Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1300
คุณสมบัติของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
“โอสถศักดิ์สิทธิ์ย่อมรับซื้อโดยธรรมชาติ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพโอสถที่หลอมกลั่นได้ ทางเราหอมหาสมบัติมีเกณฑ์พิจารณาอยู่เช่นกัน หากเป็นโอสถปราณเทวะ คุณภาพห้ามต่ำกว่าขั้นกลาง มิฉะนั้นทางเราขอสงวดสิทธิ์งดรับทุกประการ”
หงหยิงยังคงตกใจอยู่ลึกๆไม่เสื่อมคลาย แต่ภายนอกก็ยังสงบนิ่งดุจผิวน้ำ
นอกจากนี้นางยังงุนงงฉงนใจเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าชายพิการคนนี้กำลังประสบปัญหาเรื่องเงินทอง
แต่…ทั้งๆที่เขารู้จักวรยุทธค่ายกลเต๋ากลั่นโอสถ แต่ไฉนถึงเป็นคนจนที่แม้แต่ห้องบ่มเพาะระดับเหลืองก็ไม่มีปัญญาเช่า?
เย่หยวนเองก็หาได้ใส่ใจว่าหงหยิงจะคิดอย่างไร เขายังคงถามต่อว่า
“ข้าสงสัยว่าเกณฑ์การรับซื้ออยู่ที่ราคาเท่าใด?”
หงหยิงหาได้รนร้อนใจอันใด นางกล่าวอธิบายด้วยความใจเย็นว่า
“โอสถปราณเทวะขั้นกลางรับซื้ออยู่ที่ยี่สิบห้าผลึกปราณเทวะระดับต่ำ โอสถปราณเทวะขั้นสูงอยู่ที่แปดสิบผลึกปราณเทวะระดับต่ำ และโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมอยู่ที่สี่ร้อยผลึกปราณเทวะระดับต่ำ”
ซึ่งราคาขายของโอสถปราณเทวะขั้นกลางในหอมหาสมบัติจะอยู่ที่ยี่สิบห้าผลึกปราณเทวะระดับต่ำ, โอสถปราณเทวะขั้นสูงจะอยู่ที่หนึ่งร้อยก้อน ขณะที่โอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยมเท่ากับห้าร้อยก้อน
เนื่องจากหอมหาสมบัติเป็นฝ่ายรับซื้อโดยตรง ดังนั้นเขาจึงต้องเก็บส่วนต่างไว้ทำกำไรโดยธรรมชาติ
เย่หยวนเองก็เห็นว่า ราคาประมาณนี้ค่อนข้างยุติธรรมมากแล้ว
แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ขายได้มากที่สุดยังคงเป็นโอสถปราณเทวะขั้นต่ำ
นักสู้โดยส่วนใหญ่จะใช้แต่โอสถปราณเทวะขั้นต่ำกันเท่านั้น
เนื่องจากเวลาใช้โอสถปราณเทวะที พวกเขาใช้กันยกโหลเป็นกองพะเนิน หากเป็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางยังพอทำเนา แต่หากเป็นขั้นสูง พวกเขาต้องใช้จ่ายทีเป็นหลักร้อยถึงพันกว่าก้อน ซึ่งจำนวนผลึกปราณเทวะขนาดนั้น พวกเขาโดยส่วนใหญ่ไม่มีปัญญาจ่ายไหว
สำหรับโอสถปราณเทวะขั้นยอดเยี่ยม นั้นเป็นราคาที่สูงลิบลิ่ว
แต่กระนั้นอย่างไร หอมหาสมบัติถือคติที่ว่า ไม่ขายสินค้าที่ไร้คุณภาพต่อผู้บริโภค ดังนั้นไม่ว่าโอสถปราณเทวะขั้นต่ำจะมีความต้องการสูงเพียงใด แต่พวกเขาก็เลือกที่จะไม่ขายในท้ายที่สุด
เย่หยวนพยักหน้าขณะผสานมือกล่าวกับหงหยิงว่า
“ขอบพระคุณมากแม่นาง”
กวาดสายตามมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่คล่อยไกลห่างออกไป คู่ดวงเนตรไสวน้ำงามพลันกรอกไปมาเล็กน้อย
แม้นางจะคิดว่า เย่หยวนไม่สามารถหลอมโอสถปราณเทวะได้จริงๆ แต่หงหยิงยังคงสนใจในตัวเย่หยวนมิใช่น้อย
หลังจากเข้าสู่ห้องบ่มเพาะ เย่หยวนก็ดึงจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จมดิ่งลงไปในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพและทำตามที่หวูเฉินชี้แนะ ทันทีทันใดทัศนีภาพโดยรอบพลันพล่ามัวหนัก ราวกับเขาหลุดไปยังห้วงอวกาศสีขาวน้ำนม
จากนั้นเย่หยวนได้ค้นพบว่า อัตราการไหลของเวลสในที่แห่งนี้เร็วกว่าโลกภายนอกอย่างมาก
“ท่านอาวุโส มาเริ่มกันเถอะ!”
