Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1250
ตอนที่1250 จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ที่เปลี่ยนไป
ภายในส่วนลึกซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณ ณ ตอนนี้มีเหล่านักสู้บางส่วนรวมตัวกัน พวกเขากำลังถูกตามล่าโดยอสูรเถื่อน
“กระจายตัวกันไปและหนีมันให้พ้น! อสูรเถื่อนในบริเวณนี้รวดเร็วเกินไปแล้ว! หากแยกกันหนีน่าจะมีโอกาสรอดตายมากกว่า!”
ทันทีทันใด นักสู้คนหนึ่งตะโกนขึ้น
กลิ่นอายความแกร่งกร้าวของอสูรเถื่อนที่ไล่หลังมาช่างทรงพลังน่ากลัวนัก นอกเหนือจากพละกำลังแล้ว มันยังมีความเร็วอันน่าเหลือเชื่อยิ่ง
ในเวลานั้นเอง ทุกคนรู้สึกดั่งว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันพล่ามัวอย่างหนัก ราวกับมีกระแสพลังงานบางอย่างหอบหนึ่งเคลื่อนผ่านหน้าอย่างฉิวเฉียด
บูมมม!!
เศษเนื้อเศษเลือดกระจัดกระจายสารทิศ!
เหล่านักสู้กลุ่มนั้นถึงกับหน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัวจัด เมื่อหันหลังกลับไปมองก็พบว่า อสูรเถื่อนที่ไล่ล่าพวกเขามาตลอดทาง บัดนี้ได้เละเป็นเนื้อบดไปแล้ว!
ร่างไสวสายหนึ่งปรากฏขึ้นประจันหน้าพวกเขา พร้อมสองมือไขว้หลังอย่างองอาจ
นักสู้กลุ่มนั้นอดสบสายตามองกันมิได้ก่อนเร่งก้มศีรษะผสานมือคาราวะเหนือหัวในบัดดล
“ขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ท่านอาวุโสยื่นมือช่วยเหลือ!”
พวกเขาก้มหน้าก้มตาโค้งคำนับพร้อมท่าทางอันเปี่ยมไปด้วยความกตัญญู
แต่เมื่อนักสู้กลุ่มนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปในทันที!
“จะ-จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์! ท่าน…ท่านยังไม่ตาย?”
สีหน้าของทุกคนซีดเผือกด้วยความกลัวสุดขีด คนที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้กลับเป็น จู่เก๋อฉิงซวนผู้ที่ควรจะตายลงในมิติต่อเติมของนิกายชำระวิญญาณไปนานแล้ว!
“ฮิฮิ ดูเหมือนว่าพวกเจ้า…คงปรารถนาให้ข้าผู้นี้ตายนัก?”
ทันใดนั้นจู่เก๋อชิงซวนพลันแสยะยิ้มเย็นฉีกกว้าง พร้อมเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกที่แผดดังออกมา
จู่เก๋อฉิงซวนในตอนนี้ราวกับแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
แม้จู่เก๋อฉิงซวนจะเป็นคนหยิ่งผยองถือดีอย่างไร ทว่าเขากลับไม่เคยมีท่าทางชวนขนลุกขนาดนี้มาก่อน
ทว่ายามนี้ เพียงรอยยิ้มเย็นที่แสยะกว้างนั้นก็ทำเอาหัวจิตหัวใจของผู้คนสั่นสะท้านยันไขกระดูก
ผู้ใดได้จับจ้องประหนึ่งตกอยู่ในวันวนแห่งความสยดสยอง นี่มิใช่จู่เก๋อฉิงซวนที่พวกเขาเคยรู้จัก!
“ผะ-ผู้ต่ำต้อยคนนี้มิได้หมายความเช่นนั้น! เราเพียงได้ยินมาว่า ท่านประสบปัญหาใหญ่ในมิติของนิกายชำระวิญญาณ และ…และคิดว่า…”
นักสู้คนหนึ่งพยายามเอ่ยปากกล่าวอธิบาย ทว่าทันใดนั้น ยังไม่ทันกล่าวจบศีรษะของเขาพลันหลุดจากบ่าทันทีโดยคลื่นใบมีดบนมือของจู่เก๋อชิงฉวน
“ข้าถามพวกเจ้าตอบ! ตอนนี้เย่หยวนอยู่ที่ไหน!”
