Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1360
ตอนที่1360 ทำเนียบดาวเด่น
เหนือกำแพงเมืองเอาเก่าแก่ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่แพร่งพรายคล้ายประสบช่วงเวลาผันผวนมากมายของชีวิต ห้วงเวหาปรากฏคล้ายคลื่นพลังธารสายยาวทอดไกล รัศมีพรั่งพรูไสวไปมาประดุจมังกรร่างยักษ์ร่ายรำทั่วน่านนภา สรรพสิ่งภายใต้คลื่นพลังสายธารต่างรู้สึกครั่นคร้ามหวั่นเกรงเมื่อพบเห็น
พ้นผ่านประตูเมืองเข้าไป ปรากฏเป็นเมืองหลวงใหญ่สิวิไลไร้ขอบเขต ความงดงามของเมืองหลวงหวูเมิ่งแห่งนี้ จำต้องสัมผัสเองเท่านั้นถึงจะรู้ซึ้งซึมซาบเองได้!
เมื่อห่านเทียนเห็นเซียวเฟิ้งอีกครั้ง เขาก็อดอุทานขึ้นถามอย่างตกตะลึงมิได้
“ผู้อาวุโสเฟิ้ง ท่าน…ท่านดูเหมือนจะเก็บเกี่ยวอะไรใหม่ๆได้จริงๆ?”
รัศมีกลิ่นอายของเซียวเฟิ้งในปัจจุบัน แตกต่างไปจากก่อนที่จะออกเดินทางไปเมืองกุยฉางอย่างเห็นได้ชัด
คล้ายว่ารัศมีที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกายของเขาจะลึกล้ำเกินหยั่งถึงยิ่ง
ไร้ซึ่งข้อกังขาใดอื่น ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งโอสถของเซียวเฟิ้งพัฒนาขึ้นอีกขั้นแล้วจริงๆ!
แม้จะมิได้เพิ่มขึ้นมากจนสามารถเลื่อนระดับชั้นได้ทันที แต่นี่ก็เข้าใกล้กับจุดนั้นมากกว่าก่อนหน้าแล้ว
เซียวเฟิ้งกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“หุหุ ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่ข้ากล่าวไว้ในคราแรก การเดินทางครั้งนี้ ข้าเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายเกินคาด!”
แม้ว่าคำตอบที่ออกจากปากของเซียวเฟิ้งยังค่อนข้างกำกวม แต่นี่กลับเพียงพอแล้วที่สามารถทำให้ห่านเทียนประหลาดใจได้
“เด็กหนุ่มนามเย่หยวนคนนั้นน่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?”
ห่านเทียนเอ่ยถามด้วยความตกใจ
เซียวเฟิ้งพยักหน้าและกล่าวตอบทันทีว่า
“น่าทึ่งกว่าที่ท่านคิดมากนัก! เด็กคนนั้นเกิดมาเพื่อศาสตร์แห่งโอสถโดยเฉพาะ! ในแง่ประสบการณ์ความลึกซึ้ง เขาอาจด้อยกว่าข้า แต่หากเป็นเรื่องรากฐานความเข้าใจ ข้ากลับถูกเขาแซงหน้าไม่ติดฝุ่น!”
ลูกตาของห่านเทียนแทบถลนออกมาในบัดดลเมื่อได้ยิน วาจาคำกล่าวเหล่านี้ของเซียวเฟิ้งได้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์สุดปั่นป่วนกระหน่ำเข้าใส่จิตใจของเขา
สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ ทุกคำกล่าวที่หลุดออกจากปากของเซียวเฟิ้งล้วนมีน้ำหนักยิ่งกว่าสิ่งใด!
