Undefeated God of War ยอดยุทธไร้เทียมทาน - ตอนที่ 626 บันทึกประจำวัน
ตอนที่ 626 บันทึกประจำวัน
ปิงลอยตัวอยู่ในท้องฟ้ากำลังสูบบุหรี่โดยไม่สนใจอะไรในโลก การสู้รบข้างล่างที่ก่อให้เกิดควันและไฟฟุ้งขึ้นไม่ได้ทำให้เขากระพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว
เขาจงใจเปิดช่องว่างทั้งสามเอาไว้ซึ่งเป็นพื้นที่ให้ทั้งสามคนได้สู้ศึก ป้อมไพรกระบี่กลายเป็นเมืองสมบัติไปแล้วเกราะได้ผ่านการปรับแต่งพลังงานมาตลอดเวลาและได้เสริมความแข็งแกร่ง
พลังงานทั้งหมดรอบๆ เมืองสมบัติถูกควบคุมโดยป้อมไพรกระบี่ ดังนั้นการป้องกันของป้อมจึงมีการพัฒนาไปมาก
เหตุผลที่สิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคาไม่ได้ผ่านเจอสงครามใดๆก็เป็นเพราะรูปแบบของเมืองสมบัติ
นี่เป็นครั้งแรกที่ระบบป้องกันของสวรรค์วิถีใช้ปะทะสู้กับกองทัพของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์
เมื่อเข้าสู่ป้อมไพรกระบี่ปู้จื้อเฟยรู้สึกได้ว่าบางอย่างแปลกประหลาด กระแสของพลังงานภายในนั้นแปลกประหลาด ‘ดูเหมือนว่าป้อมปราการนี้จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แปลกประหลาด’ เขาตั้งใจจะศึกษาดูหลังจากเข้ายึดป้อม
เขาอยากรู้เรื่องของป้อมปราการรบมาก
แม้ว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ แต่ปู้จื้อเฟยไม่คิดว่าศัตรูจะโต้ตอบได้ กำลังพลของพวกเขาถูกกวาดไปหมดแล้ว เหมือนกับพ่อครัวเขาใช้ส่วนผสมปรุงอาหารไปหมดแล้ว แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงเป็นมากกว่าพ่อครัวฝีมือดี เขาสามารถปรุงอาหารอร่อยได้มากมาย และสัมผัสได้ถึงส่วนผสมทุกประเภท แต่ถ้าไม่มีส่วนผสม เขาได้แต่ยืนอยู่กับที่ทำอะไรไม่ได้
หลังจากยอมเสียสละกองทัพกล้าตายไปสองกองพลแล้ว พลังงานของฝ่ายตรงข้ามหมดเกลี้ยง ถ้าพวกเขายังมีการเตรียมตัวใดๆพวกเขาคงจะไม่ดูม่านพลังถูกทำลายลงเป็นแน่ การทำลายม่านพลังก็หมายความว่าศัตรูมาได้สุดเส้นทางแล้ว
ปู้จื้อเฟยชื่นชมผู้นำของป้อมปราการ เขาสามารถเอาไพ่แย่ๆ มาเล่นได้ แต่ก็ยังสามารถทำในสิ่งที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบถ้าเป็นตัวเขาเอง เขาคงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่หนักขึ้นเป็นแน่
พวกเขาไม่พบกับการต่อต้านใดๆ ปู้จื้อเฟยไม่ได้สับสนกับป้อมที่มั่น ‘ใจกลางของป้อมปราการนี้ต้องเป็นที่มั่นใหญ่แน่นอน ตราบใดที่เราพิชิตที่นั่นได้ เราจะปราบป้อมนี้ได้อย่างสิ้นเชิง และศัตรูต้องรวบรวมพลังเต็มที่ครั้งสุดท้ายที่ฐานใหญ่และดิ้นรนพยายามครั้งสุดท้าย’
