Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1322
ตอนที่1322 สกัดทุกทางหนี
“เจ้าสามคนนั้นมานี่!”
นักสู้ผู้หนึ่งสวมชุดอาภรณ์คล้ายทหารยามตะโกนเรียกกลุ่นักสู้ทั้งสามที่กำลังจะเดินทางเข้าสู่สุสานสายลมหยิน
สีหน้าการแสดงออกของทั้งสามพลันผันเปลี่ยน หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า
“มีอะไร?”
ทหารยามตะโกนตอบเสียงเย็นว่า
“พวกเจ้าทั้งสาม ประทับฝ่ามือลงตรงนี้!”
“เหอะ! พวกเจ้าเป็นใคร? ไฉนมีสิทธิ์มาสั่งการคนอื่น?”
“หากไม่ประทับเอง เราจะช่วยประทับให้!”
“ช่างน่าขัน! พวกเราสามคนเข้าออกสุสานสายลมหยินไม่ต่ำกว่าร้อยรอบแล้ว! ไม่ยักจะรู้ว่ามีด่านตรวจสอบแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด แล้วพวกเจ้าเป็นใคร ไฉนถึงหยิ่งยโสถึงเพียงนี้!?”
“พวกเราเป็นใครกลับสำคัญไม่ เพียงแต่ข้าสั่งส่วนพวกเจ้าปฏิบัติตาม!”
“แล้วหาก…เราไม่ทำตามล่ะ?”
………………..
ไม่นานทั้งสามก็ประทับฝ่ามือลงในป้ายตราบางอย่างแต่โดยดี
ในไม่ช้า ป้ายตรานั้นก็เปล่งแสงเป็นสัญญาณไฟสีเขียวออกมา
ทหารยามที่เห็นแบบนั้นก็เหลียวมองทั้งสามและกล่าวว่า
“แค่ประทับมือลงไปตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว ไฉนถึงต้องให้ลงไม้ลงมือ?”
กลุ่มนักสู้ทั้งสามหาได้เอ่ยกล่าวหักล้างอันใด ก่อนจากไปพร้อมสีหน้าเจือหงุดหงิด
ในขณะนี้ ปรากฏผู้คนต่อแถวออกไปยาวอยู่ด้านนอกสุสานสายลมหยิน
ทุกคนต่างต้องการเข้าไปในสุสานสายลมหยิน แต่จำต้องผ่านการตรวจสอบจากป้ายตรานั้นเสียก่อน
กลุ่มทหารยามเหล่านี้หาใช่ฝักฝ่ายใดอื่น นอกเสียจากคนของตระกูลหวังที่เปลี่ยนชุดเครื่องแต่งกายเพื่อปิดบังตัวตน
เนื่องด้วยการกระทำที่ดูเสียมารยาทขนาดนี้ หากทราบว่าเป็นคนของตระกูลหวังอาจเสียงชื่อยิ่งไปกว่าเดิม ดังนั้นจึงจำต้องปิดขังตัวตนเอาไว้
“พี่สอง วิธีนี้จะได้ผลจริงๆใช่หรือไม่? หากเด็กนั้นย้อนกลับไปเสียก่อนล่ะ?”
หวังอวีกั่นกล่าวถามหวังอวีเต๋าด้วยความกังวลใจ
หวังอวีเต๋ากล่าวตอบว่า
“ผ่อนคลายเถิด อวีมินดักเส้นทางกลับของเจ้าเด็กนั้นเป็นที่เรียบร้อย เว้นเสียว่า เขาไม่ต้องการหญ้าลายรัตติกาลแล้ว ยามนั้นให้อวีมินถ่วงเวลาและพวกเราเร่งรุดตามไปสมทบก็ยังทัน แต่ตามที่ข้าสันนิฐาน ทันทีที่เด็กนั้นออกจากการเก็บตัวก็ต้องการที่จะมาสุสานสายลมหยินเป็นอับดับแรก แสดงว่าเขากำลังต้องการหญ้าลายรัตติกาลอย่างมากแน่นอน”
หวังอวีกั่นกล่าวขึ้นว่า
“ข้ากังวลเกินไปเอง แต่ไม่รู้เลยว่าหากหยางรุยทราบเรื่องนี้ มันจจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
หวังอวีเต๋าเค้นเสียงหัวร่อคำโตและกล่าวตอบอย่างเย็นชาว่า
“เหอะ ต่อให้ไอ้เด็กนั้นตายแล้วมันจะทำอะไรได้? พวกเราจัดขุมกำลังดักซุ้มส่งข่าวมาตลอดทาง ไอ้เด็กนั้นใช้เสือดาวเมฆลมกรดเป็นภาหนะ ถึงไม่รู้ว่ามันไปเอามาจากไหร แต่ที่ยืนยันได้ก็คือ มันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่…นั้นคือข่าวกรองที่เราได้มาทั้งหมด เด็กนั้นสังหารขุมกำลังที่เราดักซุ้มไว้จนไม่เหลือแล้ว!”
