Undefeated God of War ยอดยุทธไร้เทียมทาน - ตอนที่ 633 เปิดเผยจนได้
แฮก แฮก แฮก!
อายะหอบหายใจ การโจมตีและฆ่าอย่างต่อเนื่องทำให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงของนางมากขึ้นเทียบกับระหว่างรบจริงก็คือมากขึ้น 30% เลือดและซากศพมีกระจายอยู่ทุกที่ ในสถานการณ์เช่นนั้น การรักษาความมุ่งมั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก
นางไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับผลกระทบ คนอื่นทุกคนดูเหมือนจะได้รับผลกระทบไปด้วยเนื่องจากความถี่ในการผสานพลังของพวกเขาตกลงอย่างมาก ถ้าเกิดขึ้นในระหว่างฝึกถังโฉ่วคงจะดุด่าและระอาพวกเขา และลงโทษพวกเขาให้ฝึกต่ออีกครั้ง
คนที่อยู่รอบตัวนางก็ยังหอบหายใจอย่างหนักและบางคนก็ก้มตัวเอามือเท้าเข่า หน่วยกะโหลกทั้งหมดหอบหายใจกันหมดเป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ใช้กลยุทธ์นั้นในการสู้รบ แต่ความจริงพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากมายขนาดนั้น พวกเขามีข้อบกพร่องมากเกินไป แต่ในเวลาอันรวดเร็วพวกเขาก็หยุดหอบ ไม่มีใครสนใจอีกต่อไป ทุกคนเริ่มจ้องมองภาพที่อยู่ข้างหน้าของพวกเขา
พวกเขาลืมความอ่อนล้า
พื้นที่ภายในวงล้อมของพวกเขาว่างเปล่าเต็มไปเลือดและชิ้นส่วนของร่างกาย ไม่มีใครรอดชีวิตสักคนเดียว
ในความตายที่เงียบสงัด มีบางคนเริ่มผะอืดผะอม และเกิดอาการปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมา หลายคนเริ่มรู้สึกอึดอัดและอาเจียนออกมาทั้งหมด
หน้าของอายะซีดขาวเหมือนกระดาษ เลือดลมที่อกนางเริ่มปั่นป่วนแต่นางฝืนไว้ไม่ให้ขย้อนออกมา นางผ่านการสู้รบมามากมายและฆ่าคนมานับไม่ถ้วน แต่ฉากภาพที่อยู่ข้างหน้านางคือสิ่งที่ทำให้นางอึดอัด
‘สงครามหรือนี่?’
อายะยังคงตกใจ แต่ในไม่ช้านางก็เรียกความรู้สึกกลับมา นางตระหนักถึงความจริงที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขากำจัดหน่วยหน้าทะลวงฟันของกองพลที่สอง
‘เป็นไปไม่ได้!’
สีหน้าตกใจปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง กลุ่มกะโหลกชมพูเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในวงการทหารรับจ้าง เนื่องจากได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวาง แต่นางรู้กำลังของกลุ่มกะโหลกชมพูดี พวกเขาสามารถต่อสู้กับกองทัพระดับบรอนซ์ได้เท่านั้น แต่เมื่อเผชิญกองทัพระดับเงิน พวกเขาไม่มีโอกาสชนะต่อให้เป็นหน่วยหน้าทะลวงฟันของพวกเขาก็ตาม
เมื่อมองจากด้านนี้ ศักยภาพของกองกำลังนางแอ่นยังมากกว่า เพราะเซี่ยอวี่อันสร้างกองทัพโดยใช้ระบบของกองทัพที่แท้จริงตั้งแต่ต้น
แม้ว่าอายะไม่เคยยอมรับ แต่นางก็ฉลาดเฉียบแหลม
เมื่อถังโฉ่วยอมทุ่มเวลาให้กับหน่วยกะโหลกมากขึ้น ตอนแรกอายะไม่เข้าใจ แต่นางรู้ว่าเป็นสิ่งดี แม้ว่าเจ้าแม่ทัพโรคจิตจะบ้าก็ตาม แต่เขาเป็นนายพลระดับที่ขึ้นชื่อแน่นอน เวลาของเขามีค่ามากกว่าเวลาของกองทัพรับจ้างทั้งหมดรวมกันเสียอีก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมเสียเวลาเคี่ยวเข็ญพวกเขาจนทำให้การฝึกฝนดูเหมือนเป็นการทรมาน
‘นายพลโรคจิตต้องการใช้หน่วยกะโหลกเพื่อทดสอบวิชาและค้นหาบางอย่างซึ่งเป็นไปได้จะทำให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้น ไม่ว่าเขามีความคิดเท่าใด เขาไม่เคยบอกเราว่าพวกเขาทำไปเพื่ออะไร ไม่ว่าจะฝึกหนักเข้มข้นเพียงไหน ข้าจะฝึกให้สำเร็จ’