ทันใดนั้นเสียงสั่นสะเทือนกัมปนาทดังอยู่ข้างหน้าพวกเขา และความเร็วของกองทัพตกลงทันที
ข้างหน้า มีร่างสูงใหญ่สีแดงยืนขวางทางพวกเขา
เกราะเพลิงกับกระบี่ที่งดงามเข้ากันคล้ายกับภูผาตระหง่าน
ด้วยเหตุผลบางอย่างมีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของปู้จื้อเฟย หนึ่งคนต้านพันคน
แต่เขาอดหัวเราะไม่ได้ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยที่เขาคิดเรื่องไม่ดีอย่างนั้น ‘บุรุษคนนั้นน่าจะเป็นไม้ตายสุดท้ายที่พวกเขาจะเล่นได้’ แต่ในสายตาของปู้จื้อเฟย ฉากภาพต่อหน้าเขาก็คือภาพการต่อสู้กับสัตว์ร้าย
ปู้จื้อเฟยไม่เคยดูถูกการใช้ยอดฝีมือ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ใช้ความพยายามมากมายสร้างทัพหน้าทะลวงฟันของเขาเป็นแน่ ยอดฝีมือที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีและควบคุมไม่ได้ทั้งหมดก็เป็นเหมือนกับมีดคมบาง เมื่อใช้ได้ดีพวกเขาพิสูจน์ได้แล้วว่ามีประสิทธิภาพ แต่ถ้าปะทะตรงๆ พวกเขาอ่อนแอสามารถแตกสลายเป็นชิ้นๆ ได้
“ตะลุยใส่เขาเลย!”
ปู้จื้อเฟยตัดสินใจ ที่ซึ่งพวกเขาอยู่ เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และพวกเขาไม่อาจปล่อยให้คู่ต่อสู้ฟื้นฟูพลังได้ ฝ่ายตรงข้ามส่งยอดฝีมืออกมาเป้าหมายก็คือถ่วงเวลาไม่ให้พวกเขาก้าวหน้าต่อไปและให้โอกาสทหารที่อยู่ในป้อมได้มีเวลาฟื้นฟู
ฝ่ายตรงข้ามชูกระบี่ในมือของเขา
ช่วงเวลาต่อมา ปู้จื้อเฟยถึงกับสีหน้าเปลี่ยน มวลพลังงานที่เหมือนกับคลื่นลูกใหญ่ทะลักใส่กระบี่ใหญ่ที่ถูกชูขึ้นไว้แล้ว
กระบี่ดื่มเลือดเซียนสั่นสะท้าน กระบี่ที่สลัวพลันเปล่งแสงสีแดงเจิดจ้า พลังงานที่อยู่ตรงปลายกระบี่ถูกย้อมเป็นสีแดงและคลุมไปทั้งตัวจิ่งหาวและเปลี่ยนสภาพเป็นวังวนสีแดงขนาดมหึมา พลังงานรอบตัวจิ่งหาวน่ากลัวเกินไป เนื่องจากความเข้มข้นของพลังงานสูงเกิน มันถูกเปลี่ยนเป็นสภาพคล้ายลาวาหลอมเหลว พายุพลังงานสีแดงฉานทำให้ทุกคนขนลุกชัน
“ระวัง!”
ปู้จื้อเฟยซึ่งมีท่าทางสีหน้าแปลกประหลาดขณะพูดในตอนที่กระบี่ดื่มเลือดเซียนในมือของจิ่งหาวฟันลงทันที!
พลังงานสีแดงที่น่าเคลิบเคลิ้มเป็นเหมือนเขื่อนแตกทะลักพุ่งไปข้างหน้า คลื่นพลังงานสีแดงกระหน่ำใส่ขณะที่ผู้คนกรีดร้องลอยละลิ่วไปตามถนนกระแทกทุกอย่างที่ขวางทาง
ในวินาทีแรกที่ปู้จื้อเฟยใส่ม่านพลังงานของเขา แต่ยังสายไปหนึ่งก้าวทหารสองสามคนแรกข้างหน้าถูกคลื่นสีแดงกลืนเข้าไปทันที
คลื่นสีแดงยังคงกระแทกใส่ม่านพลังงานของกองทัพ
แคล้ง!
