Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1407 ทัศนคติของท่านเจ้าเมือง
“รากฐานของเมืองหลวงโหย่วตังยังคงลึกล้ำแข็งแกร่งนัก! อาศัยไป๋เทียนจ้าวแค่ลำพัง ก็สยบแทบทุกเมืองหลวงอื่นได้แล้ว!”
“หากเมืองหลวงหวูเมิ่งต้องการจะเอาชนะอีกฝ่ายจริงๆ นี่ค่อนข้างเป็นไปได้ยากแล้ว”
“ไม่รู้เลยว่าเย่หยวนฆ่าไปทั้งหมดกี่คน ฉกชิงแหวนเก็บของมามากพอหรือไม่”
…
ทุกคนในตอนนี้ต่างกังขาสงสัย ในมือเย่หยวนมีสมุนไพรวิญญาณจำนวนเท่าใด? อิงตามอัตราห้าต่อหนึ่งส่วนเย่หยวนจำต้องมีสมุนไพรวิญญาณอย่างน้อยหนึ่งหมื่นต้นขึ้นไปจึงจะมีโอกาสชนะ แต่จำนวนขนาดนี้กลับไม่มีทางเป็นไปได้เลย และยังไม่เคยมีใครหาได้มาก่อนในงานชุมนุมร้อยเมืองจากที่ผ่านมา
หลังจากที่เย่หยวนฉกชิงแหวนเก็บของคนอื่นมาได้ เขาก็ถ่ายโอนสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดลงในแหวนของเขาเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครทราบเลยว่า เขาได้รับสมุนไพรวิญญาณมาทั้งหมดเท่าใด
ในขณะนั้นเอง ซวนหลิงพลันค่อยๆ เอ่ยปากป่าวประกาศอีกครั้ง
“อันดับหนึ่งของศิษย์ชั้นนอกคือ เย่หยวนแห่งเมืองหลวงหวูเมิ่ง จำนวนสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งที่เก็บเกี่ยวได้…สองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยต้น!”
ทันทีที่เสียงประกาศของซวนหลิงจางหาย ทั่วทั้งลานกว้างทุกแท่นบูชนต่างระเบิดความโกลาหล เสียงอุทานเซ็งแซ่ชุลมุนดังกระหึ่มในทันใด ต่อให้โดยใช้อัตราส่วนห้าต่อหนึ่ง จำนวนสมุนไพรวิญญาณที่เย่หยวนได้รับมาเพียงคนเดียวก็มากกว่าทั้งเมืองหลวงโหย่วตังถึงเท่าตัว!
“เจ้าดาวพิฆาตนั้นมันฆ่าไปกี่ศพกัน?!”
“ช่างน่าทึ่ง! คาดไม่ถึงเลยจริงๆ! เมืองหลวงหวูเมิ่งจะสร้างความสั่นสะเทือนได้เพียงนี้!”
“แค่อาณาจักรปฐมพระเจ้าชั้นปลายในตอนนี้ก็ทรงพลังเหลือล้น หากเลื่อนขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าได้สำเร็จยิ่งไม่ไร้เทียมทานเลยรึ?”
…
พวกเขาหารู้ไม่ว่า จำนวนศิษย์ที่เย่หยวนฆ่าทิ้งไปทั้งหมดในรอบสามเดือนที่ผ่านมามีมากถึงสองพันคน! แม้ว่าแต่ละคนจะถือครองสมุนไพรวิญญาณเพียงไม่กี่สิบต้นในมือ แต่จำนวนผู้คนก็มีสูงถึงสองพันคนโดยประมาณ ด้วยวิชาขี่ดาบที่เป็นเครื่องมือไล่ล่าสำคัญของเย่หยวน ผนวกกับญาณสัมผัสเหนือธรรมชาติของหวูเฉินอันกว้างขวาง จึงทำให้เขาสามารถคว้าชัยในครั้งนี้ไปครองได้สำเร็จ แม้ศิษย์พวกนั้นจะหลบซ่อนอำพรางตัวได้ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่นั่นก็มิอาจหลบพ้นญาณตรวจจับอันแม่นยำของหวูเฉินได้อยู่ดี
ซวนหลิงโบกมือปัดกลางอากาศ ปรากฏลำแสงทั้งสามสายบินกระจายออกไป สองสายแรกบินไปหาเย่หยวน ส่วนอีกสายตรงเข้ามาไป๋เทียนจ้าว
“นี่คือรางวัลของพวกเจ้า!” ซวนหลิงเอ่ยกล่าวเสียงเรียบ
เบื้องหน้าเย่หยวนปรากฏกล่องหยกลวดลายประณีตอยู่สองใบ โดยมีใบหนึ่งเล็กกว่าอีกใบเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่า กล่องหยกใบที่เล็กกว่าคือโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่ ในขณะที่อีกใบที่ใหญ่กว่าคือกล่องหยกที่บรรจุผลวิญญาณร่ำไห้
สำหรับผลวิญญาณร่ำไห้ชนิดนี้ เย่หยวนเคยได้ยินหวูเฉินอธิบายสรรพคุณอยู่บ้างและนั้นเป็นของดีขนานแท้ ผลวิญญาณร่ำไห้เป็นหนึ่งในของวิเศษฟ้าดินที่ภายในอุดมไปด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์ชนิดเข้มข้นอยู่มหาศาล แน่นอนว่ามันมีสรรพคุณเหนือกว่าโอสถทั่วไปโดยธรรมชาติ การกินผลวิญญาณร่ำไห้เพียงหนึ่งผล มันเทียบเท่ากับหนึ่งร้อยปีเต็มแห่งการบ่มเพาะพลังอย่างขื่นขม! ผลวิญญาณร่ำได้ที่เย่หยวนได้รับมาทั้งสิ้นคือสิบผล ดังนั้นรางวัลชิ้นนี้เปรียบเสมือนตั๋วทองคำที่พาเขากระโดดขึ้นสู่อาณาจักรปฐมพระเจ้าขั้นสุดได้ในอึดใจเดียว
เย่หยวนเก็บกล่องหยกทั้งสองใบลงไปและประสานมือกล่าวกับซวนหลิงว่า “ขอบพระคุณอย่างยิ่งท่านซวนหลิง!”
