Undefeated God of War ยอดยุทธไร้เทียมทาน - ตอนที่ 656 สภาพว่างเปล่า
“ลั่วซือ”
“หือ”เขาตอบโดยไม่รู้ตัว เขาเงยหน้าดูและใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยเข้ามาในสายตาของเขา แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าคุ้นเคยกับมัน
เขามองดูอีกฝ่ายขณะที่อีกฝ่ายก็มองดูเขา
เขามองดูในดวงตาของอีกฝ่ายและเห็นรูปผอมของตนเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าคือเจ้าหนูน้อย” ปิงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง เขาเม้มริมฝีปาก ทำให้เขาดูน่าเกลียดมาก
ลั่วซื้อส่ายหน้า “เจ้าไม่ได้ตัวเล็กสักหน่อย”
ปิงรู้สึกคันจมูกพะเยิบพะยาบเสียงของเขาแห้ง “ลั่วซือ,ท่านจำเด็กน้อยไม่ได้อีกต่อไปแล้วใช่ไหม? ท่านจำผู้บัญชาการได้ไหม? จำอาซิ่นได้หรือเปล่า? ท่านจำเราไม่ได้อีกต่อไปแล้วหรือ?”
‘ทำไม… ทำไมกลับกลายเป็นอย่างนี้…’
“เจ้าเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคนอื่น” ลั่วซือส่ายศีรษะและลุกขึ้นยืน “โปรดปล่อยให้ข้าไปเถอะ พวกเขาบอกว่าเจ้าสามารถปล่อยข้าไปได้”
“ท่านจะไปไหน?” ปิงมองดูใบหน้าที่คุ้นเคย, ความทรงจำสีเทากลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่พูดไม่ออกและความเศร้าผ่านเข้ามาในตัวของเขา
“กลับไปสนามรบ” ใบหน้าแก้มตอบของลั่วซือแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่น่าทึ่ง
“สนามรบ…” ปิงพึมพำ
“ข้าต้องไปช่วยสหายของข้า พวกเขาตกอยู่ในอันตราย” ลั่วซือเดินออกไปโดยไม่หันหลัง “ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้พวกเขาตาย”
ปิงรู้สึกเหมือนกับใจจะขาดรอนๆ น้ำตาไหลออกมาเหมือนสายน้ำหยดลงบนพื้น ในดวงตาที่มีน้ำตานองหน้า เขาสามารถเห็นได้แต่เพียงเงาร่างเลือนรางของลั่วซือ หลังที่ตรงของลั่วซือ
“ประแจ,ประแจ, เอาประแจมาให้ข้า เร็วๆ เข้า, พวกเจ้าเร็วๆ เข้าจะดีกว่า…”
เสียงแหบแห้งปนเสียงสะอื้นดังขึ้นข้างหลังลั่วซือ ทำให้เขามึนงง
“ข้อต่อเสียหายหนักเอาข้อต่อมาให้ข้าสามข้อ ทุกคนเร็วๆ เข้าฝืนตัวเองเอาไว้ อย่าเพิ่งล้ม…”
ฝีเท้าของลั่วซือยังคงเดินต่อแต่ช้าลง คำพูดที่กรอกเข้าหูของเขานั้นช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
“ข้าจะไม่ไป! ข้าจะไม่ไป! ถ้าข้าไป, ใครจะซ่อมของพวกนี้ให้พวกเจ้า…”
ฝีเท้าของลั่วซือช้าลงทุกที
“ผู้บัญชาการ,อย่าเพิ่งตาย… อาซิ่น, อย่าเพิ่งตาย.. เจ้าหนู, เจ้าอย่าตายดีกว่า…”
เมื่อคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากของเขาเอง เสียงของปิงเริ่มปนเสียงสะอื้น เหมือนกับว่าปิงยืนอยู่ในสนามรบรายล้อมไปด้วยเปลวเพลิงสงคราม ลั่วซือถูกรายล้อมไปด้วยกองชิ้นส่วนอาวุธจักรกล เขาเหน็ดเหนื่อยมาก มือของเขาสั่นเทิ้ม เสียงของเขาสั่นเครือ เขากลัว เขาตกอยู่ในอาการสิ้นหวัง เขาห่วงใยทุกคน…
เขาเป็นเพียงวิศวกรจักรกลเพียงคนเดียว
เขาเป็นคนขี้ขลาดจริงๆและกลัวตาย…
ปิงเกลียดความขี้ขลาดของเขา น้ำตาของเขายังหลั่งไหลไม่หยุด เขาไม่ต้องการร้องไห้อีกต่อไป! ‘ทำไมน้ำตายังไม่หยุดไหล?’ ปิงต้องรวบรวมกำลังของเขาเพื่อพูดออกมาในแต่ละประโยค เมื่อได้เห็นลั่วซือติดอยู่ภายในโลงศพน้ำแข็งในตอนแรก เมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเขา คำพูดทั้งหมดเหล่านั้นฝังลึกในใจของปิง
‘ท่านลืมมันไปได้ยังไง?’