หน้าของปู้จื้อเฟยกลายเป็นสีแดง ทหารรอบๆตัวของเขาเซไปมาราวกับว่าเมามายกันทั้งหมด
ม่านพลังงานแตกคลื่นพลังงานกระแทกใส่กระดูกพวกเขาเหมือนกับศิลากลิ้งใส่
ปู้จื้อเฟยถูกความตกใจครอบงำ ‘เป็นแบบนั้นไปได้ยังไง…คนๆ เดียวมีพลังขนาดนั้นได้ยังไง?’
สายเส้นพลังงานนับไม่ถ้วนลอยมาจากยอดปราสาทแหลมทำให้ดูเหมือนมีแม่น้ำหลายสายลอยอยู่ในท้องฟ้า ไหลไปไม่มีที่สิ้นสุด
ทันใดนั้นปู้จื้อเฟยคิดถึงความรับรู้แปลกประหลาดที่เขารู้สึกได้ สีหน้าของเขาถึงกับซีด ‘พลังงานป้อมปราการนี้สามารถควบคุมพลังงานได้!’
ปัง!
เสียงระเบิดสองครั้งดังขึ้น ในอีกสองตำแหน่งมีแสงรัศมีเจิดจ้าบินพุ่งออกมา พร้อมกับเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศทำให้หัวใจของปู้จื้อเฟยตกวูบมากกว่าเดิม
เขาไม่รู้ว่าใครออกแบบป้อมปราการรบนี้ แต่มันยืนยันข้อสันนิษฐานของเขา ป้อมปราการนี้พลิกคว่ำทฤษฎีของระบบป้อมปราการปัจจุบัน
สามารถควบคุมพลังงานในพื้นที่ได้ นี่คือลักษณะที่ดีที่สุดซึ่งสิ่งก่อสร้างป้องกันจะพึงมีได้
แต่ถ้าป้อมปราการนี้สามารถควบคุมพลังงานในพื้นที่ได้ อย่างนั้นป้อมปราการก็ย่อมจะเหนียวแน่นอย่างแน่นอน และไม่ใช่สิ่งที่กองพลกล้าตายทั้งสองกองพลจะสามารถทำลายได้
การคาดเดาผ่านแว่บเข้ามาในใจของเขาทั้งหมดทันใดนั้นเขารู้สึกหนาวเย็นตลอดขั้วกระดูกสันหลัง
‘เว้นแต่…เว้นแต่เป้าหมายของศัตรูเริ่มแรกไม่ใช่แค่หยุดพวกเขาไม่ให้ก้าวหน้าเข้ามา แต่เป็นทำลายกองพลที่เจ็ดทั้งหมด’
‘เป็นไปไม่ได้….’
‘ผู้บัญชาการของพวกเขาช่างบ้าระห่ำขนาดไหนสามารถคิดแผนเช่นนั้นออกมาได้?’
ด้านบนเหนือป้อมปราการหลัง ปิงนั่งขัดสมาธิ ปากยังคาบบุหรี่ที่มีแสงวูบวาบเพราะสายลม มือข้างหนึ่งเท้าคางขณะที่เขาทอดสายตากว้างไกลออกไป ราวกับว่าเขาอยู่ในอาการงุนงง เขาไม่เคยเก็บการต่อสู้ข้างล่างไว้ในใจ เป้าหมายแต่แรกเริ่มก็คือล้างผลาญและทำลายกองพลที่เจ็ด ท่านอาจกล่าวได้ว่ากองพลที่แปดเป็นจุดสนใจแรกของทวีปฝานซิงโจวและกองพลที่เจ็ดเป็นลำดับสอง
การสูญเสียสองกองทัพใหญ่ของพวกเขาเป็นจุดสำคัญ ทวีปฝานซิงโจวจะต้องตกอยู่ในความยุ่งยากครั้งใหญ่ในไม่ช้า พลังป้องกันตนเองของพวกเขาจะตกลงเป็นอย่างมากดังนั้นความมั่งคั่งใหญ่ของพวกเขาจะดึงดูดสายตาของฝ่ายอื่นเป็นธรรมดา ทวีปฝานซิงโจวจะตกอยู่ในสภาวะที่พูดไม่ออกในไม่ช้า
‘หลังจากใช้กองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านเป่ากวงหลอกล่อต่อสู้เป็นเวลานานมากเฮ้อ.. ทักษะหลอกล่อของข้าก็ไม่เลวเหมือนกัน’ ขีดจำกัดของกองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านเป่ากวงพังทลายเพราะปิง เขาสามารถคาดได้เลยว่าหลังจากผ่านการขัดเกลาในครั้งนี้ พลังของกองกำลังรักษาการณ์หมู่บ้านเป่ากวงจะทะยานขึ้นเป็นอย่างมาก
