Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1351
ตอนที่1351 ความเด็ดขาดคือสัญลักษณ์แห่งบุรุษเพศ!
เปรี้ยงง!
สุดพิโรธจุกอกจนล้นปรี่ เฉินหย่งหนานทุกฝ่ามือฟาดโต๊ะตรงหน้าจะแหลกเป็นฝุ่นผงในพริบตา
ความอัปยศนี้ที่เย่หยวนมอบให้ นับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในชั่วชีวิตของเขา
“ท่านพี่เฉิน ไอ้บัดซบเย่หยวนมันจะมากเกินไปแล้ว! ทั้งๆที่เบื้องหน้าเป็นถึงเจ้าเมือง แต่กลับไว้ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย!”
หวังซูโมโหจนแทบพ่นไฟออกจากปากไม่ต่างอยู่เคียงข้าง
กล่าวกันตามตรง หวังซูเองก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่แผ่สะพัดออกจากเย่หยวน
สายตาที่เย่หยวนกวาดมองและจับจ้องสรรพสิ่ง สิ่งนั้นกลับไม่สามารถเข้าใจได้เลย
ราวกับว่าเย่หยวนมองผ่านอ่านทะลุทุกสิ่งได้
ทว่าในตอยสุดท้าย เย่หยวนก็ยังไม่ลงมือปิดฉากตระกูลหวัง หรือเป็นไปได้ไหมว่า เขาเองก็ยังมีความเกริ่นเกรงตระกูลหวังอยู่บ้าง?
ตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่มิเป็นสองรองใคร เสาะหาทั่วเมืองหมิงหยาง ตระกูลที่สามารถทัดเทียมได้กลับมีน้อยดุจเมฆชั้นบาง
ยิ่งไปกว่านั้น พี่ชายของหวังซูเองก็เป็นถึงรองเจ้าเมืองหมิงหยาง!
ยามนึกถึงในจุดนี้ หวังซูรู้สึกภาคภูมิใจเป็นที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม ถึงแม้ไอ้เด็กเหลือขอนั้นจะทำตัวดั่งทองไม่รู้ร้อนหาได้เกรงกลัวอันใด ทว่าลึกๆแล้วมันเองก็ค่อนข้างกังวลเช่นกัน
“หึ! หากแค้นนี้มิได้ชำระ ข้า,เฉินหย่งหนานกลับชั้นต่ำกว่ามนุษย์แล้ว!”
เฉินหย่งหนานกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าสุดโกรธเกลียด
หวังซูคล้ายต้องการกล่าวอะไรสักอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับไป
เฉินหย่งหนานที่เห็นท่าทางอีกฝ่ายก็เข้าใจได้ในทันที และหันไปกล่าวกับพวกตระกูลหลู่และหลินว่า
“เรื่องในวันนี้ ข้าหวังว่าจะมีแค่พวกเราไม่กี่คนที่ตระหนักทราบ อย่าให้รู้ว่ามันกระจายถึงหูคนอื่น!”
สองตระกูลหลู่และหลินเร่งพยักหน้าตอบโดยไวและกล่าวว่า
“ท่านเจ้าเมืองโปรดมั่นใจ ต่อให้ท่านไม่กล่าวตักเตือน พวกเราเองก็ไม่กล้าปริปากเช่นกัน!”
เฉินหย่งหนานโบกมือปัดอย่างไม่สบอารมณ์นัก เห็นดังนั้นพวกตระกูลหลู่และหลินเร่งจากลาออกไป
พวกเขาล้วนทราบดี เฉินหย่งหนานกับหวังซูในหลังจากนี้ จักต้องวางแผนร้ายเพื่อจัดการกับเย่หยวนแน่นอน
หากไม่ตามน้ำดันกล่าวคัดค้านออกไป เกรงว่าท้ายที่สุดกลับเป็นพวกเขาเองที่ขาดทุนครั้งใหญ่
เดิมทีสองอดีตประมุขของตระกูลหลู่และหลินหวังเตรียมตัวเก็บเกี่ยวผลกำไรจากงานเลี้ยงคราวนี้เต็มที่ ทว่าใครจะไปคิด นี่กลับเป็นงานเลี้ยงอำลาสหายเก่าแก่เสียแทน
หลังจากที่คนอื่นๆออกไป หวังซูก็เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านพี่เฉิน ไอ้เด็กเหลือขอนั้นมีวิญญาณชั่วสองดาวชั้นกลางคอยปกป้องอยู่ หากจะฆ่าเขาในเมืองกุยฉางกลับไม่ง่ายอีกต่อไป!”