‘เนื่องจากเราเป็นหนูทดลอง อย่างนั้นเราก็จะทำหน้าที่ของหนูทดลอง’ อายะมีปรัชญาในการดำรงชีวิตของตนเองสำหรับทหารรับจ้าง ความจริงนางเชื่อว่าสถานะของหน่วยกะโหลกยังต่ำกว่ากองกำลังนาแอ่น
แต่…
หลังจากผ่านการสู้รบ นางก็ยังไม่รู้และเข้าใจสถานการณ์ แต่จากสิ่งที่นางรู้ นางคาดเดาและคิดไม่ถูกต้อง
ถังโฉ่วเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่แสดงออกอย่างสงบ แต่ความจริง เขาใจเย็นจริงๆ ไม่ใช่แกล้งใจเย็น
ตั้งแต่เขาเห็นกลยุทธ์ที่หน่วยกะโหลกมีความเชี่ยวชาญ ถังโฉ่วรู้ได้ทันทีว่าเขาสามารถใช้หน่วยกะโหลกในวิถีที่แตกต่างจากกองกำลังนางแอ่น
กองกำลังนางแอ่นเป็นกองทัพประจำ พวกเขาสามารถควงอาวุธและเข้าร่วมในศึกขนาดใหญ่ได้
แต่หน่วยกะโหลกเป็นกองกำลังนอกสารบบและเชี่ยวชาญในการประสานงานขนาดเล็ก มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันสกัดกั้นการไล่ล่าซึ่งควรจะถูกใช้ในเมือง กับสิ่งก่อสร้างลอยฟ้ามากมาย กองทัพจะมีความยากลำบากในการจัดกระบวนและนั่นคือที่ๆหน่วยกะโหลกจะแสดงฝีมือได้
แต่กลยุทธ์ของหน่วยกะโหลกเองอ่อนด้อยและตื้นเขินเกินไปถูกตรวจสอบได้ ถังโฉ่วจึงสร้างกลยุทธ์ใหม่ให้พวกเขา แต่ถังโฉ่วไม่เคยสัมผัสกับกลยุทธ์แบบนั้นมาก่อน ดังนั้นจำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติม
แต่ดูเหมือนว่าผลงานได้พิสูจน์ออกมาแล้ว
ถังโฉ่วมองดูผลที่ออกมาด้วยความพอใจ หน่วยหน้าทะลวงฟันนั้นแข็งแกร่งทรงพลัง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีการประสานงานกัน พวกเขาสูญเสียตัวช่วยที่ดีอย่างแท้จริงดังนั้นถังโฉ่วจึงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
เกี่ยวกับชัยชนะ ถังโฉ่วไม่ถึงกับดีใจมากเนื่องจากศัตรูของพวกเขาไม่มีผู้นำทหารที่มีชื่อเสียง พวกเขาไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาเลย นอกจากนี้ถังโฉ่วคิดว่าศัตรูยังไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ตลอดทั้งกระบวนการหน่วยหน้าทะลวงฟันไม่ได้สร้างแรงกดดันที่รุนแรงพอต่อหน่วยกะโหลก กล่าวอีกอย่างหนึ่งถังโฉ่วรู้สึกว่าศัตรูอ่อนแอเกินไปและชัยชนะอย่างนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าบททดสอบกลยุทธ์ของเขาว่าผ่านหรือไม่
ถังโฉ่วตั้งเป้าหมายของเขาต้องไปให้เหนือกว่าปิงให้ได้ดังนั้นชัยชนะเล็กน้อยแค่นี้จะทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้ยังไง?
ถังโฉ่วยังมีสีหน้าเยือกเย็น ราวกับว่าฝ่ายชนะไม่ใช่พวกเขาแต่เป็นศัตรู
“เซี่ยอวี่อัน, ยึดคฤหาสน์และเริ่มการป้องกัน!”
เซี่ยอวี่อันสั่น แต่ปฏิบัติตาม กองกำลังนางแอ่นหนุนเนื่องเข้ามาดุจสายน้ำและยึดครองถนน ถ้าเราจะกล่าวว่าทักษะวงล้อมของหน่วยกะโหลกแพรวพราวมากกว่า กองกำลังนางแอ่นให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
กระบวนศึกที่น่าเกรงขามทำให้ผมขนลุกชันได้
ควั่บ ควั่บ
นอกจากเสียงเกราะกระทบกันขณะเคลื่อนไหว ก็ไม่มีเสียงอย่างอื่นราวกับว่ากองทัพนั้นเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่เงียบกริบ จังหวะเท้าของพวกเขาพร้อมเพรียงราวกับเป็นคนเดียวกัน
ความเข้มงวดพร้อมเพรียงดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพลังที่ยิ่งใหญ่
หน้าของเหออิงซีดขาวราวกับกระดาษ เขามองดูกองทัพด้วยความหวาดหวั่นเขาไม่กล้าเชื่อเลยว่าทวีปทรายขาวจะมีกองทัพฝีมือดีขนาดนั้นอยู่!
