Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1235
ตอนที่1235 ยักษ์หิน
ภายในป่าลึก ปรากฏอิสตรีร่างงามและอสูรเถื่อนกำลังพัลวันสัประยุทธ์อย่างดุเดือด
นั่นคืออสูรเหยี่ยว ความเร็วในการเคลื่อนไหวผาดโผนของมันช่างว่องไว รวมไปถึงพละกำลังอันมหาศาล
ไม่ใกล้ไม่ไกลมีอีกหลายคนกำลังเฝ้ามองการสัประยุทธ์นี้อยู่ห่างๆ ซึ่งมิได้เจตนาช่วยเหลือใดๆ
“บัวเหมันต์วิญญาณ!”
อิสตรีร่างงามนางนั้นเปล่งเสียงร้องดังสนั่น บัวน้ำแข็งสลักประณีตขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นเหนือน่านฟ้า พร้อมแช่แข็งอสูรเหยี่ยวนั้นโดยตรง
เห็นว่ากระบวนโจมตีนี้สามารถสยบศัตรูได้เป็นผลสำเร็จ อิสตรีนางนั้นก็เผยสีหน้าสุดแสนมีความสุขออกมา
แต่ทันทีทันใด สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีฉับพลัน
แกร๊กก! แกร๊กกก!!
บนบัวน้ำแข็งนั้นปรากฏรอยร้าวแตกแขนงออกไปคล้ายใยแมงมุม มันเริ่มขยายกว้างขึ้นและกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดบัวน้ำแข็งนั้นก็ถูกทำลายโดยอสูรเหยี่ยวนั้นอย่างหมดจด
การจะควบแน่นปราณน้ำแข็งขึ้นเป็นบัวเหมันต์วิญญาณ อิสตรีนางนี้จำต้องระดมใช้พลังปราณเป็นจำนวนมหาศาลยิ่ง และนางก็คาดไม่ถึงเลยว่า กระทั้งสิ่งนี้ก็ยังไม่สามารถฆ่าอสูรเหยี่ยวได้
ในยามนี้ นางไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะสู้อีกต่อไปแล้ว
อย่างก็ตามแต่ สีหน้าของนางกลับมิได้เกรงกลัวหรือสิ้นหวังแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม นางกลับแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแทน
อสูรเหยี่ยวตัวนี้เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วเช่นกัน เพียงว่ามันยังรั้งรอนเหลือพละกำลังอยู่บางส่วนเพื่อสัประยุทธ์ต่อ
เช่นนั้นมันจึงกระพือคู่ปีกโหมกระหน่ำสร้างวายุอันน่าสะพรึงโจมตีอิสตรีนางนั้น
แต่ทันใดนั้นเอง ได้มีร่างหนึ่งปรากฏคั่นกลางระหว่างทั้งสองฝ่ายและเปิดใช้เขตแดนจักรพรรดิแห่งดาบเข้าบดขยี้วายุนั้นโดยสิ้น
จากนั้นแสงคมดาบพลันสาดระยับ อสูรเหยี่ยวตัวนั้นยังไม่ทันหลบหนีก็ถูกฆ่าไปทันที
ลู่เอ๋อเบะปากเล็กน้อยและกล่าวอย่างไร้ซึ่งความสุขว่า
“สุดท้ายก็ต้องให้นายน้อยช่วยอีกแล้ว!”
เย่หยวนหัวเราะและกล่าวว่า
“อสูรเหยี่ยวตัวนี้สามารถฆ่าเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ขั้นสุดได้ไม่ยาก ทว่าตอนนี้เจ้าเป็นเพียงเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ สามารถทำให้มันบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ได้นับว่าน่าประทับใจมากแล้ว”
เย่หยวนมิได้มีเจตนาปลอบใจลู่เอ๋อแต่อย่างใด ในทางกลับกัน แม้แต่เขาเองยังประหลาดใจไม่น้อยกับความแกร่งกร้าวของลู่เอ๋อ
ระหว่างทาง ทั้งสี่ย่อมพบเจอกับภัยอันตรายเล็กๆน้อยๆโดยธรรมชาติ
โดยส่วนใหญ่ คนที่เผชิญหน้ากับพวกมันก็คือลู่เอ๋อ
เมื่อใดที่นางไม่สามารถปิดฉากอสูรเถื่อนเหล่านี้ได้ เย่หยวนจะเป็นคนออกมาเก็บงาน
หลังออกมาจากมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ นี่เพิ่งผ่านพ้นไปแค่หนึ่งเดือน ทว่าลู่เอ๋อสามารถทะลวงขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ขั้นกลางได้แล้ว
ความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งบนผืนพิภพแห่งนี้
ณ ปัจจุบัน พวกเขาทั้งสี่ได้เดินทางมาถึงเขตบัญชาต้องห้ามโดยไม่ทันรู้ตัว ดังนั้นแล้วภัยอันตรายจึงเพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
อสูรเหยี่ยวก่อนหน้านี้เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น
“ข้าก็แค่…ไม่อยากเป็นภาระของนายน้อยไปชั่วชีวิต!”