จู่เก๋อฉิงซวนกล่าวถามขึ้น
เมื่อเห็นสหายในกลุ่มหัวขาดพร้อมน้ำพุเลือดสดพรั่งพรูออกมาไม่หยุดตรงหน้า สีหน้าของทุกคนพลันซีดเผือกอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ยังพร้อมใจกันส่ายหัวไม่รู้เรื่อง
ท้ายที่สุดนี้ ผู้ที่ช่วยให้พวกเขารอดชีวิตออกมาได้ก็คือ จอมราชันย์พิชิตสวรรค์ ดังนั้นแล้วจะให้พวกเขาทรยศจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ได้อย่างไร?
“ท่านจอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ พวกเราผู้ต่ำต้อยไม่ทราบจริงๆว่าเขาไปที่ใดแล้ว!”
นักสู้อีกคนหนึ่งย่างขึ้นหน้าตรงออกมากล่าวตอบ
“ฮิฮิ ยังกล้าเล่นเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆต่อหน้าข้าผู้นี้อีกงั้นรึ? ดูท่าพวกเจ้าคงเป็นพี่น้องกัน? เช่นนั้น…”
ขณะที่กล่าว จู่เก๋อฉิงซวนพลันชี้ดัชนียิงแสกหน้าในทันใด
ซวบบบ!
กลางหน้าผากของนักสู้คนนั้นถูกเจาะเป็นรูโหว่สีเลือดขนาดใหญ่ ร่างไร้วิญญาณทรุดฮวบลงกับพื้นในเสี้ยวพริบตา
“น้องสี่!”
นักสู้อีกคนเร่งรุดตรงออกมาประคองร่างในทันใด พร้อมสาดสายตาแดงก่ำสุดอาฆาตจ้องเขม็งไปที่จู่เก๋อฉิงซวนด้วยความโกรธแค้น
“ไอ้บัดซบ! เดนมนุษย์อย่างแกหาใช่คู่มือของจอมราชันย์พิชิตสวรรค์ไม่! สวรรค์มีตา สักวันแกจักต้องลงนรกแน่นอน นับรอวันตายได้เลย! พวกเรา,แม้นตายอย่าได้เสียสัตย์! ผนึกกำลังโจมตีเศษเดนมนุษย์อันไร้ยางอายจวบจนลมหายใจสุดท้าย!”
กลุ่มนักสู้เหล่านี้มีจำนวนทั้งหมดห้าคน แต่เดิมพวกเขาเป็นนักสู้พเนจรท่องทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เห็นว่าแต่ละคนมีนิสัยถูกคอกันจึงกลายเป็นพี่น้องร่วมสาบาน พี่ใหญ่เป็นถึงเซียนอาณาจักรบัญชาสวรรค์ ส่วนน้องทั้งสี่ล้วนเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะ
ด้วยนิสัยของพวกเขา หาได้ตื่นตัวต่อสถานการณ์โดยรวมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ แต่หากจะสั่งให้ พวกเขาทั้งห้าทรยศต่อท่านเย่หยวน นั้นกลับทำไม่ลง!
ภายในใจของพวกเขาทุกคน ท่านเย่หยวนเปรียบเสมือนวีรบุรุษของมวลมนุษย์ และยังเป็นความหวังเดียวที่เหลืออยู่ ณ ตอนนี้
หากต้องขายท่านเย่หยวนเพื่อเอาชีวิตรอด พวกเขาเหล่าห้าพี่น้องขอตายยังดีกว่า!
ยิ่งไปกว่านั้น การทที่จู่เก๋อฉิงซวนสังหารน้องสี่ไป นั้นมิได้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม นั้นกลับยิ่งปลุกจิตวิญญาณนักสู้ของพวกเขาให้เดือดพล่านลุกโชนขึ้น!
เว้นเสียแต่ว่า ความแข็งแกร่งของทั้งสี่กลับมิควรถูกพูดถึงต่อหน้าจู่เก๋อฉิงซวนแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าทั้งสี่คนนั้นบ้าไปแล้ว จู่เก๋อฉิงซวนพลันหัวร่อเสียงเย็นคำหนึ่งและชี้ดัชนีสาดกระจายออกมาอย่างเบื่อหน่ายคล้ายบดขยี้กิ่งไม้แห้ง
“ฮิฮิ เจ้าเด็กเหลือขอนั้นช่างมีความสามารถที่น่าประทับใจจริงๆ เสมือนจับผู้คนกรอกยาเสน่ห์ลงคอถึงได้จงรักภักดีกับมันถึงเพียงนี้ ช่างคล้ายกับ…เจ้าเซียนเต๋าสวรรค์ในปีนั้นจริงๆ! ตอนนี้เจ้าด้อยกว่ามันโดยสมบูรณ์แล้ว!”