ซวนหลิงขยับขยายสายตาจับจ้องเย่หยวนอย่างลึกซึ้งและยิ้มกล่าวว่า “นั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าสมควรจะได้รับแล้ว! เย่หยวน เจ้าทำได้ดีมาก หลังจากนี้หากเจ้าออกจากเมืองหลวงหวูเมิ่งเมื่อใด สามารถเดินทางมายังเมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์เพื่อเข้าพบข้าได้ทุกเมื่อ!”
ได้ฟังคำกล่าวของซวนหลิง สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อมจับจ้องเย่หยวน ส่อแววอิจฉาตาร้อน
เมืองหลวงหวูเมิ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่ภายใต้เขตปกครองของเมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์! ขุมกำลังของเมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์กล่าวได้ว่าเกรียงไกรยิ่งใหญ่เกินจินตนาการ ความปรารถนาของเหล่านักสู้พวกนี้คือการได้เหยียบย่างเข้าสู่เมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์สักครั้งในชีวิต ในทัศนคติของพวกเขา เมืองราชวงศ์อินทรีสวรรค์เปรียบดั่งสรวงสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
งานชุมนุมร้อยเมืองนี้ถูกจัดขึ้นไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ท่านซวนหลิงกลับไม่เคยเอ่ยปากกล่าวเช่นนี้มาก่อนเลยสักครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับเป็นข้อยกเว้น ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแต่ต้องอ้าปากขากรรไกรค้างเติ่ง! สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ซวนหลิงผู้นี้ประทับใจในความสามารถของเย่หยวนเพียงใด
ณ ปัจจุบันศิษย์ทุกคนรวมถึงระดับอารมณ์ทุกท่านต่างเหลียวมองจับจ้องเย่หยวนประดุจมีสะเก็ดไฟลุกเดือดขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าอิจฉาอย่างหาที่เปรียบไม่! แม้แต่สายตาที่ไป๋เทียนจ้าวเข้าจับจ้องเย่หยวนยังเผยท่าทีผิดแปลก คล้ายคงความเยือกเย็นไว้ไม่อยู่
“เอาล่ะ งานชุมนุมร้อยเมืองในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนเดินทางกลับได้!”
คล้อยหลังซวนหลิงกล่าวจบ สองมือร่ายพันวัลปรากฏเป็นตราผนึกขึ้นอีกครั้ง แท่นบูชานับร้อยเปล่งแสงประกายวาบเคลื่อนย้ายร่างทุกคนจากออกไปทันที
…
หลังจากที่งานชุมนุมร้อยเมืองสิ้นสุดลง ข่าวที่เมืองหลวงหวูเมิ่งคว้าอันดับหนึ่งมาครองก็แพร่กระจายทั่วทุกมุมถนนทุกสายในเมืองหลวงหวูเมิ่ง จนกลายมาเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ ขุมกำลังของเมืองหลวงหวูเมิ่งถือได้ว่าไม่ค่อยโดดเด่นนักในบรรดากว่าร้อยเมือง แต่นั่นก็มิได้ถือว่าอ่อนแอเช่นกัน อันดับหนึ่งของงานชุมนุมร้อยเมือง มิใช่สิ่งที่เมืองหลวงหวูเมิ่งเคยคิดหรือตั้งเป้าเอาไว้เลย
ณ ตำหนักเจ้าเมือง ชายวัยกลางคนท่าทางองอาจกลิ่นอายดั่งราชานั่งอยู่บนบัลลังก์มากสง่าราศีในส่วนโถงหลักเบื้องหน้าของเขาปรากฏเป็นอาจารย์ใหญ่เหวินอี้หยางและอัสนีคำรน
ทางด้านอัสนีคำรนลดศีรษะให้กึ่งหนึ่งและเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ฉินหยวนหลงพยายามจะลอบสังหารเย่หยวน ก่อนกล่าวลงท้ายด้วยความขุ่นเคืองว่า “ท่านเจ้าเมือง ตระกูลฉินนับวันยิ่งกำแหงวางอำนาจอึกโข! โดยไม่สนเลยว่าบัญชีแค้นนี้แท้ที่จริงใครกันที่ก่อขึ้น แต่กลับเคลื่อนไหวตามใจชอบไม่สนกฎเกณฑ์ ใช้วิธีสกปรกเช่นนี้เพื่อจัดการกับเด็กน้อยอาณาจักรปฐมพระเจ้าคนหนึ่ง นี่มันไร้ยางอายเกินไป!”