ลู่เอ๋อคลี่ยิ้มอย่างหดหู่ พลังฝีมือของนายน้อยท้าทายสวรรค์เกินไป ไม่ว่านางจะพยายามบ่มเพาะฝึกฝนอย่างไร นางกลับไม่มีทางตามได้ทัน
ลืมไปเลยสำหรับนายน้อย แม้แต่ลี่เอ๋อหรืออิ้งหมัวหู่เองนางก็ทิ้งช่วงห่างจากทั้งคู่ไม่น้อยเช่นกัน
ดังนั้นแล้ว ระหว่างทางที่ผ่านมา นางจึงพยายามอย่างหนักเพื่อพัฒนาตัวเอง
เป้าหมายหลักก็เพื่อไม่อยากเป็นภาระของทุกคน
“ลู่เอ๋อ,เจ้าจะเป็นภาระได้อย่างไร? หากไม่มีเจ้า คงไม่มีพี่ใหญ่หยวนในปัจจุบันเช่นกัน! ตัวเจ้าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดสำหรับเขา กระทั้งบางเรื่องมีแค่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้ คนอื่นมิอาจแทนที่! ตรงจุดนี้เองแม้แต่ข้าก็ยังอิจฉา!”
ลี่เอ๋อป้องปากหัวเราะเล็กน้อย พร้อมเดินเข้ามาปลอบประโลมลู่เอ๋อ
แก้มเนียนขาวของลู่เอ๋อแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงกล่ำทันที นางโพล่งกล่าวขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ลี่เอ๋อ ท่านหยอกข้าเล่นอีกแล้ว!”
เย่หยวนจับจ้องลี่เอ๋อด่วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นเขาก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าเด็กโง่ ลี่เอ๋อกล่าวถูกต้องแล้ว! เจ้าเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครสามารถแทนที่ได้ และเจ้าก็มิใช่ภาระ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เอ๋อจากที่ใบหน้ามืดครึ้มพลันแปรเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นหลายส่วน นางเร่งจับมือนวลเนียนของลี่เอ๋อและกล่าวว่า
“แต่พี่ใหญ่ลี่เอ๋อก็อย่าลืมเสีย ท่านก็เป็นคนสำคัญยิ่งที่ไม่มีใครแทนที่ได้สำหรับนายน้อย ยามที่นายน้อยเสียสติคลุ้มคลั่งก็เพราะคิดว่าเสียท่านไปแล้ว ตลอดที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเห็นนายน้อยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย”
สาวงามทั้งสองกำลังยืนปลอบใจกันไปมา เย่หยวนที่เห็นดังนั้นพลันปวดเศียรขึ้นเล็กน้อยก่อนรีบเปลี่ยนเรื่องและเอ่ยขึ้นว่า
“เอาล่ะ รีบเดินทางกันต่อเถอะ พวกเรายังต้องเดินทางเข้าไปในส่วนลึก หุบเขาเบื้องหน้านี้ดูท่าจะไม่ปกติ ระวังตัวกันด้วย”
นี่มิใช่เพราะเย่หยวนจงใจหาเรื่องเข้าแทรก แต่หุบเขาเบื้องหน้ามันทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดจริงๆ
เย่หยวนมีญาณเหนือสัมผัส ดังนั้นจึงไวต่อภัยอันตรายยิ่ง
หุบเขาแห่งนี้มิง่ายที่จะข้ามผ่าน
เมื่อเข้าใกล้หุบเขาลูกนี้มากขึ้น กระแสคุกคามหอบใหญ่ก็ยิ่งรุนแรงชัดเจนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
“พี่ใหญ่ นี่ดูจะไม่ถูกต้องจริงๆ!”
อิ้งหมัวหู่เองก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติเช่นกัน
เย่หยวนพยักหน้า ใบหน้าคล้ายดูเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“ทุกคนระวังตัวให้ดี”
ในเวลานั้นเอง จู่ลู่เอ๋อพลันอุทานขึ้นด้วยความตกตะลึง
“นายท่านดูนั้น! ไฉนหินก้อนนั้นถึงดูแปลกๆ?”
ทุกคนเร่งหันมองไปยังจุดที่ลู่เอ๋อชี้นิ้ว ก่อนพบว่าหินผามหึมาก้อนนั้นคล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับอยู่
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนเปลี่ยนไปกลายเป็นจริงจัง ก่อนเอ่ยกล่าวขึ้นว่า
“อย่าไปสนใจ ไปกันเถอะ!”
หินผาก้อนนี้อัดแน่นไปด้วยภัยอันตรายหอบหนึ่ง เย่หยวนย่อมไม่เต็มใจไปยั่วยุมันก่อนแน่นอน
หากพวกเขาสามารถออกจากจุดนี้ไปยังที่ปลอดภัยได้ย่อมเป็นดีที่สุด
อย่างไรก็ตามแต่ หลายสิ่งอย่างกลับไม่เป็นดั่งใจปรารถนาเสมอไป เมื่อพวกเขาย่างก้าวเดินผ่านหินผาก้อนนี้ไป ทันทีทันใดผืนดินทั่วทั้งบริเวณพลันสั่นสะเทือนรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว
เย่หยวนขนลุกซู่ยันหนังศีรษะเฉียบพลัน จู่ๆหินผานั้นก็ลืมตาขึ้น!