ลั่วซือที่เพิ่งหยุดเดินทั้งมึนงงและสับสนยังคงครุ่นคิด คำที่สุ่มพูดเหล่านั้นเขาคุ้นเคยมาก เหมือนกับว่าเป็นคำที่เขาพูดออกมามันให้ความรู้สึกที่แปลก…
ในสายตาที่พร่าเลือนของปิง ร่างผอมบางเลือนรางหยุดอยู่กับที่
‘มันคุ้นๆ, รู้สึกคุ้นๆ ใช่แล้ว ลั่วซือท่านต้องค้นหาความคุ้นเคยนั้นให้ได้…’
‘เพราะ, เพราะคำพูดเหล่านี้ท่านกรีดร้องตะโกนมาตลอดหมื่นปี!’
‘หมื่นปี!’
‘แม้ว่าความทรงจำของท่านจะหายไป ต่อให้ท่านมายังโลกนี้ด้วยสภาพที่ว่างเปล่า ต่อให้ท่านจำพวกเราไม่ได้อีกต่อไป นั่นต้องเป็นชะตากรรม แต่ไม่ว่ายังไง มันไม่สำคัญ อย่าปล่อยความกังวลห่วงใยตลอดหมื่นปีของท่านไปหลังจากที่ตายไปแล้วหายไป จะต้องมีบางอย่างที่เหลือลึกอยู่ในจิตวิญญาณของท่าน! ลึกอยู่ในดวงวิญญาณ!’
‘จะต้องมีแน่นอน’
ปิงเงยหน้ามองน้ำตายังคงไหลนองหน้าของเขา เขาชูมือทั้งสองและเหมือนกับเมื่อตอนหมื่นปีที่แล้ว เขาตะโกน
“กองทัพดาวกางเขนใต้จงเจริญ!”
เหมือนกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงที่ตัวลั่วซือ
********************
ถังเทียนไม่ได้มาเมืองสามวิญญาณนานแล้ว มีเรื่องนับไม่ถ้วนทับโถมเข้ามาทันที แต่ไม่มีใครพรากถังเทียนไปเจ๊ใหญ่ประจำถิ่นได้เซรีน
เซรีนตื่นเต้นจนพูดไม่ออก เมื่อเห็นถังเทียนก็เหมือนกับว่านางลืมตัวทันที
“ครั้งนี้เจ้านำอะไรกลับมาบ้าง?อะไร? หือ? ไม่มีเหรอ? อย่างนั้นเจ้าจะให้ทำอะไรดีๆบ้าง? ครั้งต่อไปเจ้านำของกลับมาจากดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้มากๆ ไว้ดีกว่า? เจ้าก่อตั้งพันธมิตรกับธุรกิจค้าอาวุธในดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์น่ะหรือ? นั่นเยี่ยมเลย, เจ้าขอพวกเขาถามหารายการวัสดุดีๆ และส่งทุกอย่างที่พวกเขามีมาที่ข้าอย่างละชิ้นก็พอ โอว.. เจ้าไม่ว่าเจ้าจะอยู่นี่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร..”