หวังอวีกั่นใจสั่นสะทก เขากล่าวขึ้นทันทีว่า
“ข้าไม่คิดเลยว่า ไม่เพียงมันจะเป็นนักหลอมโอสถมือฉกาจ แต่ในเส้นทางแห่งการต่อสู้กลับเหนือชั้นไม่เป็นสองรองใคร! หากมิใช่เพราะระดับพลังของมันที่ขาดตกเกินไป ป่านนี้พี่สองอาจไม่มีโอกาสเห็นหน้าน้องสี่คนนี้อีกตลอดไป!”
เมื่อนึกถึงภาพฉากในตอนนั้น หวังอวีกั่นยังสลักจจำฝังลึกอยู่ในใจ
หลัวเจียและเย่หยวน กลับแข็งแกร่งเกินจินตนาการของเขาไปมาก
เพราะยามนั้น เขาตระหนักได้ทันทีว่า เพียงตนคนเดียวเอาทั้งคู่ไม่อยู่แน่นอน จึงเป็นเหตุที่ต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูล
หวังอวีเต๋าปรี่รุดมาเสริมอย่างรวดเร็ว พร้อมนำเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำแขนงตรวจสอบติดตัวมาด้วย
ซึ่งป้ายตราตรวจจับอันนี้สามารถระบุจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนักสู้ได้โดยละเอียด ตราบใดที่ถือครองป้ายตราตรวจจับนี้อยู่ ไม่มีใครสามารถหลบพ้นจากสายตาได้
แน่นอนว่าพวกเขาควรนำเครื่องรางชนิดนี้ติดตัวมาด้วย เพราะเย่หยวนอาจแปลงโฉมลอบเร้นแฝงกายจนหลุดมือพวกเขาไป
………………………….
ภายในกองขยะ ปรากฏหัวทั้งสองโผล่พรวดออกมาเชิงสังเกตการณ์ไปพลาง
สีหน้าการแสดงออกของหลัวเจียเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน ขณะเขากล่าวขึ้นว่า
“ตระกูลหวังคิดวางตาข่าย หวังให้เขาหนีเสียบปลายหอก! คิดไม่ถึงเลยว่า พวกนั้นจะนำป้ายตราตรวจจับมาด้วย!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวตอบว่า
“อุตส่าห์หอบกันมาทั้งตระกูลหวัง ก็ดี! ข้าจะได้ล้างโคตรมันให้สิ้นซากโดยไว!”
หลัวเจียหันมองหน้าเย่หยวนอย่างอดมิได้ ก่อนจะกล่าววาจาดั่งไร้ประโยชน์ว่า
“เจ้าก็ยังปากเก่งได้! ระหว่างทางมานี้มีคนของมันซ่อนอยู่มากมาย ถึงจัดการไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดี พวกมันเองก็ควรจะรู้แล้วว่า เรามาถึงที่นี่แล้ว!”
ถึงอย่างนั้น เมื่อหลัวเจียหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว เขาเองก็รู้สึกประทับใจในตัวเย่หยวนมิใช่น้อย
ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกคนที่ดักซุ้มอยู่ล้วนถูกพบโดยเย่หยวนทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจะแอบซ่อนแนบเนียนเพียงใด แต่กลับไม่มีสักคนที่สามารถหนีพ้นจากสายตาอันเฉียบคมของเย่หยวนได้
ชายหนุ่มคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดชัดๆ!
มิเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องถึงมือระดับผู้อาวุโส แค่หน่วยดักซุ้มโจมตีตามทางก็สามารถฆ่าเย่หยวนทิ้งได้โดยง่านแล้ว
แต่เป็นเพราะพวกดักซุ้มโจมตีมีจำนวนมิใช่น้อย บางคนจึงส่งข่าวเย่หยวนออกไปได้ทันท่วงที พวกหวังอวีเต๋าจึงตระหนักทราบว่า พวกเขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสุสานสายลมหยินแล้ว
“หุหถ ไฉนข้าถึงปากเก่งมิได้ ก็ข้าหาได้หวาดกลัวพวกมันไม่! ในเมื่อพวกมันมาเพื่อสังหารข้า ดังนั้นพวกมันเองก็ควรเตรียมใจที่จะถูกข้าสังหารเช่นกัน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพลางหัวร่ออย่างสุขใจ
“จะ-เจ้า…เจ้าคิดสังหารหมู่? นี่ล้อเล่นหรืออย่างไร?! ครั้งล่าสุดเป็นเพราะหวังอวีกั่นคิดประมาท จึงทำให้เจ้าหนีออกมาได้สำเร็จ แต่ยามนี้มันเรียกหวังอวีเต๋ามาเป็นกำลังเสริม ยิ่งไปกว่านั้นหวังอวีเต๋าคนนี้ยังแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าหวังอวีกั่นมากนัก! เย่หยวน เราควรกลับไปยังหอมหาสมบัติและขอความช่วยเหลือจากท่านประมุขหอก่อนดีกว่า!”