ทันทีทันใด จู่เก๋อฉิงซวนพลันกล่าวเสียดสีออกมาลอยๆ
เสี้ยวอึดใจต่อมา ใบหน้าประดับรอยยิ้มเย็นแสนขนลุกพลันกลับสู่สภาพเดิม สุ้มเสียงอันหยิ่งผยองที่คุ้นเคยเอ่ยดั่งขึ้นว่า
“หึ! นั้นมิใช่ธุระของเจ้า! เจ้าเองก็ไม่ต่างจากข้าในตอนนี้! ในปีนั้น,เจ้าคงถูกเซียนเต๋าสวรรค์ไล่ต้อนจนหางจุกตูดดั่งสุนัข! หากแกร่งกล้ากว่าอีกฝ่ายจริง คงไม่ต้องจำศีลยาวนานถึงล้านปี!”
“ฮิฮิ เจ้านี่มันหน้าด้านไร้ยางอายเหมือนกับบรรพบุรุษของเจ้า,จั้วซ่งไม่มีผิด! ในปีนั้นมันถึงขั้นทรยศมนุษย์ และทำข้อตกลงกับเผ่าปีศาจ! ช่างเถอะ ยามนี้เจ้ากับข้ากลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และไอ้เด็กเหลือขอนั้นก็เป็นศัตรูร่วมกันของเราทั้งคู่! อย่าได้ขัดแย้งกันเช่นนี้อีกต่อไป หากไม่มีเจ้า พระเจ้าผู้นี้เองก็ไม่สามารถฆ่ามันได้สำเร็จเช่นกัน!”
“หึ! เช่นนั้นก็จงเชื่อฟังข้าผู้นี้! มิฉะนั้นข้าเองก็ไม่รังเกียจ,ขอฆ่าตัวตายไปพร้อมเจ้า!”
“หยุดทำเรื่องโง่ๆเช่นนั้น! พระเจ้าผู้นี้เข้าใจในตัวเจ้าดี! เฮ้ออ…สันดานนิสัยของเจ้าเหมือนกับจั่วซ่งไม่มีผิดจริงๆ สมแล้วที่เป็นลูกหลานของมัน! เอาเถอะ,เจ้าคงไม่อยากจบชีวิตลงง่ายๆ เช่นนี้เถอะ ร่วมด้วยช่วยกันตามล่าไอ้เด็กเหลือขอนั้น มันในยามนี้คงมุ่งหน้าเข้าสู่เขตพระเจ้าต้องห้ามแน่นอน เจ้าควบคุมร่างกายไป ส่วนข้าจะใช้เคล็ดโลหิตติดตามหาตัวมันเอง!”
“หากเจ้ามีวิถีทางเช่นนี้ ไฉนถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?”
“ฮิฮิ ก็เจ้าไม่ถามอะไรข้าเลย! อีกอย่าง วิธีการของพระเจ้าผู้นี้ก็หาใช่สิ่งที่พวกเจ้าอาณาจักรเต๋าลึกล้ำจินตนาการถึงได้ ไม่สิ…แม้แต่จั่วซ่งยังต้องเกรงใจข้าผู้นี้!”
“….”
ปรากฏว่าในวันนั้น จู่เก๋อฉิงซวนกับหลีกุยเข้าพันวัลสัประยุทธ์กันอย่างดุเดือด จนห้วงมิติพังทลายลงมา
และเดิมความแกร่งกล้าของหลีกุยเหนือชั้นกว่ามาก
แต่เนื่องจากหลีกุยเพิ่งฟื้นขึ้นจากการจำศีลนับล้านปี จึงทำให้พละกำลังของมันยังฟื้นคืนไม่เต็มที่ แถมการที่มันต้องตื่นก่อนกำหนดยังส่งผลให้จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของมันบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่สัประยุทธ์ศึกใหญ่กับจู่เก๋อฉิงซวนจึงส่งผลให้ทั้งคู่เจียนตายแทบรั้งชีวิตไม่อยู่
อย่างไรก็แล้วแต่ เซียนอาณาจักรพระเจ้าก็ยังคงเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าวันยังค่ำ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หลีกุยได้สำแดงใช้ศาสตร์ลับพิสดาร ทิ้งร่างกายเนื้อของตนเหลือเพียงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าสิงสู่ร่างของจู่เก๋อฉิงซวน หวังเพื่อจะยึดครองและหนีออกไป
จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งคู่ตะลุมบอนอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ท่ามกลางทะเลแห่งจิตใจภายในร่างของจู่เก๋อฉิงซวน
ทว่าท้ายที่สุดนี้ กลับไม่มีใครทำอะไรใครได้
ซึ่งใครจะรู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่า จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองพลันสมานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!
