Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1352
ตอนที่1352 สถานศึกษาหวูเมิ่ง
“เย่หยวน หากเจ้าต้องการที่จะแข็งแกร่งกว่านี้ ไฉนถึงไม่เข้าร่วมกับพวกเราหอมหาสมบัติอย่างเป็นทางการเสียล่ะ! เจ้าเองก็ทราบเช่นกัน หอมหาสมบัติเป็นของจักรพรรดิเทพสวรรค์มหาสมบัติ ตราบใดที่เจ้าเข้าร่วมกับฝ่ายหอมหาสมบัติ เส้นทางในอนาคตของเจ้าล้วนไร้ซึ่งสิ่งกีดขวางใด! เรื่องทรัพยากรการบ่มเพาะพลังกลับมิใช่ปัญหาเลย!”
หยางรุยกล่าวเสนอแนะ
“ขอบพระคุณยิ่งสำหรับความหวังดีของพี่หยาง แต่…เย่คนนี้มีแผนการในหัวอยู่แล้ว”
เย่หยวนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ฟังคำตอบของเย่หยวนแบบนั้น หนางรุยก็อดผิดหวังมิได้
ด้วยความสามารถใจศาสตร์แห่งโอสถของเย่หยวน สิ่งนี้จะผลักดันให้เขาทะยานสู่ตำแหน่งที่สำคัญในอนาคตได้อย่างไม่ยากเลย
นี่นับเป็นอนาคตที่สดใสนักสำหรับตัวเย่หยวนเอง
อย่างไรเสีย เขากลับมีแผนของตัวเองแล้ว
สิ่งที่จำเป็นสำหรับเย่หยวนก็คือ กองสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาล ที่เขายังได้รับไม่ขาดมือแบบนี้ เพราะต้องยอมรับเลยว่า หยางรุยเป็นคนใจกว้างหาไม่ตระหนี่แม้แต่น้อย
แม้กระทั่งดินแดนพฤกษานิรันดร์ในยุคที่ศาสตร์แห่งสวรรค์ยังรุ่งโรจน์ สมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับหนึ่ง กลับมิสามารถกล่าวได้ว่า เสาะหาได้ง่ายดาย จำนวนของพวกมันมีน้อยเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งโอสถศักดิ์สิทธิ์แต่ละชนิดที่เย่หยวนจะหลอมกลั่นต่อไปในอนาคต ค่าทรัพยากรเหล่านี้มันหนักเกินที่หอมหาสมบัติจะจ่ายไหว ต่อให้เป็นบุคคชั้นสูงของหอหมาสมบัติออกหน้าช่วยเหลือ แต่นี่ก็มิอาจตอบสนองความต้องการได้เพียงพอ
เย่หยวนไม่เชื่อว่า หอมหาสมบัติจะเป็นกลุ่มอิทธิที่อยู่ยงคงกระพันดั่งเสาศิลาค้ำสมุทรแบบนั้น
และที่สำคัญเลย หากมีคนอย่างเฟิงปิงที่คิดริษยาเขาอีกในอนาคต กลับเป็นหอมหาสมบัติแทนที่เป็นตัวภาระสำหรับเขา
ต่อไปในภายภาคหน้า เย่หยวนมั่นใจอย่างมากว่าเขาจำต้องพบเจอคนแบบเฟิงปิงแน่นอน
ทันใดนั้นเอง จู่ๆดวงตาแพรวประกายจ้าสว่างขึ้น หยางรุยนึกอะไรบางอย่างได้ทันควันเร่งกล่าวว่า
“หากเจ้าไม่เต็มใจเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติ ไฉนถึงไม่ไปที่สถานศึกษาหวูเมิ่งดูล่ะ?”
“สถานศึกษาหวูเมิ่ง?”