แม้ว่าเฉินหย่งหยานจะไม่ชอบใจอย่างยิ่งที่ได้ฟังแบบนี้ แต่นี่ก็เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้
“น้องซู หรือเจ้ามีปแผนรับมือแล้ว? เช่นไร หากไอ้เด็กบัดซบนั้นไม่ตาย เฉินคนนี้ก็ไม่สามารถฝึกปรือได้อย่างสงบสุขเช่นกัน!”
เฉินหย่งหนานกัดฟันกรอด กล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง
มุมปากของหวังซูกระตุกขึ้นโดยพลัน เผยให้เห็นรถึงรอยยิ้มแปลกๆเร้นซ่อนความน่ากลัวอยู่หลายส่วน และกล่าวว่า
“ไอ้เด็กเหลือขอตัวนี้ก่อเรื่องไม่น้อยในงานเลี้ยง เช่นนั้นนับเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับการตายของหวังหลินโปและหวังอวีเซียง โยนความผิดทั้งหมดที่เราก่อขึ้นให้มัน! แต่…”
กล่าวมาถึงจัดนี้ หวังซูเปลี่ยนเป็นกระซิบข้างหูเฉินหย่งหนานแทน พลันได้ฟังดังนั้นเฉินหย่งหนานพลันแสยะยิ้มฉีกเย็นออกมาทันที
“ฮ่าฮ่า! น้องซูช่างฉลาดหลักแหลมดีเยี่ยม! เพียงว่า…วิธีนี้จะไม่โหดร้ายเกินไปใช่ไหม?”
เฉินหย่งหนานเอ่ยถาม
“คิดเล็กคิดน้อยกลับไม่สมกับเป็นบุรุษ ความเด็ดขาดคือสัญลักษณ์แห่งบุรุษเพศ! ตราบใดที่ฆ่าไอเด็กเหลือขอนั้นได้ เรื่องอื่นยังต้องใส่ใจ?”
หวังซูกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส
…………………………
ณ ปัจจุบัน ขุมกำลังของตระกูลหวังลดลงไปกว่าครึ่ง ตระกูลเหลียงเองย่อมสูญเสียความรุ่งโรจน์ดั่งกาลอดีตเป็นธรรมดา
ไม่กี่วันมานี้ หวังเพียนหลานได้พาลูกสาวของตนกลับไปยังตำหนักตระกูลเหลียง สองแม่ลูกเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านไม่เว้นวัน
แต่จู่ๆนางก็ได้รับสาสน์จากผู้ใต้บัญชาของตระกูลหวัง เนื้อความระบุว่า หวังซูเชื้อเชิญให้นางไปเที่ยวเล่นตระกูลหวังสักรอบหนึ่ง
หวังเพียนหลานเองก็เดินทางเข้ามาจนมาถึงโถงใหญ่ของตระกูลหวังโดยมิได้รู้เรื่องรู้ราวอันใดมาก่อนเลย แต่ยามนี้ก็ค้นพบว่า ทั่วทั้งห้องโถงกลับเต็มไปด้วยผู้คนในชุดอาภรณ์สีขาวเกลื่อนสายตา
เบื้องหน้าของหวังเพียนหลาน นางเห็นเป็นผ้าห่อศพวางไว้อยู่ตรงใจกลาง
ทว่าบุคคลภายใต้ผ้าขาวนี้ นางกลับไม่ทราบเลยว่าเป็นใคร
หวังซูนั่งอยู่บนบัลลังก์อันทรงเกียรติ เขาช้อนสายตามองหวังเพียนหลานด้วยสีหน้าสุดเคร่งขรึม
ซึ่งนางเองก็มิได้โง่จนเกินไป เห็นภาพฉากแบบนี้หัวใจของนางสั่นระรัวหนัก สังหรณ์ไม่ดีพลันผุดขึ้นในทันที
“คุณชายซู นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
หวังเพียนหลานไม่รีรอที่จะเอ่ยถาม
ได้ฟังดังนั้นหวังซูค่อยๆลุกขึ้นยืนตรงพร้อมกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางสุดโศกเศร้าว่า
“แม่นางเพียนหลาน…ซูคนนี้มีบางอย่างจะบอกกับท่าน”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็โค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้แก่หวังเพียนหลานและกล่าวว่า
“หวังซูคนนี้ช่างไร้ความสามารถ! และมิอาจปกป้องประมุขและผู้อาวุโสอวีเซียงได้!”