เย่หยวนสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกล่าวขึ้นประดับคู่สายตาสุดแสนแน่วแน่
เขามีเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น หรือเท่ากับหนึ่งร้อยวันในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพ!
ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยวัน เย่หยวนจะต้องฝึกฝนจนกว่าจะหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้ นี่เป็นบททดสอบที่ท้าทายอย่างหาที่เปรียบไม่ เขามิอาจปล่อยทิ้งเวลาให้เสียเปล่าได้แม้แต่เสี้ยวอึดใจ
นี่เป็นภารกิจที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย!
หวูเฉินกล่าวว่า
“หากเปรียบเทียบกับโอสถชั้นสามัญทั่วไป กระบวนการหลอมกลั่นโอสถศักดิ์สิทธิ์ทั้งยากและซับซ้อนกว่ามาก! เจ้าเคยหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์มาแล้วก็จริง แต่นั้นก็ยังอยู่ในขอบเขตของโอสถชั้นสามัญทั่วไป! สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์แรงกว่าสมุนไพรวิญญาณทั่วไปถึงหนึ่งหมื่น หรือกว่าหนึ่งแสนเท่า! ต่อให้เป็นสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำสุดก็ตาม! ดังนั้นแล้ว ก่อนที่จะหลอมกลั่นโอสถ เจ้าจะต้องทำความคุ้นเคยกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน! จงจำเอาไว้ เจ้ามีโอกาสแค่สิบครั้ง!”
สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เย่หยวนซื้อมา นั้นเท่ากับโอสถปราณเทวะทั้งหมดสิบชุด!
เขาไม่เพียงต้องใช้ทั้งสิบชุดนี้เพื่อนำมาวิจัยศึกษาสร้างความคุ้นเคย แต่เขายังต้องใช้ที่เหลือเพื่อหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะได้สำเร็จ
นอกจากนี้เย่หยวนยังต้องเป็นโอสถปราณเทวะขั้นกลางขึ้นไปเท่านั้น
เงื่อนไขสุดหฤโหดแบบนี้ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยภายในหนึ่งร้อยวัน!
หวูเฉินถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“เจ้าหนู ต่อให้เป็นจอมเทพนิรันดร์ แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำสิ่งที่เจ้าเชื่อมั่นสำเร็จ!”
เย่หยวนคลี่ยิ้มบางพลางกล่าวตอบว่า
“ท่านอาวุโสกังวลเกินไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่สายเกินไป รอจนกว่าเย่คนนี้ล้มเหลวเสียก่อนค่อยซ้ำเติมเสียดีกว่า”
สายตาของหวูเฉินแปรเปลี่ยนดั่งเอาจริงเอาจังในทันควัน เขาพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“หวังว่าข้าจะไม่ได้ซ้ำคน เอาล่ะ ข้าจะเริ่มอธิบายคุณสมบัติและลักษณะเฉพาะของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ชนิดต่างๆก่อน ส่วนที่ว่าเจ้าจะทำความเข้าใจได้เร็วแค่ไหน สิ่งนี้ต้องพึงพาความสามารถตัวเอง! อย่างแรก ไหมฟ้าพิรุณเทวะ…”
หวูเฉินกล่าวบรรยายให้เย่หยวนฟังอย่างไหลลื่น องค์ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำเหล่านี้ครบถ้วนมิขาดตก
อย่างไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าหวูเฉินจะคุ้นเคยกับสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พวกนี้แค่ไหน แต่คนที่หลอมกลั่นก็มิใช่เขา
