Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1280
น้ำตาแห่งชีวิต!
“ห้วงอวกาศ?”
เย่หยวนเผยสีหน้าแสนงุนงงไม่แน่ใจว่านั้นหมายถึงสิ่งใด
“ดินแดนพฤกษานิรันดร์เปรียบเสมือนโลกใบเล็กๆที่ถูกขวางกั้นโดยห้วงอวกาศ ไม่สามารถเดินทางเข้าสู่มหาพิภพถงเทียนได้โดยตรง ต่อให้เป็นอาณาจักรเทพถ่องแท้ก็ไม่สามารถขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียนได้! ไม่เพียงดินแดนพฤกษานิรันดร์เท่านั้น ดินแดนอื่นๆเองก็ถูกขวางดั้นโดนห้วงอวกาศเช่นกัน! สิ่งที่เรียกว่าห้วงอวกาศนั้น มันคือรูปแบบพลังความผันผวนที่ไร้ความเสถียรโดยสมบูรณ์ คล้ายมิติไร้สภาวะโกลาหลไร้สิ้นสุด”
คุนหวูกล่าวอธิบาย
เย่หยวนตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะกล่าวว่า
“เช่นนั้นแล้ว เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนที่หายตัวไป มีความเป็นไปได้ไหมว่า พวกเขาจะเสาะหาวิธีการเพื่อเดินทางขึ้นสู่มหาพิภพถงเทียน?”
รอยยิ้มเหยียดแสนดูถูกพลันฉีกออกบนมุมปากของคุนหวูทันทีที่ได้ยิน เขากล่าวอย่างไม่แสแยว่า
“เจ้าพวกโง่นั้นเดินทางผ่านประตูผนึกดินแดน แต่ในส่วนที่ว่าพวกเขาเดินทางถึงจุดหมายหรือไม่ เรื่องนี้กลับมิทราบ”
คู่นัยน์ตาของเย่หยวนเบิกกว้างแทบถลนออก ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดจากปากของคุนหวู
และอีกสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวยิ่งคือ ห้วงอวกาศที่ว่านั้นช่างสะพรึงเกินไป!
เหล่าเซียนอาณาจักรพระเจ้าในดินแดนพฤกษานิรันดร์เมื่อหนึ่งแสนปีก่อน พวกเขามีจำนวนไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคน
แม้ในยุคนั้นศาสตร์แห่งสวรรค์จะเสื่อมถอยลงแล้ว แต่ในหมู่พวกเขา เย่หยวนก็มั่นใจว่ายังมีเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าอยู่แน่นอน
ผู้คนเหล่านี้หาใช่ชนชั้นกินเจไม่ แต่คุนหวูที้เรียกแทนพวกเขาว่า‘เจ้าพวกโง่’ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า มีหลายต่อหลายคนที่พลาดท่าสิ้นใจตายลงในระหว่างการเดินทางกลางห้วงอวกาศ!
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ พวกเขาเหล่านั้นต่างเป็นการดำรงอยู่ที่ทรงพลังยิ่งในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้!
ใครบ้างที่สามารถรอดชีวิตออกจากห้วงอวกาศได้ นั้นกลับไม่ทราบ!
เห็นสีหน้าของเย่หยวนดังนั้น คุนหวูทราบทันทีว่าเย่หยวนกำลังคิดอะไรอยู่พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ตอนนี้ เจ้ายังอยากไปยังมหาพิภพถงเทียนอยู่หรือไม่?”
แววหาญกล้าเจือดื้อรั้นสาดสะท้อนออกจากนัยน์ตาของเย่หยวน เขากล่าวตอบทันทีด้วยความมุ่งมั่นว่า
“ห้วงอวกาศช่างน่ากลัวอย่างแท้จริง! กระนั้นเอง การได้เห็นมู่หลินเสวียตายต่อหน้าต่อตา นั้นไม่มีอะไรน่ากลัวยิ่งกว่าแล้ว! โปรดชี้ทางให้แก่ผู้เยาว์ด้วยเถิด!”
คุนหวูหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ใจกล้าดีไม่น้อย! แต่ห้วงอวกาศนั้นเป็นเพียงบททดสอบแรกเท่านั้น! สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญพบกลับยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่ามาก!”
เย่หยวนสูดไอเย็นเข้าลึกๆและกล่าวอย่างแช่มช้าว่า
“ท่านอาวุโสโปรดอธิบาย!”
สีหน้าของคุนหวูดูเคร่งขรึมขึ้นโดนพลัน เขากล่าวว่า
“มีตำนานเล่าขานไว้ว่า บนหุบเขาถงเทียนมีน้ำพุวิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่า น้ำตาแห่งชีวิต ซึ่งตามคำบอกกล่าวกันมา น้ำตาแห่งชีวิตได้ไหลลงมาจากยอดเขาถงเทียน ตราบใดที่ยังพอหลงเหลือเศษเสี้ยวจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เพียงได้รับน้ำตาแห่งชีวิตเพียงหนึ่งหยดก็สามารถฟื้นคืนฟื้นได้ทันที! แต่นั้นเป็นเพียงตำนาน ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ส่วนภายในดินแดนพฤกษานิรันดร์ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าน้ำตาแห่งชีวิตคงไม่มีในดินแดนแห่งนี้”
เมื่อได้ยินคุนหวูกล่าวเช่นนั้น เย่หยวนกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ท่านอาวุโส ถึงผู้เยาว์คนนี้จะต้องบุกน้ำลุกไฟสักเพียงใด ยังไงข้าก็ต้องเข้าไปในหุบเขาถงเทียนให้ได้ ข้าจะต้องเสาะหาน้ำตาแห่งชีวิตมา!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันมุ่งมั่น
ผลจากการกระทำ สรวงสวรรค์ย่อมตอบแทนอย่างซื่อสัตย์! หากเขายังคงมุ่งมานะและไม่ยอมแพ้!
เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะต้องได้พบกับน้ำตาแห่งชีวิตแน่นอน!
ทว่าอย่างไร ทันทีที่คุนหวูและหวูเฉินได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน ทั้งคู่ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยพร้อมเพรียง
ยามนี้ เย่หยวนได้แต่ยืนงงดั่งคนโง่งม และไม่แน่ใจว่าตนกล่าวอะไรผิดไป
หวูเฉินคลี่ยิ้มบางกล่วาตอบว่า
“เด็กน้อย เจ้ายังไร้เดียงสาจริงๆ! ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างยิ่ง! และไม่กลัวตายเลยแม้แต่น้อย! การจะขึ้นสู่หุบเขาถงเทียนมันมิได้ง่ายเหมือนการเสาะหาศาสตร์แห่งสวรรค์ของเจ้า! เมื่อเจ้าถึงมหาพิภพถงเทียน เจ้าจะได้เปิดโลกอันกว้างใหญ่ และอย่างน้อยที่สุด เจ้าจะขึ้นทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์พระเจ้าให้ได้เสียก่อน! มิฉะนั้นแล้ว ทันทีที่เจ้าย่างขึ้นสู่หุบเขาถงเทียน เจ้าจะกลายเป็นเศษเนื้อบดทันทีโดยแรงกดดันภายในหุบเขา! ที่สำคัญ เซียนอาณาจักรราชันย์พระเจ้าสามารถเดินขึ้นหุบเขาถงเทียนได้แค่สิบลี้เท่านั้น ไกลกว่านั้นหน่อยก็จำต้องเป็นเซียนอาณาจักรนภาสวรรค์ กระทั้งจอมเทพนิรันดร์ยังเดินทางไปได้เพียงหนึ่งหมื่นลี้เท่านั้น! กว่าเจ้าจะบ่มเพาะฝึกปรือจนขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรเทพสวรรค์ มีเพียงสวรรค์ที่ทรงทราบว่าจำต้องใช้เวลาเนินนานเท่าใด”
สีหน้าเย่หยวนดูเคร่งเครียดชัดเมื่อได้ฟัง ไฉนมันถึงได้ชื่อว่า หุบเขาถงเทียน ยามนี้คิดว่าทราบเหตุผลดีเยี่ยมแล้ว
คุนหวูกล่าวเสริมขึ้นต่อว่า
“ข้าลืมบอกเจ้าไป เก้าจอมเทพเต๋าบรรพกาลนั้นที่ได้ชื่อว่าตรัสรู้เห็นถึงสรรพสิ่ง ยังเดินไปได้แค่หนึ่งล้านลี้เท่านั้น แต่เพราะแบบนั้นจึงทำให้พวกเขาทั้งเก้าขึ้นกลายเป็นจอมเทพอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้! กระนั้นเอง พวกเขาทั้งเก้าก็มิได้พบเห็นน้ำตาแห่งชีวิตในตำนานนั้นเช่นกัน ผู้คนจึงสันนิษฐานกันว่า มีความเป็นไปได้สูงที่น้ำตาแห่งชีวิตจะซ่อนอยู่ในส่วนลึกเกินกว่าหนึ่งล้านลี้แน่นอน! แต่หากเจ้ามุ่งมั่นขนาดนี้ สิ่งแรกที่ควรสนใจคือการบ่มเพาะพลังเพื่อขึ้นกลายเป็นจอมเทพอาณาจักรเต๋าบรรพกาล!”