ถึงแม้เซียวเฟิ้งผู้นี้จะเป็นชายชราผู้มีนิสัยอ่อนโยนและใจดี ทว่าความหยิ่งทะนงในศักดิ์สิทธิ์กลับฝังลึกถึงกระดูกดำ ณ จุดนี้ห่านเทียนตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยม
ทำงานร่วมกันก็นานหลายปี ห่านเทียนยังไม่เคยได้ยินเซียวเฟิ้งเอ่ยปากกล่าวยกย่องใครมาก่อนเลยสักครั้ง
แถมคราวนี้ ใครคนนั้นยังเป็นเพียงเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าเท่านั้น!
อย่างไรก็ตาม สามารถทำให้ความเข้าใจของเซียวเฟิ้งลึกซึ้งขึ้นได้ภายในเวลาอันสั้นขนาดนี้ เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอที่จะพิสูจน์แล้วว่า เย่หยวนคนนี้พิเศษแค่ไหน!
ห่านเทียนทราบดีว่า ความรู้ความเข้าใจของเซียนเฟิ้งหยุดนิ่งไร้ซึ่งการพัฒนามากว่าหนึ่งหมื่นปีเต็มแล้ว!
“แค่ได้ยินท่านกล่าวแบบนั้น ข้าก็รู้สึกสนใจเด็กคนนี้เป็นอย่างมากแล้ว! โอ้จริงสิ! มากความสามารถขนาดนี้ ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด! เขาอยู่ไหนงั้นรึ ไปเชิญเข้ามาเร็ว!”
ห่านเทียนเร่งรีบเอ่ยกล่าวด้วยตื่นอกตื่นเต้น
ทว่าเซียวเฟิ้งกลับคลี่ยิ้มขื่นและกล่าวว่า
“ข้าเกรงว่า จักต้องทำให้ท่านประมุขหอผิดหวังเสีย เด็กคนนั้น…ได้ตัดสินใจเข้าศึกษาต่อที่สถานศึกษาหวูเมิ่ง!”
ห่านเทียนอดสำลักมิได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น และกล่าวขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสเซียง เด็กหนุ่มมีความสามารถขนาดนั้น แต่ไฉนถึงปล่อยให้หลุดมือได้?”
เซียวเฟิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวอย่างหมดหนทางเช่นกันว่า
“เฮ้ออ… เราชายชราทำดีที่สุกแล้ว ตลอดทางที่เดินทางกลับ ข้าพยายามหว่านล้อมกล่าวโน้มน้าวทุกวิถีทางแล้ว ทว่าเด็กนั้นกลับหัวรั้นยิ่งนัก เมื่อเขาตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว ต่อให้จักรพรรดิหยกอยู่ตรงหน้าก็ไม่สามารถดึงเขากลับมาได้!”
ห่านเทียนที่ได้ฟังแบบนั้นพลางถอนหายใจตาม
“เฮ้อออ… ช่างน่าเสียดายโดยแท้!”
เซียวเฟิ้งกล่าวต่อว่า
“แต่ท่านประมุขหอไม่จำต้องผิดหวังเช่นนี้เลย เราชายชรากับเด็กคนนั้นมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี นับเป็นมิตรสหายร่วมอาชีพ เนื่องจากเห็นแก่หน้าเราชายชรา เขาจึงตกลงเป็นอาคันตุกะนักหลอมโอสถของหอมหาสมบัติต่อไป และที่สำคัญที่สุด ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา หยางรุยให้ความช่วยเหลือเด็กคนนี้มาตลอดทั้งในด้านที่พักพิง รวมไปถึงทรัพยากรระหว่างเก็บตัวมากมาย เย่หยวนยังถึงขั้นกล่าวเลยว่า ตนเป็นหนี้บุญคุณของหยางรุย ความสัมพันธ์ระหว่างหยางรุยกับเก็ดคนนี้ค่อนข้างแน่นแฟ้น ยากเกินจะตัดขาดดั่งคนแปลกหน้า ตลอดครึ่งปีที่เราชายชราอยู่ร่วมกับเขา กล้ากล่าวได้อย่างเต็มปากว่า เย่หยวนเป็นชายหนุ่มผู้ให้ความสำคัญต่อมิตรภาพมาเป็นอันดับหนึ่ง! ขนาดที่ว่ายอมเป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มอิทธิพลใหญ่ เพื่อปกป้องมิตรสหาย ทำดีกับเด็กคนนี้ ย่อมส่งผลดีต่อพวกเราแน่นอนในอนาคต!”