“หนีเร็ว!”
เย่หยวนตะโกนลั่นพร้อมพาทั้งสามหนีไปโดยเร็วที่สุด
ตึงงง….
เศษหินเศษกรวดน้อยใหญ่บินกระจายไร้ทิศทาง หินผามหึมานั้นค่อยๆลุกขึ้นยืดตัวกลายเป็นยักษ์หิน!
“เจ้าพวกมนุษย์ กล้าย่างกรายเข้ามาในดินแดนของเผ่าข้า! รนหาที่ตาย!”
ยักษ์หินนั้นไม่อธิบายอันใดต่อ พร้อมกวาดกำปั้นยักษ์ซัดเข้าใส่พวกเย่หยวนโดยตรง
เมื่อเห็นกำปั้นนี้ ม่านตาดำของเย่หยวนพลันตีบแคบในทันใด
กำปั้นของยักษ์หินตนนี้กอปรไปด้วยศาสตร์แห่งสวรรค์!
ตัวเขายังพอทำเนา แต่หากกำปั้นนี้ทุบใส่ร่างของอีกสามคนที่เหลือ หากไม่ตายคงสาหัสขั้นหนักแน่นอน
สีหน้าเย่หยวนมืดทมิฬลงทันใด ฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าพลันปลดปล่อยเต็มกำลังสูบ!
บูมมมม!!
ภายใต้แรงระเบิดนี้ ร่างเย่หยวนถูกผลักกระเด็นกลับไปหลายร้อยฉื่อ
อย่างรก็ตามแต่ ยักษ์หินตนนั้นกลับน่าสมเพชเสียยิ่งกว่า
โดยฝ่ามือของเย่หยวนซัดกระแทกเข้าไปเต็มๆ ร่างมหึมาของมันถึงขั้นเสียศูนย์จนทรงตัวไม่หยุด ทันทีที่ร่างของมันล้มคะมำลง ดั่งหุบเขาลูกนี้ถูกเขย่าอย่างรุนแรง สั่นสะเทือนทั่วสารทิศ
“ฮ่าฮ่า นายน้อยช่างทรงพลังนัก!”
“พี่ใหญ่น่าเกรงขามจริงๆ! แม้ยักษ์หินตนนี้จะแกร่งกร้าวอย่างมาก แต่นั้นกลับมิใช่คู่มือท่านเลย!”
เมื่อเห็นเย่หยวนสำแดงเดชอันทรงพลังออกมา ลู่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่ต่างส่งเสียงให้กำลังใจกึกก้อง
แต่สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนกลับมิได้คลายอ่อนลงใดๆ เขายังคงจับจ้องอย่างเคร่งเครียด
เขาตระหนักดีถึงอนุภาพการทำลายของฝ่ามือนี้ ทว่ายักษ์หินตนนั้นกลับไม่ได้รับอันตรายใดๆเลย!
การป้องกันของยักษ์หินแกร่งกล้าถึงขั้นวิปลาส!
“มนุษย์คนนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง พวกเราออกมาให้หมด!”
ยักษ์หินตนนั้นมิได้เข้าโจมตีสวนตอบทันที แต่กลับเรียกพวกพ้องเสียงดังลั่น
ตึงงง…
ทั่วทั้งหุบเขาเริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงอีกครั้ง ยักษ์หินตนอื่นๆค่อยๆปรากฏขึ้นมา
เมื่อเห็นภาพฉากดังนี้ สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนก็ยิ่งแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก
แนวคิดความเข้าใจของยักษ์หินเหล่านี้มิได้สูงเท่าเขาก็จริง ทว่าพลังการป้องกันกลับแกร่งกร้าวไม่น่าเชื่อ
ตัวเดียวยังพอทำเนาต่อกร ทว่าแห่มาขนาดนี้คงไม่มีทางเลือกอื่นใด
“หนีเร็ว!”
เย่หยวนลากลู่เอ๋อพร้อมผสานรวมฟ้าดินหนีเตลิดออกไปนับหมื่นฉื่อในทันใด
สีหน้าท่าทางของลี่เอ๋อและอิ้งหมัวหู่เองก็พลันเปลี่ยนไปอย่างมากเช่นกัน ก่อนเร่งติดตามเย่หยวนไปอย่างใกล้ชิดหนีไป
“อย่าได้หวังเจ้าพวกมนุษย์!”
บูม! บูม! บูม!
พวกยักษ์หินแต่ละตนทุบกำปั้นอัดลงพื้นดินต่อเนื่องไม่หยุด
เย่หยวนเหลียวหลังหันไปมอง ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่าเกลียดโดยมิตั้งใจ ปรากฏว่าเบื้องหลังยังมียักษ์หินอีกหลายสิบไล่ล่าวิ่งตามมา
ยักษ์หินเหล่านี้มีร่างกายที่ใหญ่โตดูเงอะงะก็จริง ทว่าความเร็วของมันกลับว่องไวน่าเหลือเชื่อ พวกมันมิได้ช้ากว่าพวกเย่หยวนเลยสักนิด!