ทั่วทั้งร่างกายของเย่หยวนสั่นเท่าโดยมิตั้งใจ หากจำไม่ผิดคุนหวูเคยกล่าวไว้ก่อนหน้าว่า ถึงแม้เต๋าของเขาจะยิ่งใหญ่ใด แต่ก็ไม่มีทางขึ้นกลายเป็นจอมเทพอาณาจักรเต๋าบรรพกาลได้เลย!
หากต้องการขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลคนใหม่ จำต้องทรงพลังจนเทียบชั้นได้กับเก้าจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้ได้เสียก่อน!
ความยากลำบากชนิดนี้ กล่าวได้ว่าขึ้นสวรรค์ยังง่ายเสียกว่า!
สีหน้าเย่หยวนบิดเบี้ยวน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ ทันทีทันใดเขาพลันถอนหายใจเสียวยาว คำบอกเล่านี้ของคุนหวูได้ลดทอนไฟแห่งความมุ่งมั่นของเขาลงไม่น้อย
“ท่านอาวุโส…พอมีวิธีอื่นที่เป็นไปได้หรือไม่?”
เย่หยวนกล่าวขึ้นอย่างไร้หนทาง
คุนหวูกวาดสายตาจับจ้องเย่หยวนพร้อมพยักหน้ากล่าวว่า
“ยังมีอีกสองหนทาง!”
คู่ดวงเนตรไสวส่องประกายขึ้นในทันใด เย่หยวนเร่งโพล่งกล่าวด้วยความดีใจ
“ท่านอาวุโปรดชี้แนะ!”
เจาะลึกในแววตานั้นช่างเปี่ยมไปด้วยแสงแห่งความหวัง
คุนหวูที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่หยุดหย่อน เขากล่าวว่า
“หนทางแรก เจ้าจะต้องไปเชิญหนึ่งในจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้ออกโรงช่วยเสาะหาน้ำตาแห่งชีวิต หนทางที่สองคือ เชิญให้จอมเทพเต๋าบรรพกาลมารักษาด้วยตัวเอง! ถึงอย่างไรพวกเขาก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกลับเต๋าสรรพสิ่ง นั้นรวมไปถึงเต๋าแห่งชีวิตด้วย ขอเพียงพวกเขาเต็มใจช่วยเหลือสาวน้อยนางนี้ นางก็ยังมีโอกาสรอดตาย! แต่แน่นอน…ทั้งหมดเป็นเพียงการสันนิษฐานของข้า! ส่วนหนทางที่สาม เฮ้ออ…คนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเห็นในมหาพิภพถงเทียน อย่างมากก็แค่ ยอดเซียนอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ ส่วนเก้าจอมเทพเต๋าบรรพกาลกลับไม่เคยปรากฏตัวมาไม่รู้เนินนานเพียงใดแล้ว ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาทั้งเก้ามาก่อน”
กระจิตกระใจเย่หยวนปั่นปวนไร้ระเบียบ หนทางเหล่านี้กลับไม่ง่ายดั่งที่พูดเลย
สรุปได้ว่า หนทางช่วยชีวิตมู่หลินเสวียมีทั้งหมดสามทางเลือก หนึ่งคือเขาจะต้องเชื้อเชิญจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้ช่วยตามหาน้ำตาแห่งชีวิต สอง,เชิญจอมเทพเต๋าบรรพกาลให้มาช่วยรักษานาง และหนทางสุดท้าย….ทำให้ตัวเขาขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลเสียเอง!