“เมื่อเร็วๆนี้มีกระบวนการวิจัยค้นคว้าวัสดุของดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์วัสดุของพวกเขามีคุณภาพต่างจากสวรรค์วิถี เจ้ารู้ไหมคุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของวัสดุของเราคืออะไร? พลังวิญญาณ,ใช่แล้วพลังวิญญาณ! ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์จะมีอะไรบ้าง!? ไม่มีพลังวิญญาณ แต่พวกเขามีกฎธรรมชาติบางอย่าง เจ้าต้องคิดให้ดี ทำไมน่ะหรือ? เพราะพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีพลังงานหนาแน่น ใช่แล้ว กฎธรรมชาติและพลังงานในความเป็นจริงแล้วไม่มีความเชื่อมโยงแต่อย่างใดแต่ในสถานที่ซึ่งมีพลังงานอุดมสมบูรณ์ กฎธรรมชาติสามารถหาได้ง่ายมาก พลังงานเป็นเหมือนกับน้ำ ด้วยเหตุนั้นกฎธรรมชาติจึงเป็นเหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในพลังงาน…”
“เจ้าโง่เกินไป เจ้ายังไม่เข้าใจ เมื่อข้าอธิบายให้เจ้าฟังอีกหรือ? อาวุธจักรกลวิญญาณ คิดดูสิ ตราบใดที่ใส่ส่วนประกอบทั้งสองเข้าด้วยกัน, จิตวิญญาณยุทธที่สามารถควบคุมกฎธรรมชาติได้ เกราะระดับเซียน ฟังแล้วแข็งแกร่งทรงพลังไม่ใช่หรือ…”
ถังเทียนมองดูหน้าที่แดงผิดปกติของเซรีนและผมที่กระเซิงยุ่งเหยิงของนางแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาหันไปถามผี่ผา “นางหลับครั้งสุดท้ายนานเท่าใดแล้ว?”
ผี่ผามองดูเซรีนและกระซิบ “สิบห้าวันที่แล้ว”
“เจ้าไม่ได้หลับมานานสิบห้าวันแล้วหรือ?” ถังเทียนขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
“หลับ? ทำไมข้าต้องหลับด้วย?” เซรีนโบกมืออย่างตื่นเต้น “นี่คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ นี่คือความเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด เกราะเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อาวุธจักรกล จะอยู่ต่อหน้าข้าแล้ว! เวลาอย่างนี้ ถ้าข้าหลับก็จะเปลืองเวลา..สูญเปล่า..”
พลั่ก!
เซรีนถูกตบที่ต้นคอทำให้นางหยุดพูด ถังเทียนใช้มือข้างหนึ่งคว้าร่างที่หมดสติของเซรีนและค่อยๆวางนางลงบนโซฟาในห้องวิจัยค้นคว้าอย่างนุ่มนวล
ถังเทียนเดินออกมานอกห้องปิดประตูอย่างระวังและถามผี่ผา “มักจะมีอะไรแบบนี้เรื่อยหรือ?”
“ใช่, เจ๊ใหญ่ทำงานหนักมาก เราพยายามแนะนำนาง แต่นางไม่ยอมฟัง ไม่มีใครกล้าทำอะไร” ผี่ผาพูดอย่างอ่อนโยน
ถังเทียนยังมีเรื่องปวดหัวกับนาง เจ๊เซรีนไม่ใช่ชื่อที่จะเรียกกันสุ่มสี่สุ่มห้าได้ นางทะเลาะได้แม้แต่กับเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าหยุดนาง
ทันใดนั้นถังเทียนถาม “ใครเป็นผู้รับผิดชอบงบประมาณในตอนนี้? โส่วจินหรือเปล่า?”