มีเพียงนักหลอมโอสถที่สรรสร้างผลงานออกมาได้ ซึ่งนี่ต้องขึ้นอยู่กับเย่หยวนแล้วว่ามีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหนหลังจากนี้
การฟังกับการเรียนรู้เองเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มีคำกล่าวที่ว่า‘ความรู้จากหน้าหนังสือกลับตื้นเขินที่สุด สัมผัสประสบการณ์จากของจริงกลับเป็นสิ่งมีค่าหาประเมินไม่’
การหลอมกลั่นโอสถเป็นทักษะที่กอปรขึ้นด้วยประสบการณ์และไหวพริบ ต่อให้เป็นยอดปรมาจารย์จะมาอธิบายละเอียดยิบเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องลงมือด้วยตนเองจึงจะเข้าใจ
ทว่าอย่างน้อยที่สุด การอธิบายเช่นนี้ก็ช่วยลดปัญหาเล็กๆน้อยๆได้ในตอนหลอมกลั่นจริง
เย่หยวนเพ็งจิตสมาธิตั้งใจฟังทุกคำพูดของหวูเฉินอย่างตั้งอกตั้งใจ
โอกาสเรียนรู้แบบนี้หาได้ไม่ง่ายนัก มีใครสักกี่คนที่ปรารถนาทุ่มเทเวลาอธิบายสมุนไพรรายชนิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนขนาดนี้ ทุกคำพูดของหวูเฉินนั้นสำคัญยิ่งยวด
สิ่งหนึ่งที่เย่หยวนได้เปรียบกว่าคนอื่น เขาเองก็เป็นนักหลอมโอสถมือฉกาจคนหนึ่ง ในด้านประสบการณ์ เขากล้าการันตีว่า น้อยคนนักที่เทียบเทียมเขาได้
แม้นั้นจะเป็นแค่ประสบการณ์หลอมกลั่นโอสถชั้นสามัญทั่วไปก็ตาม!
หวูเฉินยังคงเอ่ยปากอธิบายไม่หยุดเป็นเวลาสิบวันสิบคืนเต็ม!
หนึ่งในสิบจากเวลาที่มีทั้งหมดหายไปในพริบตา!
ถึงหวูเฉินจะกล่าวแนะก่อนหน้าแล้ว แต่เย่หยวนก็อยากเชื่อว่า สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำแค่ห้าชนิดนี้จะมีโครงสร้างและคุณสมบัติที่ซับซ้อนถึงเพียงนี้
ในสิบวันมานี้ ปริมาณข้อมูลความรู้ต่างๆที่หวูเฉินมอบให้ คล้ายน้ำป่าที่ถาโถมเข้าสู่ห้วงสมองของเย่หยวนกระหน่ำไม่หยุด
นี่มิกล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย รายละเอียดต่างๆของสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิด ประหนึ่งโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลใบหนึ่ง!
เฉพาะยามนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่า ไฉนหวูเฉินถึงไม่เคยมองเย่หยวนในแง่ดีเลย
ความยากในการหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะ ทำให้โอสถท้าทายสวรรค์ของเย่หยวนดูเป็นของเด็กเล่นไปเลย!
สิ่งที่หวูเฉินอธิบายไปทั้งหมดยังเป็นเพียงคุณสมบัติต่างๆของสมุนไพรวิญญาณแต่ละชนิดเท่านั้น นี่ยังไม่รวมถึงกระบวนการหลอมกลั่น ซึ่งหาได้ทราบไม่ว่า มันจะยากซับซ้อนกว่านี้อีกกี่ทวีเท่า
มีเวลาให้แค่หนึ่งร้อยวัน กลับช่างโหดร้ายเกินไปโดยแท้!
“ว่าไงเจ้าหนู รู้ซึ้งถึงความยากในการหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะรึยัง? ตอนนี้ยังมั่นใจดั่งคราก่อนหน้า?”
หวูเฉินอดเอ่ยปากหยอกล้อไปคำโตมิได้เมื่อเห็นเย่หยวนถอดสีหน้าแบบนั้น
เย่หยวนคลี่ยิ้มสู้อย่างขื่นขมระทมใจ เขากล่าวตอบว่า
“ความยากเกินที่ข้าจินตนาการไปมากนัก! แต่ข้ายังคงยืนยันคำเดิม ทางตันแค่นี้จะหยุดข้าได้แค่ไหนกันเชียว!”