และสำหรับทั้งสามคน ก็เป็นโอกาสที่ยากจะหาด้วย พลังงานที่มาบรรจบอยู่รอบๆป้อมไพรกระบี่มีความหนาแน่นมากกว่าสิ่งที่ถังเทียนเคยมี และมากยิ่งกว่าเมืองสมบัติของสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคาทั้งหมดด้วย
พวกเขากำลังควบคุมพลังงานที่รุนแรง และด้วยอำนาจพลังงานที่มากเป็นประวัติการณ์นี่จะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง
‘สามารถขัดเกลากองทัพและได้รับชัยชนะ ข้าบรรลุเป้าหมายในทุกด้านแล้ว ข้าสมควรจะมีความสุข’
แต่เพราะเหตุผลบางประการความเดียวดายที่พูดไม่ออกกลับผุดขึ้นมาในใจของเขา
‘หรือว่าข้าว้าเหว่?’
ปิงหัวเราะเยาะตัวเอง ‘ก็แค่ชัยชนะง่ายๆ และข้ารู้สึกปลาบปลื้มเท่านั้น โอวพระเจ้า มาคิดดูแล้วสภาพใจที่โดดเดี่ยวที่โหยหาชัยชนะนี้ สภาพใจแบบนี้เหมาะสมที่สุดสำหรับขุนศึกที่มีชื่อเสียงอย่างข้า ถ้าผู้บัญชาการเห็นข้าเช่นนี้ เขาคงประหลาดใจแน่นอน’
ปิงเอียงคอและคิด เขารู้สึกว่าความคิดนี้ของเขาค่อนข้างมองโลกในแง่ดี ‘เขาคงตบข้าเสียมากกว่า และจากนั้นก็สอนบทเรียนข้า…“เจ้าหนู เจ้าภูมิใจกับความสำเร็จเท่านี้เองหรือ? เจ้าทำชื่อเสียงของข้าตกต่ำจริงๆ” ไร้สาระสิ้นดี’
รอยยิ้มฉายอยู่บางๆ บนใบหน้าของปิง
‘ถ้าข้าสามารถได้ฟังเขาสั่งสอน นั่นจะยอดเยี่ยมเพียงไหน…’
ปิงพ่นควันบุหรี่เป็นวง ทั้งที่ยังอยู่ในสภาพมึนงง
********
เชียนฮุ่ยอ่านออกเสียงเบาๆ อาคารไม่มีอะไร นอกจากบันทึกประจำวันบางส่วน
“ไฮน์เนอร์ วินเซนท์แสดงให้เห็นถึงระบบการใช้การ์ดสำนักนิกายโบราณและความสะดวกสบายรุ่งเรืองก่อนที่จะสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย คนที่เข้ารับตำแหน่งต่อคือคนที่สร้างระบบการ์ดในปัจจุบันนามว่าเฉินมู่ มันเกิดจากยุคที่เก่ากว่าโลเซนเบิร์กและได้รับการบำรุงดูแลและสนับสนุนจากสำนักนิกายโบราณ มันมีประสิทธิภาพมากทรงพลังมากและผลักดันการประยุกต์ใช้การ์ดให้ขึ้นสู่ระดับสุดยอด ระบบการ์ดในปัจจุบันเป็นเหมือนสัตว์ร้ายจอมละโมบขนาดมหึมากดขี่ข่มเหงจนมีสถานะจนถึงทุกวันนี้ คนรุ่นหลังไม่มีใครจำความรุ่งเรืองยุคโบราณของไฮน์เนอร์วินเซนท์และสถาบันฟ้าโบราณได้ อิทธิพลของเฉินมู่มีมากกว่าปรมาจารย์ในประวัติศาสตร์ทุกคน เบื้องหลังของเขาเปรียบเหมือนเงาขนาดใหญ่ เงาที่อยู่เหนือผู้เชี่ยวชาญเรื่องการ์ดรุ่นใหม่ทุกคน เขาคือความเจริญรุ่งเรือง แต่เขาใช้เวลา 200 ปีอย่างเศร้าโศก ไม่มีนวัตกรรมใหม่ที่จะมาล้มล้างความสำเร็จหรือการสร้างการ์ดอีก และการ์ดทั้งหมดที่ผู้เชี่ยวชาญผลิตออกมาก็ยังมีข้อสงสัย ระบบการ์ดมาถึงจุดสุดยอดจริงๆ หรือ?”