“ค่ะ” ผี่ผาตอบอย่างอึดอัดใจ ชื่อเล่นโส่วจิน (ผ้าเช็ดมือ)ของโส่วจิงจะเรียกผ่านๆ แต่เมื่อได้ยินจากถังเทียน ผี่ผารู้สึกเห็นใจท่านโส่วจิง
“ฮ่าฮ่านั่นก็เยี่ยมเลย!” ถังเทียนพูดอย่างมีความสุข “จากวันนี้เป็นต้นไปงบประมาณของแผนกวิจัยค้นคว้าจักรกลจะต้องเกี่ยวข้องกับเวลานอนของเซรีนด้วย ถ้านางนอนหลับน้อย เราจะตัดงบประมาณ 5%”
หลงโส่วจิงเป็นคนง่ายๆอยู่แล้ว เขามองดูเหมือนเคร่งเครียด แต่ความจริงเขาเป็นคนอ่อนโยนมาก ปีนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับถังเทียน เขาต้องแสดงบทบาทคนดุเพื่อแสดงความมาดมั่นของเขา
หลังจากถังเทียนตั้งกฎแล้ว หลงโส่วจิงก็ปฏิบัติตามโดยไม่ให้โอกาสอะไรทั้งนั้น ความจริงทั้งสองคนนี้เกิดมาเป็นดาวข่มกัน
ผี่ผาชื่นชมความคิดของถังเทียน “ความคิดของนายท่านสมบูรณ์แบบจริงๆ!
นางสามารถจินตนาการได้ เพื่อให้ได้งบประมาณแล้วเจ๊ใหญ่จะต้องไปนอนทั้งที่โกรธ นางแอบปิดปากหัวเราะคิกคัก
ทันใดนั้นนางคิดถึงบางเรื่องได้ นางลังเลใจแต่ก็รวบรวมความกล้ากล่าว “นายท่านมีปัญหาอย่างหนึ่ง เมื่อครั้งหนึ่งคนของกลุ่มดาววัวมาหาเจ๊ใหญ่”
“โอว” ถังเทียนจำได้ว่าเซรีนมาจากกลุ่มดาววัว
“พวกเขามาเพื่อตื๊อนางต้องการให้เจ๊ใหญ่กลับไป นางโกรธมากและพวกเขาพูดคำที่ไม่ดีสองสามคำ ทำให้เจ๊ใหญ่ร้องไห้” ผี่ผาพูดอย่างไม่พอใจ “พวกเขาทำเกินไป ตอนแรกก็ขอโทษนาง จากนั้นตอนนี้พวกเขาก็ใช้วิธีแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อเจ๊ใหญ่แล้วข้าคิดจะให้ทุกคนทุบตีพวกเขา”
ถังเทียนมีสีหน้าเย็นชา “พวกเขาต้องการให้เซรีนกลับไปกลุ่มดาววัวเพื่อดูแล?”
ผี่ผาพยักหน้าของนาง “ใช่แล้ว! พวกเขาต้องการจะหน่วงเหนี่ยวโอกาสของนางไว้!”
“ก็ได้, เซรีนจากกลุ่มดาววัวมานานเกินไปจริงๆ นางควรจะกลับไปดูแลบ้าง” น้ำเสียงของถังเทียนเย็นชา
“นายท่าน!” ผี่ผาตกใจ, นางไม่เคยคิดว่านายท่านจะเห็นด้วยให้เจ๊ใหญ่กลับไปกลุ่มดาววัว นางเสียใจทันทีที่พูดออกมา
ถังเทียนโบกมือของเขาและห้ามไม่ให้ผี่ผาพูด เขาหัวเราะอย่างน่ากลัว “กองทัพทั้งหมดที่ไม่มีงานทำตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน? ขอให้ถังโฉ่วเลือกหน่วยทหารสองสามหน่วยไปกับเซรีนเพื่อเยี่ยมชมกลุ่มดาววัว ไม่ต้องรีบ นางไม่อยู่ที่นั่นนานนักหรอก นางแค่จำเป็นต้องไปดูแลที่นั่นให้ดี!”