เย่หยวนเอ่ยทวนด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง! สถานศึกษาหวูเมิ่งเป็นสถานศึกษาที่ถูกยอมรับเป็นวงกว้างในเมืองหลวงหวูเมิ่ง ทั้งเฉินหย่งหนานและหวังซ่งพี่ชายของหวังซูเองก็จบมาจากสถานศึกษาหวูเมิ่งมาเช่นกัน นี่คือสถานที่ที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะในเมืองหลวงหวูเมิ่งมากกว่าครึ่ง! ฟังว่ามีวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ทำให้ทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าขั้นสุดได้อีกด้วย!”
หยางรุยกล่าว
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหยางรุย เย่หยวนก็เข้าใจได้ทันทีโดยไว
สถานศึกษาหวูเมิ่ง คล้ายกับสถานที่ผลิตบุคลากรของเมืองหลวงหวูเมิ่ง และนำเหล่าผู้คนที่จบการศึกษากระจายออกไปเพื่อบริหารบ้านเมืองภายใต้เขตเมืองย่อยของเมืองหลวงหวูเมิ่งอีกทีหนึ่ง
ด้วยวิธีนี้เมืองหลวงหวูเมิ่งจะสามารถควบคุมเขตเมืองยิบย่อยต่างๆได้โดยสมบูรณ์
ดังนั้นแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นคนของสถานศึกษาหวูเมิ่ง ไม่ว่าเย่หยวนจะเดินทางไปไหนย่อมมีสถานะนี้คุ้มภัยอย่างหมดห่วง
ส่วนวรยุทธบ่มเพาะอะไรนั้น เย่หยวนกลับไม่มีความสนใจแม้สักนิด
เขาตั้งมั่นตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเดินตามเส้นทางของตัวเอง วรยุทธบ่มเพาะพลังอื่นๆนอกเหนือจากของเขาย่อมด้อยค่าอย่างสิ้นเชิง
แต่คำกล่าวที่ว่า เป็นสถานที่ที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะกว่าครึ่ง สิ่งนี้ได้กระตุ้นความสนใจของเย่หยวนเป็นอย่างมาก
การสร้างความกดดันรอบด้านจะนำไปสู่ศักยภาพที่สูงขึ้น
“โอ้? แล้วข้าจะเข้าศึกษาในสถานศึกษาหวูเมิ่งได้อย่างไร?”
เย่หยวนเอ่ยปากถาม
หยางรุยกล่าวตอบว่า
“สถานศึกษาหวูเมิ่งจะรับสมัครผู้เข้าศึกษาใหม่ทุกๆหนึ่งร้อยปี ขอเพียงผู้ต้องการเข้าศึกษาเป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขึ้นไป และมีอายุไม่เกินสองร้อยปี ย่อมมีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบเข้า หากผ่านการทดสอบจะได้กลายเป็นศิษย์นอกของสถานศึกษาหวูเมิ่ง สามปีต่อจากนั้น สถานศึกษาหวูเมิ่งจะมีการคัดเลือกศิษย์นอกกันอีกทีหนึ่ง”
เย่หยวนร้องอุทานเล็กน้อยก่อนกล่าวขึ้นพร้อมความประลหาดใจว่า
“เขตเมืองภายใต้การปกครองของเมืองหลวงหวูเมิ่งมีไม่ต่ำกว่าพันแห่ง จำนวนผู้สมัครจะมีมหาศาลเท่าใดกัน?”
เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าพบได้ทุกซอกทุกมุมในมหาพิภพถงเทียน
แม้จะเป็นเขตเมืองเล็กๆห่างไกลความเจริญ แต่อย่างน้อยน่าจะมีเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น!
ในความเป็นจริง แม้แต่ในเมืองกุยฉางแห่งนี้ เซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าที่อายุต่ำกว่าสองร้อยปี เท่าที่คำนวณคร่าวๆเห็นเป็นประมาณร้อยกว่าคนเช่นกัน
แล้วนับประสาอะไรกับเขตเมืองใหญ่แห่งอื่นๆเหล่านั้น
หยางรุยคลี่ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า
“ทุกครั้งที่สถานศึกษาหวูเมิ่งเปิดรับสมัคร ล้วนมีผู้เข้าสมัครไม่ต่ำกว่าห้าแสนคน! อย่างไรก็ตาม…ผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบรอบแรกไปได้กลับมีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น! หลังจากการทดสอบในรอบที่สองและสาม เหลือประมาณหลักร้อยคน แถมเกือบทั้งหมดล้วนเป็นถึงเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลาย มีส่วนน้อย…ที่เป็นเซียนอาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุด!”