หลังจากที่ได้ฟังเซียวเฟิ้งอธิบาย ห่านเทียนก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย แต่เบื้องลึกในแววตายังมิอาจเก็บซ่อนความผิดหวังได้มิด
“หยางรุยงั้นรึ…เจ้าเด็กคนนั้นมันไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลยจริงๆ! บุคคลกรผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลสมควรต้องเชิดชูส่งเสริม! ในอนาคตต่อไปเขาจะต้องเป็นบุคคลสำคัญ เพื่อสานสัมพันธ์อันดีระหว่างเย่หยวนกับหอมหาสมบัติ! เลื่อนตำแหน่งให้หยางรุยขึ้นเป็นผู้ดูแลใหญ่ของที่นี่เลย”
ห่านเทียนกล่าวขึ้น
เซียวเฟิ้งยิ้มและกล่าวว่า
“หุหุ ท่านมีอำนาจเลื่อนตำแหน่ง แต่เขากลับยังไม่สามารถรับผิดชอบตำแหน่งใหญ่โตได้ไหว! ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแข็งแกร่หรือความอาวุโส เขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะรับตำแหน่งผู้ดูแลใหญ่ของที่นี่ได้ อย่างไรก็ตาม…เราเพียงสนับสนุนเขาจนกว่าจะถึงวันนั้นได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างเย่หยวนกับหอมหาสมบัติได้แล้ว เราชายชราขอการันตี หากมีเย่หยวนอยู่ฝักฝ่ายเรา หอมหาสมบัติจะได้รับผลประโยชน์เกินจินตนาการ! โอ้ใช่แล้ว หยางรุยกับเย่หยวนเองก็ทำข้อตกลงระหว่างกันอยู่ หากเย่หยวนไม่ผ่านการทดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่ง หยางรุยจะขอให้เขาเข้าร่วมกันหอมหาสมบัติแทน!”
ดวงตาของห่านเทียนเปล่งประกายสว่างขึ้นในทันที และกล่าวสวนไปว่า
“หากเป็นเช่นนี้ ไฉนเราถึง…ไม่หยิบใช้อุบายลงในการทดสอบเสียหน่อยล่ะ?”
แต่เซียวเฟิ้งที่ได้ฟังแบบนั้น รีบกล่าวตอบทันควัน
“อย่า! อย่าเด็ดขาด! เด็กคนนี้ทั้งฉลาดและหัวไวมาก บางทีอาจเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างเราๆเสียอีก! แม้แต่เรื่องที่ข้าเดินทางไปยังเมืองกุยฉางเพื่อศึกษาวิธีหลอมกลั่นโอสถบ่มเพาะปราณ ทั้งหมดก็อยู่ในแผนของเขานานแล้ว! หากท่านทำเช่นนั้น และอีกฝ่ายจับได้ ผลลัพธ์ที่ได้จากดีจะกลายเป็นร้ายทันที! เอาล่ะ เราชายชราคนนี้แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะเก็บตัว! โอ้ อีกเรื่องหนึ่ง เด็กคนนั้นมีเรื่องมีราวกับตระกูลหวังแห่งเมืองหมิงหยาง ดูท่าพวกนั้นเองก็ขุ่นเคืองเขาไม่น้อย ไม่ว่ายังไงก็ฝากท่านดูแลในจุดนี้แทนข้าด้วยก็แล้วกัน”
ห่านเทียนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นและกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจแล้ว! เราคนนี้รู้สึกอิจฉาท่านเสียจริง เมื่อไหร่ข้า,ห่านเทียนจะทะลวงผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเช่นนี้แบบท่านได้บ้าง!”