แต่นี่…ยังมีความเป็นไปได้อยู่ใช่ไหม?
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเย่หยวน คุนหวูกับหวูเฉินพลันสบตากันโดยเร็ว ก่อนที่ทั้งคู่จะถอนหายใจเสียงยาวพร้อมกันอย่างไร้ประโยชน์
พวกเขาทราบดีว่าความรู้สึกของเย่หยวนที่มีต่อมู่หลินเสวียมันจริงใจเพียงใด แต่ว่าจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนางอีกไม่นานจำต้องสลายไปตลอดกาล หนทางทั้งสามที่กล่าวไปกลับไม่มีทางทำสำเร็จได้เลย
“ตัดใจเสียเถอะ มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย! อันที่จริงแล้ว หากกล่าวตามสัตย์ ในความคิดของข้า แค่ลำพังเจ้าจะฝ่าห้วงอวกาศไปมหาพิภพถงเทียนยังแทบเป็นไปไม่ได้เลย! อยู่ในดินแดนพฤกษานิรันดร์แห่งนี้ต่อไปเพื่อปกป้องดูแลผู้คนเถอะ!”
คุนหวูถอนหายใจพร้อมกล่าวตามความจริง
หลังจากนั้นพักใหญ่ เย่หยวนก็สูดหายใจเข้าลึกๆช้าๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ลง
เห็นเย่หยวนดูสงบสติอารมณ์ลง ยามนี้คุนหวูกับหวูเฉินพลันลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากเย่หยวนตายลงในระหว่างห้วงอวกาศ นั้นจะส่งผลให้ดินแดนพฤกษานิรันดร์เสื่อมโทรมยิ่งกว่าเก่า
และไม่นานดินแดนพฤกษานิรันดร์จะกลายเป็นดินแดนที่เหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็ว!
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองและดินแดนแห่งนี้ก็ใช่ว่าตื้นเขิน พวกเขาคงไม่เต็มใจแน่นอนหากต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนั้น
“ท่านอาวุโส…โปรดบอกทางไปยังประตูผนึกดินแดน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันแน่วแน่
ทั้งคุนหวูและหวูเฉินถึงกับสะดุ้งเฮือก พวกเขาพลันคิดว่าตนได้ยินอะไรผิดไป
สำหรับเส้นทางชีวิตของสาวน้อยนางนี้ เกรงว่าได้สิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์แล้ว ด้วยสภาพของมู่หลินเสวียในตอนนี้ นางสามารถตายได้ทุกเวลา
ในสายตาของเหล่าเซียนแห่งมหาพิภพถงเทียน สิ่งมีชีวิตในดินแดนเล็กๆเหล่านี้เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น!
แม้เย่หยวนจะเป็นถึงผู้ปกครองดินแดนพฤกษานิรันดร์ แต่เขายังคงเป็นสิ่งมีชีวิตระดับต่ำสุดในมหาพิภพถงเทียน!
มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ เหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ กระทั้งมังกรยังต้องขดหางเก็บ!
“เจ้าต้องคิดให้ดีๆก่อน!”
คุนหวูกดเสียงต่ำเอ่ยกล่าวเตือน
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน เขาพยักหน้ากล่าวตอบทันทีว่า
“ข้าตัดสินใจแล้ว! ข้าจะขึ้นกลายเป็นจอมเทพเต๋าบรรพกาลคนที่สิบแห่งมหาพิภพถงเทียน! จากนั้นข้าจะรักษามู่หลินเสวียด้วยตัวเอง!”