เย่หยวนพยักหน้าและเอ่ยคิดอย่างประหลาดใจว่า
“มันยากขนาดนั้นเชียว?”
หยางรุยพยักหน้าตอบ
“ดังนั้น สถานที่แห่งนี้คือที่รวบรวมเหล่าอัจฉริยะยังไงล่ะ! ครั้งล่าสุดที่เปิดรับ มีคนผ่านแค่สามสิบคนเท่านั้น!”
เย่หยวนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นเป็นทวี พลางสัมผัสถึงแรงกดดันได้อย่างชัดเจน
ทุกคนที่ลงสมัครล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน!
แต่อย่างที่หยางรุยกล่าวไปนั้นถูกต้องแล้ว เขาควรต้องเข้าศึกษาที่สถานศึกษาหวูเมิ่งจริงๆ
หากไม่นำตัวเองไปเปรียบเทียบกับเหล่าอัจฉริยะ ก็ไม่มีทางรู้ว่าจุดด้อยของตนอยู่ตรงไหน
พรสวรรค์ที่สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายได้ภายในระยะเวลาสองร้อยปี กล่าวได้ว่า ทุกคนล้วนพิสูจน์ตัวเองแล้ว ต่อความศักยภาพอันเหลือล้นที่มี
เย่หยวนเคยบดขยี้ทุกคนบนดินแดนพฤกษานิรันดร์ได้ แต่บนมหาพิภพถงเทียนแห่งนี้ เขากลับไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่นัก
อายุกระดูกเย่หยวนเพียงร้อยปีต้นๆเท่านั้น ที่ได้เปรียบคนในช่วงวัยเดียวกัน เป็นเพราะเขาโกงเวลาฝึกปรืออยู่ในโลกแห่งศิลาจารึกบัลลังก์พิภพไปดว่าหลายร้อยปี
เพียงแง่มุมนี้แง่มุมเดียว เย่หยวนก็แพ้ให้กับเหล่าหัวกระทิของเมืองหลวงหวูเมิ่งไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองหลวงหวูเมิ่งยังเป็นแค่เมืองหลวงเล็กๆในมหาพิภพถงเทียนทั้งหมด!
ทั่วทั้งมหาพิภพถงเทียน มีเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่เสียยิ่งกว่าเมือหลวงหวูเมิ่งไม่รู้ตั้งกี่แห่ง
ในหมู่พวกเขาเหล่านั้น ย่อมมีพยัคฆ์ซ่อนมังกรขดอยู่มากมายนับไม่ถ้วน!
“ได้ฟังคำแนะนำของพี่หยาง เย่คนนี้จะตั้งตารอวันลงสมัครของสถานศึกษาหวูเมิ่งให้ดี!”
แววตาส่องสะท้อนออกากนัยน์ตาเย่หยวน เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและสนใจอย่างมาก
แต่หยางรุยพลันคลี่ยิ้มบางและกล่าวว่า
“น้องเล็กเย่ ข้ามีเรื่องจะขอเจ้าหน่อย เพียงว่าสะดวกรับฟังหรือไม่?”
“ไฉนพูดจาห่างเหินเพียงใด โปรดอย่าลังเลที่จะกล่าว!”
เย่หยวนเอ่ยตอบ
“ถ้าหาก…ถ้าหากเจ้าไม่ผ่านการทดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่ง เจ้า…สนใจเข้าร่วมกับหอมหาสมบัติหรือไม่?”
หยางรุยยกนิ้วถูจมูกเล็กน้อยอย่างเก้อเขิน ขณะเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาไม่มั่นใจ
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เย่หยวนพลันหัวเราะพรวดอย่างอดไม่อยู่พร้อมกล่าวว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ปรากฏว่าพี่หยางกำลังรอสิ่งนี้อยู่นี่เอง! แน่นอน! ไม่มีปัญหา!”