………………………..
เมื่อการทดสอบของสถานศึกษาใกล้เข้ามา เหล่าเยาวชนภายในเมืองก็ยิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น
ณ โรงเตี๊ยมเฟิงหลาน ธารฝูงชนแน่นมากหน้าหลายตา โดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นรุ่นเยาวชนหนุ่มสาว
ทั้งหมดนี้คือเหล่านักสู้รุ่นเยาวชนผู้มาพร้อมกับคนติดตามคอยอารักขา เพียงมองปวาดเดียวก็ทราบทันทีว่า พวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นสมาชิกตระกูลใหญ่ หรือไม่ก็ศิษย์สาวกจากสำนักนิกายมีชื่อเสียง
เยาวชนระดับรากหญ้าที่ไร้ซึ่งเงินทองและทรัพยากรมาค่อยสนับสนุน กลับเป็นเรื่องยากมากที่จะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าได้ก่อนอายุสองร้อยปี
ดังนั้นเหล่าเยาวชนที่เข้าร่วมการทดสอบโดยส่วนใหญ่ ล้วนเป็นเด็กจากกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของเขตเมืองต่างๆ
ยิ่งเป็นภายในโรงเตี๊ยมระดับหรูอย่างโรงเตี๊ยมเฟิงหลาน ผู้ที่สามารถจ่ายค่าอาหารและค่าที่พักได้ต่างเป็นพวกผู้ดีทั้งนั้น เยาวชนระดับรากหญ้าแทบไม่มีให้เห็น
“ข้าได้ยินมาว่าการทดสอบของสถานศึกษาหวูเมิ่งในครั้งนี้ มีนักสู้รุ่นเยาว์ที่เข้าสมัครมากถึงล้านคนเชียว!”
“ต่อให้มีมากมายแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์! สถานศึกษาหวูเมิ่งไม่เคยจำกัดจำนวนผู้ผ่านการทดสอบ ขอเพียงผ่านสามรอบก็เข้าได้เช่นกัน! ทั้งนี้จะผ่านหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัวล้วนๆ!”
“นั้นก็ใช่ แต่ด้วยจำนวนผู้สมัครมหาศาลเพียงนี้ ย่อมมีม้ามืดปรากฏตัวขึ้นแน่นอน และข้าสงสัยเสียยิ่งว่า คราวนี้…ใครจะได้ขึ้นทำเนียบดาวเด่นได้?”
“กล่าวมีเหตุผล! หากกล่าวถึงตัวเต็งที่มีโอกาสขึ้นทำเนียบดาวเด่น คงเป็นนายน้อยสี่แห่งหวู่เมิ่ง ทั้งยังพวกเมืองเหอผิง กับเมืองฉวนกังอีก เขตเมืองพวกนั้นก็นับเป็นตัวเด่นจริงหรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้สูง! พวกเขาเหล่านั้นล้วนแกร่งกล้าเกินวัย หากมิใช่พวกเขาที่ขึ้นติดทำเนียบดาวเด่น ข้าก็คิดไม่ออกแล้วเช่นกัน”
………………….
ที่นั่งริมฝั่งหน้าต่าง หนึ่งโต๊ะสี่มุมสี่คนกำลังนั่งเฝ้าดักฟังคนรอบข้างสนทนาอย่างตั้งใจ
พวกเขาทั้งสี่คือ เย่หยวน, หยางรุย, เหลียงหวางหรูและหลัวเจีย
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หยวนเหยียบย่างเข้ามาในเมืองนี้ จำต้องเข้าใจขนบธรรมเนียมพื้นฐานและหลักปฏิบัติของที่แห่งนี้เสียก่อนโดยธรรมชาติ
เมื่อคำว่า‘ทำเนียบดาวเด่น’ดังมาเตะหู เย่หยวนก็มีทีท่าสนใจขึ้นมาทันตา
“พี่หยาง ทำเนียบดาวเด่นคืออะไร?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
หยางรุยกล่าวตอบว่า
“ผู้ที่สามารถผ่านการทดสอบทั้งสามรอบได้ และขึ้นกลายเป็นอันดับหนึ่งของตาราง!”
