรจะฟังมันให้ชิน แล้วค่อยแบ่งท่อนกัน อย่างช้าที่สุดก็ในวันนี้นะ”
เมื่อซูโย่วอี๋จากไป สมาชิกในทีมที่เหลือยังคงดื่มด่ำกับเพลงและจ้องหน้ากัน
“เธอควรแต่งหน้าใหม่”
“อายไลเนอร์ของเธอก็เลอะเหมือนกัน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แต่ตอนนี้เธอดูตลกมากเลยนะ”
“เธอไม่ดูตัวเองเลยเหรอ?”
เมื่อไม่มีซูโย่วอี๋ หลายคนก็กลับมาร่าเริงและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง จากนั้นจึงแยกไปที่มุมห้องเพื่อเติมหน้า
ซูโย่วอี๋ที่เพิ่งออกไป ก็เจอเข้ากับจงลี่
เธอยืนตรงทันทีและตะโกนด้วยความเคารพว่า “อาจารย์จง สวัสดีค่ะ”
จงลี่ยิ้มอย่างใจดี “เธอจะไปไหนกัน?”
“ไปหาทีมงานรายการค่ะ ไปขอไฟล์เพลงต้นฉบับ ‘รองเท้าส้นสูงสีแดง’”
จงลี่พยักหน้า “งั้นก็ไม่มีอะไรมาก ถ้าอย่างนั้นเธอมากับฉันดีกว่า มีอะไรจะพูดกับเธออยู่พอดี”
หลังจากนั้น เขามองไปที่ตากล้องที่ติดตามซูโย่วอี๋
พี่ชายตากล้องก็เข้าใจทันทีและเดินออกไปห่าง ๆ พวกเขา
ซูโย่วอี๋ตามจงลี่ไปที่มุมทางเดินและหลีกเลี่ยงไม่ให้กล้องจับภาพได้อย่างชัดเจน
“มีอะไรเหรอคะอาจารย์จง?”
จงลี่ถูนิ้วของเขาโดยไม่รู้ตัว “โย่วอี๋ ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ฉันก็ยังตัดสินใจที่จะบอกเธอ”
“มันเป็นเรื่องของคุณยายที่บ้านพักคนชราน่ะ”
เรื่องที่คุณยายล้มก็เรียบร้อยดีแล้วไม่ใช่เหรอ?
คุณยายยอมรับว่าเธอหกล้มโดยไม่ตั้งใจ และทางรายการก็ได้ทำการให้การรักษาที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อรายการและบ้านพักคนชรา
แต่ถึงอย่างนั้นซูโย่วอี๋ก็มองไปที่จงลี่และตั้งใจฟัง “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ฉันสังเกตเธอมาหลายวันแล้ว ถึงภายนอกเธอจะดูเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนจิตใจดีและเรียบง่ายมาก”
“แต่โลกนี้มันไม่เป็นแบบนั้น”
จู่ ๆ ซูโย่วอี๋ก็จำสิ่งที่ลู่เฉินพูดกับเธอได้ โลกนี้ซับซ้อนมาก
คำพูดของจงลี่ก็คล้ายกับลู่เฉิน
ทำไมจู่ ๆ เขาถึงบอกเธอแบบนี้?
มันเกี่ยวอะไรกับการล้มของคุณยาย?
จงลี่ลดเสียงลง “ปกติฉันไม่ค่อยพูดอะไรมาก แต่จำไว้ว่าคุณลู่ไม่ได้ดีอย่างหน้าตา เธอควรรู้ว่าต้องทำอย่างไร?”
ซูโย่วอี๋ไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกับลู่เฉิน?
เขาทำอะไรกับเธอ
จงลี่มองดูท่าทางที่งุนงงของซูโย่วอี๋ และต้องพูดให้เธอเข้าใจขึ้นว่า “ตอนแรกลู่เฉินไม่ได้พูดอะไรเลยในห้องประชุม เธอคิดว่าเขาไม่รู้ว่าใครผลักคุณยายเหรอ? ตระกูลฉูและตระกูลฮัน ตระกูลใหญ่เหล่านั้นต่างฝังรากลึกในปักกิ่งและแม้แต่ในประเทศจีน”
“ลองคิดดูสิ ทำไมเขาถึงปล่อยให้เธอเข้าไปฟังเรื่องอย่างนี้ในห้องด้วยล่ะ คนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างเธอ”
“เขาใช้คุณเป็นเครื่องมือ เพื่อพูดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะพูด และเพื่อให้การแก้ปัญหาไม่ทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจ”
หลังจากที่จงลี่จากไป ซูโย่วอี๋ก็ยืนอยู่คนเดียวและคำพูดของจงลี่ก็ดังก้องในหัวของเธอ ลู่เฉินเป็นคนแบบนี้จริง ๆ เหรอ?
แล้วทำไมเขาถึงให้เธอเข้าไปในห้องประชุม ฟังกระบวนการสอบสวนเรื่องใหญ่โตแบบนี้
ทำไมเขาถึงถามเธอว่าเธอคิดอย่างไรต่อหน้าผู้คนมากมาย
แล้วทำไมเมื่ออาจารย์จงและผู้อำนวยการกลับมา เขาถึงเตือนให้เธอเห็นเรื่องเสื้อแขนยาว?
ทำไมลู่เฉินถึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเธอและเดินจากไปเมื่อเธอต้องการบอกข้อสันนิษฐานของเธอ?
ใช่
เขาวางแผนไว้ทุกอย่างแล้ว
ลู่เฉินรู้ว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินเจี้ยน หากมีวิธีใดที่จะช่วยให้หลินเจี้ยนพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ เธอต้องพูดอย่างแน่นอน
ด้วยวิธีนี้มันไม่แปลกเลย
ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ที่เขาทำดีต่อเธอเป็นเพียงหนึ่งในแผนการของเขาสินะ
ซูโย่วอี๋ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยหัวใจที่ถูกเหยียบย่ำเป็นผุยผง
เธอทั้งผิดหวังและอับอาย
เมื่อกลับถึงห้องซ้อมเจ้าหน้าที่ก็ได้ส่งไฟล์เพลงมาให้แล้ว สมาชิกในทีมต่างก็กำลังฝึกซ้อมกับเพลงต้นฉบับ เมื่อเห็นว่าเธอดูไม่ค่อยดี พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแอบคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้น
ซูโย่วอี๋นั่งลงอย่างเงียบ ๆ และปลอบโยนตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างลู่เฉินกับเธอก็เป็นเพียงเจ้านายและลูกน้องที่มีสัญญาจ้างชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับความรู้สึกของเธอ
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็น่ารำคาญจริง ๆ…
หลังจากจัดการกับอารมณ์ตนเองได้แล้ว ซูโย่วอี๋ก็เริ่มซ้อมกับทุกคน
เมื่อถึงเวลาอาหาร สมาชิกในทีมและแฟนคลับเห็นว่าซูโย่วอี๋มักทำอาหารกินเอง พวกเธอจึงไปที่โรงอาหารหลังจากบอกลาหัวหน้าทีมของพวกเธอ