เมื่อกล่าวจบ เย่หยวนขัดสมาธิหลับตาสนิทและเริ่มทบทวนผลกำไรความรู้ที่ได้รับมาตลอดสิบวันเต็ม
ข้อมูลปริมาณมหาศาลนั้นค่อยๆถูกกลั่นกรองเข้าสู่ห้วงความคิดทีละเล็กละน้อย
โดยปราศจากตัวช่วยอื่นใด เย่หยวนจำลองสถานการณ์ทั้งหมดขึ้นภายในหัวและทดลองกับตัวเองเช่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา
สองวันต่อมา เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองข้างขึ้นอีกครั้ง
หวูเฉินลอบประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นแบบนั้น กล่าวขึ้นอย่างฉงนใจขึ้นว่า
“เจ้าใช้เวลาแค่สองวันก็เข้าใจหมดแล้ว?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“มิอาจจกล่าวแบบนั้นได้เต็มปาก แต่ข้าก็มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นกว่าก่อนหน้ามากมายนัก หลังจากนี้เกรงต้องลงมือเองแล้ว ประสบการณ์ที่ดีที่สุดคือประสบการณ์ระหว่างทางเดิน”
หัวคิ้วของหวูเฉินพลันขมวดย่นขึ้นและกล่าวว่า
“เจ้าหนู ข้าขอให้เจ้าลองทบทวนโดยละเอียดอีกครั้งก่อนจะดีกว่า อย่าลืมเสีย เจ้ายังต้องแบ่งสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งไว้กินเพื่อศึกษาอีก ยามนี้ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเสียหายหนัก ฤทธิ์สมุนไพรจะสลายเร็วมาก แถมสภาพของเจ้าหลังจากกินไปเป็นเพียงหนึ่งส่วนสิบของนักสู้ทั่วไป หรือแม้กระทั่งหนึ่งส่วนร้อยก็เห็นไม่ผิด!”
เย่หยวนพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า
“แน่นอน ข้าทราบเรื่องนี้ดี แต่ถึงอย่างไรประสบการณ์ตรงย่อมดีกว่าเป็นที่สุด”
ทันทีที่กล่าวจบ เย่หยวนก็หยิบไหมฟ้าพิรุณเทวะขึ้นโดยไม่ลังเล ก่อนจะค่อยๆละเมียดละไมเริ่มเคี้ยวพินิจฤทธิ์สมุนไพรที่กระจายทั่วช่องปาก
………………
ณ เวลาเดียวกัน ภายนอกหอมหาสมบัติ ทั้งจางชุนและยอดฝีมือคนอื่นๆของตระกูลเหลียงที่ตามเข้ามาสมทบเริ่มรอกันไม่ไหว
“ไฉนไอ้พิการนั้นยังไม่ออกมาอีก?”
ยอดฝีมือของตระกูลเหลียงคนหนึ่งเอ่ยถาม
จางชุนรำพึงชั่วครู่ ก่อนกล่าวคาดการณ์อย่างสงสัยว่า
“มิใช่ว่ามัน…เช่าห้องบ่มเพาะภายในหอมหาสมบัติ?”
ยอดฝีมือคนนั้นโพล่งตะลึงงันเล็กน้อย และกล่าวตอบว่า
“ห้องบ่มเพาะ? ไอ้พิการนั้นจะเช่าห้องบ่มเพาะไปเพื่ออันใด? ไปถอดกางเกงผายลมเล่นภายในนั้นกระมัง? นี่ช่างเป็นความคิดที่โง่เง่ายิ่ง! ปิดประตูฆ่าตัวเองชัดๆ!”
ในคราแรก จางชุนรู้สึกว่า ความคิดนี้มันไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ท้ายที่สุด เขายังคงคุมเข้มยืนเฝ้าไม่ห่างสายตา จวบจนบัดนี้ คงไม่มีความเป็นไปได้อื่นแล้วหากอีกฝ่ายมิได้เช่าห้องบ่มเพาะเพื่อหลบภัยจริงๆ
“เจ้าเด็กนี่นับวันยิ่งประหลาดคน ไม่ว่าอย่างไรห้ามประมาทเด็ดขาด! เฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดห้ามเว้นว่าง! หากมันยังไม่ออกมา ก็ยืนรอจนกว่ามันจะออกมา!”
จางชุนกล่าว