เย่หยวนกล่าวถามต่อด้วยความสงสัยว่า
“จุดนี้มิใช่เรื่องยากเกินเข้าใจ เพียงว่าการได้ขึ้นกลายเป็นทำเนียบดาวเด่นมีข้อดีอย่างไรบ้าง?”
หยางรุยกล่าวว่า
“แน่นอนว่ามากมาย! ผู้ที่ได้ขึ้นเป็นทำเนียบดาวเด่นจะได้รับรางวัลจำนวนมาก บุคคลระดับสูงในสถานศึกษาหวูเมิ่งต่างเพ่งเล็ง และได้กลายเป็นศิษย์ในนามของท่านเจ้าเมือง! เมื่อเข้าเป็นศิษย์ชั้นใน จะได้รับสิทธิพิเศษกว่าศิษย์ทั่วไป ทั้งเรื่องที่พักและคนรับใช้ สถานะศักดิ์ภายในนั้นอยู่สูงจนคนอื่นต้องเกรงกลัว ทรัพยากรหายากมากมายที่ศิษย์ทั่วไปไม่มีทางได้รับ ก็จะได้รับไม่ขาดสาย สรุปโดยย่อ คล้ายบัตรทองอาญาสิทธิ์เหนือคนอื่นในสถานศึกษาหวูเมิ่ง! ทุกๆร้อยปีที่มีการทดสอบ หัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องทำเนียบดาวเด่น!”
เย่หยวนรู้สึกประหลาดเล็กน้อยเมื่อได้ยินก่อนกล่าวว่า
“เป็นเช่นนี้นี่เอง! เพียงแต่…แม้จะได้รับตำแหน่งทำเนียบดาวเด่นไป แต่ก็มิได้การันตีว่าเขาจะเป็นที่หนึ่งเสมอไปในภายภาคหน้า?”
เส้นทางแห่งการต่อสู้เต็มไปด้วยตัวแปรมากมายที่ทั้งควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ การที่ได้อันดับหนึ่งในวันนี้ ก็มิใช่เสมอไปว่าจะเป็นอันดับหนึ่งในอนาคต
หยางรุยพยักหน้าและกล่าวว่า
“อย่างที่กล่าวไป ทำเนียบดาวเด่นเป็นได้แค่ศิษย์ในนาม หากในอนาคตกลับอับพรสวรรค์ต่อให้มีทรัพยากรดีเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาเหล่านั้นจะถูกฝูงชนหลงลืมไปเอง แต่กระนั่นเอง ฐานะทำเนียบดาวเด่นมันคือทางลัดแห่งการฝึกปรือ หากได้ตำแหน่งนี้ไปก็การันตีไปกว่าครึ่ง อนาคตย่อมสดใสแน่นอน! ท้ายที่สุดนี้ มีทรัพยากรมากกว่าย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว!”
เย่หยวนย่อมตระหนักทราบ การได้ตำแหน่งทำเนียบดาวเด่นไป ก็เท่ากับมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นๆ อัตราความเร็วในการบ่มเพาะพลังย่อมไวกว่าโดยธรรมชาติ
สำหรับคนอื่นๆแล้ว หากต้องการกล่าวมาถึงจุดนี้อาจต้องใช้ความพยายามกว่าร้อยพันเท่าเพื่อตีตื้น
ดังนั้น ทำเนียบดาวเด่นนี้จึงสำคัญอย่างหาที่เปรียบไม่!
แต่โอกาสที่จะได้ตำแหน่งนี้ไปครองนับว่าแทบเป็นไปไม่ได้!