ในขณะที่กล่าวขึ้น เขาก็ดึงผ้าห่อศพออกมา ปรากฏเป็นศพของหวังอวีเซียงที่ถูกแช่แข็งต่อหน้าต่อตาทุกคน
“ท่านพ่อ!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของหวังเพียนหลานดังระงมลั่นไม่หยุดหย่อน เสียงคร่ำครวญสุดเวทนากึกก้องทั่วทั้งตระกูลหวังดั่งคนเสียสติ
“ท่านพ่อ!! ไฉนเป็นเช่นนี้กัน!! ใคร…ใครมันกล้าทำขนาดนี้! คุณชายซูโปรดบอกเพียนหลานคนนี้ด้วยเถิดว่าเป็นฝีมือใคร!!?”
หวังเพียนหลานวิ่งเข้าไปกอดศพของหวังอวีเซียง พร้อร้องห่มร้องได้ประดุขคนบ้า นางระบายความรู้สึกที่แท้จริงออกมาจนล้นปรี่
ตลอดที่ผ่านมา ท่านพ่อและท่านพี่ต่างตามใจหวังเพียนหลานมาโดยตลอด
ยามนี้ไม่มีคนคอยคุ้มกะลาหัวให้แล้ว เช่นนั้นนางจะไม่เสียใจได้อย่างไร?
เมื่อสมาชิดคนอื่นๆของตระกูลหวังเห็นว่าเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวังตายลง สีหน้าท่าทางของทุกคนต่างเลวร้ายอย่างมากเช่นกัน
“คุณชายซู ท่านพ่อก็ยังสบายดีอยู่เลยมิใช่รึก่อนเข้าร่วมงานเลี้ยง แต่ไฉนจู่ๆถึงจากไปทั้งแบบนี้กัน? แล้ว…แล้วพี่ใหญ่ข้าอยู่ไหน?”
หลังจากกรีดร้องระทมขมขื่นอยู่นาน หวังเพียนหลานก็ดึงหวังซูเข้าประชดตัว และเอ่ยถามถึงพี่ชายของนางทันที
หวังซูรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุกกับสุกรอ้วนตัวนี้ แต่ก็มิอาจแสดงท่าทีรังเกียจออกไปได้ ปั้นสีหน้าเศร้าสร้อยกล่าวขึ้นว่า
“ท่านพี่เขา…ถูกระเบิดตายในอึดใจ ไม่เหลือแม้แต่ศพไว้ทำพิธี!”
ทั่วทั้งร่างของหวังเพียนหลานสั่นสะท้านแทบเป็นลมกลางคัน
“คุณชายซูโปรดบอกมา! ใครกันที่ทำเช่นนี้! ข้า…ข้าจะไปฆ่ามัน!”
ในเวลานี้ความโศกเศร้าผันแปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาต หวังเพียนหลานกัดฟันกล่าวขึ้นด้วยความเกลียดชัง
หวังซูดูคล้ายกลืนไม่เข้าคล้ายไม่ออก แต่สุดท้ายจำต้องเอ่ยปากบอก
“มัน…ทั้งหมดเป็นฝีมือของหอมหาสมบัติ!”
ดวงตาบีบแน่นเส้นเลือดสีแสงสดพลันปูดโปน หวังเพียนหลานกำหมัดทุบพื้นอย่างบ้าคลั่ง เค้นเสียงกล่าวสะกดทีละคำขึ้นว่า
“หอ…มหาสมบัติ! เย่หยวน!! พวกแกล้างคอรอข้าได้เลย! ข้าจะทำให้พวกแกทรมานจนต้องร้องขอความตาย!!”
เห็นว่าหวังเพียนหลานพิโรธถึงขีดสุด ยามนี้พลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นบางๆบนมุมปากของหวังซู
………………………
“เย่หยวน เจ้ากำลังสร้างศัตรูกับทุกฝ่ายในเมืองกุยฉาง!”
หยางรุยถอนหายใจเสียงยาวพร้อมกล่าวขึ้น
เย่หยวนเหลียวมองหยางรุยแวบหนึ่งและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“ทำไมล่ะ? ไฉนท่านประมุขหอถึงตำหนิข้าแบบนั้น?”