ณ ปัจจุบันทั้งคู่ต้องแบ่งร่างกันใช้อย่างที่เห็น
จอมราชันย์สวรรค์นิรันดร์ในตอนนี้มนุษย์ก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง
……………………….
“สำเร็จ!”
สุ้มเสียงโหร้องของเย่หยวนดังกึกก้องไปทั่วทั้งดินแดนสัตว์เทวะ
โดยไม่รีรออันใด เย่หยวนเร่งกัดปลายนิ้วเล็กน้อยจนเลือดหยดหนึ่งหลั่งออกมา
“เร็วเข้า หยดโลหิตลงบนตรามังกรศักดิ์สิทธิ์!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นอย่างเร่งรีบ
เย่หยวนพยักหน้าตอบพร้อมหยดโลหิตลงบนตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ทันควัน
บูมมมมม!!
แรงกดดันของเผ่ามังกรระเบิดคลั่งพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน เสียงมังกรคำรามสะท้านพิภพกึงก้องทั่วฟ้าดินไพศาล!
ในที่สุดเย่หยวนก็รู้สึกว่าเลือดเนื้อของตนสามารถสื่อจิตกับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้เสียที
แต่นั้นสามารถสัมผัสได้เพียงลางๆเท่านั้น
ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ ด้วยความแกร่งกล้าของเย่หยวนในปัจจุบันไม่มีทางปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาได้เลย
อย่าลืมไปเสีย แม้แต่ในยุคศาสตร์แห่งสวรรค์เฟื่องฟู เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ยังถือเป็นของวิเศษหายากยิ่งเช่นกัน
การจะเปิดใช้ตรามังกรศักดิ์สิทธิ์จำเป็นจะต้องใช้โลหิตพลังชีพของรุ่นบรรพบุรุษ และวิชาลับศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดต่อกันมาของประมุขเผ่ามังกรในแต่รุ่น จากนั้นก็ให้หยดโลหิตของประมุขรุ่นปัจจุบันลงไป
วิชาลับศักดิ์สิทธิ์นี้คืออักษรจารึกศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดัดแปลงเพื่อใช้สำหรับตรามังกรศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ แน่นอนว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่มีวันเข้าใจวิชาลับศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้ได้เลย
ทว่านี่กลับมิใช่เรื่องยากเลยสำหรับผู้ที่มีฤทัยแห่งฟ่านจู้หลงเฉกเช่นเย่หยวน
เขาใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้นก็สามารถสำเร็จวิชาลับศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างถ่องแท้
“มาลองมดสอบพลังกันเถอะ!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เขาได้เห็นความมหัศจรรย์ของฤทัยแห่งฟ่านจู้หลง ทันทีที่ท่านบรรพบุรุษทราบว่า เย่หยวนใช้เวลาเพียงสามวันก็สามารถเข้าใจวิชาลับศักดิ์สิทธิ์นี้ได้อย่างถ่องแท้ ขากรรไกรของเขาเองก็แทบร่วงกระแทกพื้น
ยามนี้ ท่านบรรพบุรุษต่างจับจ้องเย่หยวนอย่างใจจดใจจ่อ
เย่หยวนพยักหน้าตอบก่อนดัดคอบิดศีรษะคลายเมื่อยเล็กน้อย และชูตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ขึ้นตรงหน้าทันที
บูมมมมม!!
หุบเขานับร้อยที่สลักซ้อนเบื้องหน้าทอดยาวสุดสายตากว่าเจ็ดหมื่นลี้ ยามนี้พินาศสิ้น สรรพสิ่งถูกชำระล้างเหลือกลายเป็นพื้นที่ราบอันว่างเปล่า!