ถังเทียนโกรธ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ถูกบังคับไล่ออกจากบ้าน และชีวิตที่นางต้องเอาตัวให้รอดไม่มีทางที่ใครจะคิดได้
‘หนี้ครั้งนี้, ต้องได้รับการชำระ’
ผี่ผาตกใจ นางมีความสุขทันที และวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ “ข้าจะไปหานายท่านถังโฉ่วเดี๋ยวนี้!”
‘นั่นก็ถูกแล้ว นายท่านจะทนยอมให้เจ๊ใหญ่ถูกรังแกได้ยังไง? แต่เมื่อเห็นเขาโกรธแล้ว ช่างน่ากลัวเหลือเกิน…’
ถังโฉ่วที่เพิ่งกลับมายังเมืองสามวิญญาณเข้าไปทำงานทันที ขอบเขตงานของเขาอยู่ที่สวรรค์วิถีเป็นหลัก กลุ่มดาวหมีใหญ่มีหลายหน่วยงานมากเกินไป และไม่มีใครดูแลได้ทุกอย่าง กับปิงอยู่ที่ดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว เขาไม่มีความกังวลใจแม้แต่น้อย
สิ่งแรกที่ถังโฉ่วทำก็คือตรวจสอบสถานการณ์การฝึกฝนของกองทัพ
เมืองสามวิญญาณในปัจจุบันได้รับการพัฒนาให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาควิญญาณเพื่อการรักษาความปลอดภัย จึงมีทหารสองกองพลคอยดูแลรักษา ค่ายฝึกทหารเมืองสามวิญญาณก็มีขนาดใหญ่โต
กองพลรักษาเมืองสามวิญญาณมักจะแตกต่างกันอยู่เสมอมีการหมุนเวียนรายชื่อเพื่อให้ท่านถังโฉ่วได้สังเกตผ่านตา กองทัพแห่งกลุ่มดาวหมีใหญ่ยังคงอายุน้อย พวกเขามีศักยภาพที่น่าอิจฉา แต่พวกเขายังจำเป็นต้องฝึกหนักเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขา
เมื่อได้รับคำสั่งของถังเทียน จากนั้นถังโฉ่วพลิกดูรายงานของกองทัพเมื่อเร็วๆนี้
กลุ่มดาวหมีใหญ่เติบโตพัฒนาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุน้อย มีพรสวรรค์นับไม่ถ้วนเริ่มเผยให้เห็นพรสวรรค์ที่โดดเด่น แต่คนที่ทำงานหนักที่สุดก็คืออาเดรียน ที่ปรึกษาทางวิชาการที่มีฉายาว่า นายพราน
เสี่ยวอู่ได้รับความชื่นชอบจากถังโฉ่ว หลังจากผ่านการอบรมสั่งสอนจากอาเดรียนก็ฉายแววขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ออกมา ในเรื่องของการสอนนักเรียน ถังโฉ่วต้องยอมรับว่ายังด้อยเมื่อเทียบกับอาเดรียน
ตัวอย่างเช่น เฉินจื่อหลินที่อยู่ภายใต้การแนะนำของอาเดรียน ก็ได้เป็นนายทหารผู้ช่วยของอาหลุน อาหลุนผู้กล้าหาญและเฉินจื่อหลินผู้ใจเย็นและรอบคอบ ทั้งสองคนกลายเป็นกลุ่มระดับทอง
ทุกชื่อในรายการทำให้ถังโฉ่วรู้สึกภูมิใจ แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัด ‘จะเลือกใครดี?’