“….วันนี้อาจารย์กับข้าทะเลาะกัน ข้าพบประกายแห่งความหวังในสำนักนิกายโบราณในวันนี้ อาจารย์คิดว่าข้าบ้าไปแล้ว เขาเชื่อมั่นในเฉินมู่ ดังนั้นเราทะเลาะกันอย่างหนัก และข้าถูกไล่ออกจากสถานที่ผลิตการ์ด…”
“ข้าตัดสินใจค้นคว้าสำนักนิกายโบราณอีกครั้ง ข้ายืนยันความเชื่อว่าข้าจะพบคำตอบของข้าที่นั่น ข้าจะเดินตามรอยเท้าของไฮน์เนอร์วินเซนท์และค้นคว้าทุกอย่างที่เขาทิ้งไว้ให้…”
“ข้าต้องการตัวแปร ข้าแค่ต้องการตัวแปรอย่างเดียว และข้าจะสามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้…”
“…. นี่มันสถานที่บ้าอะไรกัน? มันแย่มากๆ…”
“….ฮ่าฮ่าอ่า นักเรียนใหม่ของเขาช่วยข้าหาตัวแปร! มันน่าอัศจรรย์มาก! จิตวิญญาณ,มันคือจิตวิญญาณจริงๆ, มีจิตวิญญาณที่นี่จริงๆ…”
“…ใช่แล้ว, มันคือการ์ดรูปแบบใหม่ แตกต่างไปจากการ์ดแบบดั้งเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องมีสื่อใดๆ ไม่จำเป็นต้องใช้การ์ดพลังงาน ไม่ต้องการอะไรเลย มันคือร่างของมันเอง ไม่ซ้ำใครและไม่เหมือนคนอื่น มันเป็นเหมือนชีวิตใหม่ บางอย่างที่ควรค่าแก่การนับถือ…”
“….วันนี้เราทั้งสองทะเลาะกันรุนแรง, ก็เหมือนที่ข้ากับอาจารย์ของข้าเคยทะเลาะกันในอดีต การ์ดวิญญาณ ใช่แล้ว มันยิ่งใหญ่ แต่, มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ มันคือพลังงานจากชีวิตและศรัทธา และไม่ใช่ศิลปะของการ์ด ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญผลิตการ์ดคนเดียว ข้าเป็นคนเดียว ข้าเป็นคนเดียว ข้าจะตายเพียงคนเดียว…”
“ประตูดวงดาวถูกผนึก ข้ารู้ว่าต้องเป็นเขาแน่นอน เขาต้องการจะครองโลกเหมือนกับเฉินมู่ แต่น่าเสียดาย เขาไม่เข้าใจว่าเฉินมู่นั้นทรงพลังขนาดไหน”
“ร่างกายของข้าอ่อนแอลงทุกคน ข้ากำลังจะตาย ข้าฝันถึงสถานที่ผลิตการ์ด และข้าฝันถึงอาจารย์ แต่น่าเสียดายข้าหมดหนทางกลับบ้านเสียแล้ว”
หัวใจของเชียนฮุ่ยเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง นางไม่เคยคิดเลยว่าประวัติศาสตร์ของการ์ดวิญญาณจะมาจากสถานที่ลึกลับอีกแห่งหนึ่ง นางเพิ่งอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของชายชราที่ดื้อรั้นหัวชนฝา
หน้าสุดท้ายของบันทึกประจำวันมีคำที่เขียนหวัดโย้เย้
“วิชาเก่าแก่จะไม่มีวันตาย!”