จากนั้นทั้งสองพลางสบตากันเล็กน้อย และระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น
มิใช่ว่าหยางรุยมองว่าเย่หยวนไร้ความสามารถ แต่บททดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่งกลับยากหินอย่างยิ่ง
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนาต่อไปเรื่อย แต่จู่ๆเสียงดังเจี๋ยวจ๋าวพลันดังขึ้นจากด้านนอกหอมหาสมบัติ ดูเหมือนว่าจะเกิดจราจลบางอย่างขึ้น
เมื่อทั้งสองรีบเร่งออกไปดู ปรากฏว่าเป็นหวังเพียนหลานตัวอ้วน กำลังตะโกนด่าทอหอมหาสมบัติอย่างเสียๆหายๆกลางท้องถนนอีกครั้งดั่งก่อนหน้าไม่มีผิด!
แต่ความนี้ นางได้นำสมาชิกตระกูลหวังทั้งหมดพร้อมสวมชุดไว้ทุกข์ออกมาเป็นขบวน
ศพของหวังอวีเซียงถูกแขวนประจานบนประตูด้านหน้าหอมหาสมบัติตระหง่านชัด
รอบข้างทั่วบริเวณ เสียงฝูงชนกำลังซุบซิบดังเป็นระลอกไม่หยุดหย่อน
“หอมหาสมบัติทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ถึงขั้นที่ว่าบดขยี้ตระกูลหวังจนกลายสภาพมาเป็นเช่นนี้ ฆ่าทั้งสามผู้อาวุโสใหญ่ รวมทั้งหวังอวีเซียงกับบุตรชายของเขาอีก!”
“นั้นสิ ไม่คิดมาก่อนเลยว่า หอมหาสมบัติจะมีใจคอโหดเหี้ยมถึงปานนี้!”
“ไฉนตำหนักเจ้าเมืองถึงไม่ออกโรงมาจัดการปัญหาเรื้อรังนี้เสียที! ข้าไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่า จะมีวันที่ตระกูลหวังตกต่ำถึงจุดนี้จริงๆ!”
………………..
หวังเพียนหลาน อสรพิษที่มีดีแค่ฝีปากสุดคมคาย สุกรอ้วนนางนี้หน้าด้านน่ารังเกียจเป็นที่สุด ยามนี้แผนเดียวที่นางคิดได้คือ พ่นน้ำลายสกปรกสาดใส่หวังให้ภาพลักษณ์ของหอมหาสมบัติเปรอะเปื้อน
เมื่อหยางรุยเห็นดังนั้นก็โกรธจัดจนตาพร่ามัวไปหมด
“พวกบัดซบตระกูลหวัง สันดานกลับเหมือนกันหมดจริงๆ! เปลี่ยนสีจากดำเป็นขาว สร้างภาพเก่งกันนัก! ข้าจะไปไล่พวกมันออกไปเอง!”
หยางรุยโพล่งคำรามอย่างเดือดดาล
ขณะที่เขากำลังขยับตัว ทว่ากลับถูกเย่หยวนหยุดไว้เสียก่อน
“พี่หยางสงบสติลงก่อน หวังเพียนหลานเป็นแค่หุ่นเชิดเท่านั้น! ยิ่งไล่เท่าไหร่ กลับยิ่งทำให้ฝูงชนเข้าใจผิดมากขึ้นเท่านั้น! หากพวกมันต้องการแหกปากด่า ก็ให้พวกมันด่าจนสมใจ!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
สีหน้าการแสดงออกของหยางรุยเปลี่ยนไปและกล่าวว่า
“แต่หากปล่อยไปแบบนี้ พวกเราหอมหาสมบัติจะดำเนิธุกิจต่อไปได้อย่างไร?”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“พี่หยางสบายใจได้ เย่คนนี้คำนวณทุกอย่างไว้เบ็ดเสร็จแล้ว นี่น่าจะได้เวลาพอดี”