ห่างออกไป ลุงหลานตระกูลไป๋ต่างยืนตะลึง
ไป๋เยี่ยถอนหายใจเบาๆ“ข้าไม่รู้เลยว่าการแนะนำเซี่ยอวี่อันให้พวกเขาเป็นการถูกหรือผิด แค่ผ่านไปไม่กี่วันกองกำลังนางแอ่นกลายเป็นกองทัพใหม่เอี่ยม แม้แต่ข้าก็ยังทำอะไรแบบนั้นไม่ได้”
ไป๋เสี่ยวก็พูดไม่ออกพอกัน ในสายตาของเขา เหมิ่งหนานมีแต่จะลึกลับมากขึ้นเรื่อยๆ ในอดีต เขาเคารพเหมิ่งหนานด้วยพลังที่เขาแสดงออกมาและนั่นทำให้เขามีแรงบันดาลใจยิ่งขึ้น ตอนนั้นทั้งสองมีเกณฑ์พื้นฐานที่พอกัน เนื่องจากไป๋เสี่ยวมั่นใจในพรสวรรค์ของตัวเขาเอง เขายังคงรู้สึกว่า ตราบเท่าที่เขาทุ่มเทหนักเขาจะสามารถอยู่เหนือเหมิ่งหนานได้
แต่ขณะที่เวลาผ่านไป เขามักตระหนักได้ว่าระยะห่างระหว่างเหมิ่งหนานกับเขายิ่งมากขึ้นๆ ทุกที เหมิ่งหนานเป็นมนุษย์ที่ผิดธรรมดาที่มีความก้าวหน้ารวดเร็วมาก
และแล้วด้วยการปรากฏตัวขึ้นของถังโฉ่ว ก็เผยให้เห็นปลายพื้นหลังของเหมิ่งหนาน ยอดภูเขาน้ำแข็งนี้พอจะให้ทุกคนตกใจได้
แต่เมื่อเขาเห็นการสู้รบกับตาตนเอง เมื่อเขาเห็นวิธีที่กองกำลังนางแอ่นและหน่วยกะโหลกชมพูฉีกร่างมนุษย์ของพวกเขากลายเป็นทหารเทพซึ่งแม้แต่เหออิงบุรุษผู้มีอำนาจมากที่สุดในทวีปทรายขาวก็ยังถูกข่ม เขาจึงเข้าใจทันทีถึงระยะห่างระหว่างพวกเขาถูกยืดออกไปอีกครั้ง
‘คนที่ไม่ธรรมดาอย่างนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังจริง?’
ไป๋เสี่ยวฝืนหัวเราะในใจด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันที่น้อยลง ทำให้สภาพใจของเขารู้สึกผ่อนคลายได้มาก เขาฝืนหัวเราะ“อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นสหายของเรา และไม่ใช่ศัตรูของเรา”
คำพูดนี้ทำให้ไป๋เยี่ยตกใจ เขาผงกศีรษะ “ถูกแล้ว! โชคดีที่เขาเป็นสหายไม่ใช่ศัตรูของเรา! ใครก็ตามที่ต้องการตอแยเขา คงไม่มีอะไรเหลือให้กินแน่ ครั้งนี้เหออิงโชคร้ายจริงๆ”
สายตาของเฉียวอี้อันกวาดมองกองกำลังนางแอ่นที่อยู่ต่อหน้าของเขา ใจของเขาสั่นสะท้าน เขาประคองแขนของเหออิงและรู้สึกได้ถึงอาการสั่นสะท้านจากเจ้านายของเขา เขาตกใจมาก แม้ว่าอารมณ์ของเจ้านายจะไม่ค่อยดี แต่เขาก็ทำได้ดีในการใช้กองกำลังติดอาวุธของเขา
ทหารของกองกำลังนางแอ่นไม่แม้แต่จะมองพวกเขาและวิ่งผ่านพวกเขาไปเหมือนสายน้ำและล้อมคฤหาสน์เอาไว้
เฉียวอี้อันหรี่ตาของเขา
เมื่อทหารคนสุดท้ายผ่านพวกเขาไป เฉียวอี้อันดีใจ ‘โอกาส!’
เขาคว้าแขนท่านเหออิงไว้แน่นและคำรามและทะยานขึ้นไปในท้องฟ้า
การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน ไม่มีใครสามารถป้องกันเขาได้
“หยุดเขา!” หลิงเซี่ยเป็นคนแรกที่รู้ตัว นางตะโกนลั่น
มือกระบี่ปีกเงินคือคนที่มีพลังแข็งแกร่งแน่นอน กระบี่ของเขาโผล่ออกมา เช้ง เช้ง เช้ง! กระบี่เงินนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ด้านหลังของเขาเหมือนกับเป็นปีก ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมากเหมือนกับแสงโค้งสีเงินพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า
เซี่ยอวี่อันก็รู้สึกตัวเช่นกันสีหน้าของเขาเปลี่ยนขณะตะโกน “ฆ่า!”