หยางรุยนวดขมับหนุบๆ พบางหัวเราะประชดกล่าวตอบว่า
“เหอะ เหอะ เจ้าเด็กคนนี้ จะมาไม้ไหนอีกล่ะ? เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป ข้า,หยางรุยไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดอยู่แล้ว นอกจากนี้จะมีสักกี่คนที่ยั่วยุข้าจริงๆ? ส่งเรื่องที่เจ้าวางแผนตัดกำลังศัตรูในครั้งนี้…นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก! เพียงแต่ว่า…คนที่เจ้าไปยุ่งด่วยกลับเป็นเฉินหย่งหนานกับหวังซู ตัวข้ากลับหาได้เกรงกลัวพวกมันไม่ แต่ข้ากังวลในเรื่องความปลอดภัยของเจ้ามากกว่า!”
ทว่าเย่หยวนกล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจนักว่า
“เหอะ ก็ดีแล้วที่เป็นแบบนั้น มันมายั่วยุข้าก่อน ครั้งต่อไปไม่จบลงด้วยดีอย่างในวันนี้แน่!”
ทันใดนั้นจิตสังหารอันน่าสะพรึงของเย่หยวนพลันปลดปล่อยออกมาโดยมิตั้งใจ สิ่งนี้ทำให้หยางรุยตื่นตกใจอย่างลับๆ
เขาเข้าใจมาตลอดว่า เย่หยวนเป็นเพียงนักหลอมโอสถคนหนึ่งเท่านั้น หาได้เป็นอันตรายต่อสิ่งใดอื่น ทว่ากลับคาดไม่ถึง เย่หยวนในอีกแง่มุมช่างเด็ดขาดในเรื่องฆ่าฟันยิ่งกว่าใคร!
“นอกจากนี้…อีกไม่นานข้าก็ไม่อยู่ในเมืองกุยฉางแล้ว หากพวกมันมีปัญญา ก็ตามจับข้าให้เจอล่ะกัน! ยามใดที่เจอข้า ยามนั้นคือวันตายของพวกมัน!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
หยางรุยตกใจอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าพลันผลัดเปลี่ยนในทันทีขณะเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้า…เจ้าจะไปแล้วรึ?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“เมืองกุยฉางแห่งนี้เล็กเกินไปสำหรับข้า หากข้าต้องการแข็งแกร่งกว่านี้ จำต้องออกเดินทางไปข้างหน้า! หุหุ ท่านพี่หยางสบายใจหายห่วงได้ ข้าเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ทางเบื้องบนของหอมหาสมบัติไม่มีทางนิ่งเฉยต่อหอมหาสมบัติสาขานี้ได้อีกแล้ว เรื่องโอสถบ่มเพาะพลังไม่ต้องกังวลว่าจะขาดตอน หลังจากนี้มีคนมาสนับสนุนต่อแน่นอน!”
หยางรุยตกใจเป็นคำรบสองเมื่อได้ฟังและกล่าวว่า
“หรือเป็นไปได้ไหมว่า…ทางเบื้องบนจะส่งจอมเทพโอสถระดับสูงมาที่นี่? นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร?”
เย่หยวนเค้นเสียงหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า
“ท่านคิดว่า โอสถบ่มเพาะพลังเป็นสิ่งที่ใครๆก็สามารถหลอมกลั่นได้งั้นรึ? หากการสันนิษฐานของข้าถูกต้อง ทางเบื้องบนควรต้องส่งจอมเทพโอสถสามดาวมาเป็นอย่างน้อย!”
หยางรุยพรูหายใจเย็นด้วยความตื่นกลัว นี่ช่างน่าทึ่งเกินไป!
ตลอดที่ผ่านมา เขามีหน้าที่ในการจัดจำหน่ายโอสถบ่มเพาะปราณเพียงอย่างเดียว จึงมิได้ตระหนักถึงความยากในการหลอมกลั่นโอสถชนิดนี้เลย
แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของเย่หยวน นี่มันไม่เกินจริงไปหน่อยรึ?
หรือเป็นไปได้ไหมว่า แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่งชั้นกลาง ถึงกับต้องใช้จอมเทพโอสถสามดาวในการหลอมกลั่นเชียวรึ?