ระหว่างทางมานี้ กระทั่งหลัวเจียเองก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเริ่มเอ่ยปากสนทนากับเย่หยวนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลัวเจียคนนี้ยังคงใจแข็งเยือกเย็นก็จริง แต่เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เย่หยวนตกอยู่ในอันตรายเช่นกันไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ได้ฟังข้อเสนอของหลัวเจียดังนั้น เย่หยวนกลับส่ายหัวและกล่าวตอบว่า
“สายไปแล้ว! หากเรากลับลำตรงนี้กลับยิ่งเข้าทางตระกูลหวังเข้าไปใหญ่! หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง เส้นทางกลับของเราน่าจะถูกตัดขาดไปนานแล้ว น่าจะมีคนดักอยู่เช่นกัน”
ในคาวมเป็นจริง เรื่องมีคนซุ่มแฝงดักทางกลับไว้กลับหาใช่สาระสำคัญสำหรับเย่หยวน แต่เรื่องนี้กลับไม่สามาระรีรอได้อีกแล้ว
ยามนี้หวูเฉินอ่อนแอลงทุกที เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนที่เขาจะคงความเสถียรของพลังได้
บุ๋นบู๋แบ่งรับแบ่งสู้ เย่หยวนย่อมไม่มีปัญหา แต่มู่หลิงเสวียกลับมิอาจชักช้าได้อีกแล้ว
สีหน้าการแสดงออกของหลัวเจียเคร่งขรึมหนักอึ้ง เขากล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า
“เช่นนั้น…เราควรทำอย่างไรต่อ?”
เย่หยวนกล่าวว่า
“อาการบาดเจ็บของท่านยังไม่หายดี หาที่ซ่อนตัวรอข้าไปก่อน จากนี้ข้าลุยเดี่ยวเอง!”
“ไม่ได้! อย่าลืมไปเสีย เจ้าเพียงลำพังกลับไม่สามารถกวาดล้างตระกูลหวังได้ ต่อให้ฝ่าพวกมันไปได้ แต่วิญญาณชั่วภายในสุสานนั้นก็หาใช่สิ่งที่เจ้าจะต่อกรได้เช่นกัน! ข้าทราบดีว่า ตัวเจ้าแข็งแกร่งกว่าที่เห็นมาก แต่วิญญาณชั่วภายในสุสานสายหลิมยิ่งมันน่ากลัวกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้มาก!”
หลัวเจียกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งในทันที
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“ผ่อนคลายเถอะ เป็นไปได้หรือทีคนอย่างข้าจะคิดสั่นส่งตัวเองไปตาย? แต่ยามนี้ท่านเชื่อหรือยังว่า ภายในหอมหาสมบัติมีคนทรยศ?”
ใบหน้าหลัวเจียบิดเบี้ยวอย่างน่าเกียจเกินพรรณนา เขาไม่คิดเลยว่า คำคาดคะเนของเย่หยวนในทีแรกจะมีเค้าความจริงบ้างแล้ว
หากต้องการใช้ป้ายตราตรวจจับ จำต้องจองต่อขอสิทธิ์ในการใช้และคนๆนั้นสามารถยืมได้แค่วันต่อวันเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า หากไม่มีคนอยู่ภายในหอมหาสมบัติ พวกตระกูลหวังจะไม่มีทางนำป้ายตราตรวจจับอันนี้ออกมาใช้ได้ตามใจนึกขนาดนี้แน่นอน
ซึ่งนี่ก็หาใช่เครื่องรางทั่วๆไปไม่ เย่หยวนกับหลัวเจียตระหนักได้ทันทีที่ได้เห็น คนทรยศที่เป็นไส้ศึกมีตำแหน่งค่อนข้างสูงภายในหอมหาสมบัติ!
หลัวเจียกัดฟันแน่นและกล่าวว่า
“หากข้ารู้ว่าเป็นใคร ข้าจะฉีกแขนฉีกขามันให้เป็นชิ้นๆ!”
หลัวเจียผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา ใครกระทำอย่างไรกับเขา เขาย่อมกระทำเช่นนั้นตอบ
แต่เดิม การเดินทางในคราวนี้ควรจะราบเรียบสงบ แต่ใครจะมาคาดคิด กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเพิ่มพูนเข้ามาตั้งมากมาย
หากใช่เพราะเย่หยวนช่วยไว้ ป่านนี้เขาคงตายไปนานแล้ว
เย่หยวนตบไหล่ของหลัวจับเบาๆสองสามที พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ผ่อนคลาย หลังจากที่เรากลับถึงหอมหาสมบัติ ท่านย่อมได้โอกาสนั้นแน่นอน!”
หลัวเจียเงยศีรษะขึ้นมองเย่หยวน แต่ทันใดนั้นท่านตาดำของเขาพลันหดแคบตีบตันเท่ารูเข็มด้วยความตกตะลึง
หลัวเจียพบว่า จู่ๆโฉมหน้าของเย่หยวนพลันเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับว่าเปลี่ยนกลายเป็นอีกคน
ในเวลาเดียวกัน ทั้งท่าทางการแสดงออกของเย่หยวนก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน ก่อนเตรียมก้าวแช่มไปต่อแถว เช่นเดียวกับนักสู้คนอื่นๆที่ต้องการเข้าสู่สุสานสายลมหยิน