“ฆ่า!”
แม้ว่าเสียงตะโกนว่า “ฆ่า” จะดังขึ้นกะทันหันมาก แต่เนื่องจากการฝึกฝนมายาวนานก็ยังแสดงพลังออกมาได้ ทหารทุกคนกระตุ้นพลังงานโดยสัญชาตญาณ แสงรัศมีสว่างวาบ
เฉียวอี้อันหน้าบิดเบี้ยว ผมขนทุกเส้นบนร่างของเขาลุกชัน เขาตกเป็นเป้าหมายโจมตี
แย่แล้ว!
เสียงร้องที่ดังชัด แสงสีเงินยิงออกมาจากกระบวนศึกเหมือนกับธนูที่ยิงมาอย่างรุนแรง ในแสงสีเงินเป็นเหมือนนกนาแอ่นใส ขณะนั้นนั่นเอง เฉียวอี้อันชื่นชมกองกำลังนางแอ่นมาก อันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้ครอบคลุมตัวเขาภายในร่างของนางแอ่นน้อยแฝงด้วยพลังงานที่น่ากลัวมาก
ปีกของนางแอ่นเป็นเหมือนกรรไกร ทั้งสองข้างจะปลดปล่อยเพลิงเงินและความเร็วของนางแอ่นจะเพิ่มขึ้นอีกมาก!
เฉียวอี้อันเปล่งรังสีมรณะ แค่เพียงหลบ เขาก็ต้องใช้พลังไปทั้งหมดที่เขามี แต่ความเร็วของนางแอ่นนั้นไวมากกว่าปีกเงินของเขา!
ระยะห่างระหว่างทั้งสองใกล้เข้ามา
‘ข้าไม่รอดแล้ว!’
เฉียวอี้อันรู้ว่าเขาต้องตาย ทันใดนั้นมีเงาร่างหนึ่งปรากฏคั่นระหว่างเขาและนางแอ่น เป็นบุรุษร่างผอมสูง
“ข้าขอสั่ง แสงจงมา!”
เสียงทุ้มลึกรุนแรงดังก้องไปทั้งเมืองทรายขาว
โล่แสงอบอุ่นปรากฏอยู่หน้านางแอ่น
นางแอ่นปะทะเข้ากับโล่แสง แต่ไม่มีการระเบิด โล่แสงและนางแอ่นแตกไปเหมือนฟองน้ำและหายไปอย่างเงียบงัน
คนร่างผอมสูงกระอักโลหิตเต็มปากและเสียหลักถอยหลัง แต่เฉียวอี้อันจับไว้ได้
ในพริบตาทั้งสองคนก็หายไป
สีหน้าของทุกคนน่าเกลียด ถ้าเหออิงหนีไปได้ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปทันที โดยเฉพาะสำหรับหลิงเซี่ยและคุณชายใหญ่เมื่อเห็นเป็ดที่ปรุงสุกแล้วบินหนีหายไป พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
“ทำไมเจ้าไม่จับเขา? เจ้ารู้ไหมถ้าเจ้าปล่อยเขาไป…” คุณชายใหญ่อดตะโกนด้วยความสงสัยไม่ได้
“หุบปากเจ้าเลย!” ถังโฉ่วแค่นเสียง เขาจ้องดูคุณชายใหญ่อย่างไม่เกรงใจ คุณชายใหญ่ประหลาดใจเหมือนกับว่าถูกราดน้ำเย็นใส่ดับอารมณ์โกรธของเขา ทำให้ใจของเขากลับสงบ และเตือนเขาทันทีว่าเหมิ่งหนานไม่ใช่คนที่จะตอแยได้
ถังโฉ่วรั้งสายตากลับมา เขาไม่สนใจคุณชายใหญ่ เขาไม่รู้จักเหออิงและงานหลักของเขาคือรับฉินอวี่หรันและเขาเชื่อว่านายท่านคงไม่ใส่ใจเหออิง
เขามองดูถังเทียน
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนที่เหลือก็ยังมองดูถังเทียน แต่เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าถังเทียนแล้ว พวกเขาถึงกับตกใจ พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าถังเทียนเขียวคล้ำและน่ากลัวอย่างนั้นมาก่อน
ถังเทียนเค้นเสียงลอดไรฟัน “สมาพันธ์ชาวยุทธ!”
เป็นไปตามคารด
ตาของถังโฉ่วเป็นประกายลุกโชน ‘ในที่สุดก็เริ่มต้นจริงๆ?’