อันที่จริงแล้ว เรื่องราวความแค้นระหว่างตระกูลฉินกับเย่หยวน ทุกคนภายในเมืองต่างทราบและตระหนักดีว่าทั้งหมดเกิดจากฝ่ายใดเริ่มก่อน ตระกูลฉินเคยฉินในการใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้คนและเอาแต่ใจทำอะไรก็ได้ แต่กลับไม่มีใครสามารถสะกิดให้พวกเขาขุ่นเคืองได้เลย
เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งกล่าวเสียงเย็นขึ้นว่า “เหวินอี้หยาง เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?”
เหวินอี้หยางประสานมือคำนับและกล่าวว่า “เรียนท่านเจ้าเมือง เย่หยวนคนนี้ถือเป็นยอดอัจฉริยะในรอบแสนปีจะมีสักคน ความสำคัญของเขาที่มีต่อเมืองหลวงหวูเมิ่งมากมายใหญ่หลวง ในส่วนเรื่องนี้ข้าเชื่อว่าท่านชัดเจนยิ่งกว่าใคร! ครั้งนี้ตระกูลฉินล้ำเส้นมากเกินไปจริงๆ!”
ในฐานะที่เหวินอี้หยางดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษามาเนิ่นนานหลายปี ยอดอัจฉริยะดั่งเพชรน้ำงานขนาดนี้หายากเกินพรรณนา เขาย่อมหวงแหนเย่หยวนคนนี้เป็นธรรมดาแน่นอน สิ่งที่ตระกูลฉินทำลงไปมันส่งผลกระทบต่อสมบัติล้ำค่าของเมืองหลวงหวูเมิ่งโดยตรง!
เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งตกสู่ความเงียบงันไม่ปริปากกล่าวอันใดไปครู่ใหญ่ เหวินอี้หยางกับอัสนีคำรนไม่กล้าส่งเสียงกล่าวอันใดขัดจังหวะเกรงจะไปรบกวน ระหว่างนั้นทั้งสองต่างสบตากันไปมาเผยแววประหลาดใจสาดสะท้อนออกมาไม่ต่าง เรื่องนี้ใครผิดใครถูกค่อนข้างชัดเจนเกินไป ไม่เห็นจำเป็นต้องครุ่นคิดนานขนาดนี้?
หากพวกเขาไม่สั่งสอนบทเรียนให้แก่ตระกูลฉินซะบ้าง เกรงว่าพวกนั้นจะยิ่งได้ใจมากขึ้นในอนาคต
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง เจ้าเมืองหลวงหวูเมิ่งก็เอ่ยปากกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “การกระทำในครั้งนี้ของตระกูลฉินนับว่าเป็นความผิดก็จริง แต่เนื่องจากฉินหยวนหลงตัดสัมพันธ์กับตระกูลฉินไปแล้ว และยังถูกอัสนีคำรนประหารทิ้งด้วยอีก ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกไป เจ้าเมืองผู้นี้ก็ไม่มีข้อแก้ตัว ฝ่ายตระกูลฉินทำคุณงามความดีและมีผลงานโดดเด่นมากมายให้แก่เมืองหลวงหวูเมิ่ง หากใช้ไม้แข็งเกรงว่าอาจสร้างเรื่องบาดหมางยากจะมองหน้ากันติด! เจ้าเมืองผู้นี้จะดำเนินการตักเตือนตระกูลฉินเป็นการส่วนตัว ให้พวกเขาประพฤติตัวให้ดี ในตอนนี้เอง เย่หยวนก็สร้างผลงานอันน่าภาคภูมิใจนักให้กับเมืองหลวงหวูเมิ่ง จนทำให้ข้าผู้นี้ได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ระดับสี่มาครอง รับสั่งลงไป! จงตบรางวัลให้แก่เย่หยวนคนนี้อย่างงาม!”
ทั้งเหวินอี้หยางและอัสนีคำรนพลันตื่นตะลึงหนักอยู่ภายในใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าท่านเจ้าเมืองจะดำเนินการได้หละหลวมต่อปัญหาตรงหน้ามากขนาดนี้! ไฉนถึงหยิบยกข้ออ้างให้ตระกูลฉินพ้นผิดจากหนักกลายเป็นเบา?
หน้าที่ของเจ้าเมืองคือการเข้ามาบริหารดูแลและจัดการแก้ไขปัญหาจากใหญ่ให้กลายเป็นเล็ก จากเล็กจนไร้ซึ่งปัญหาใดๆ อีกต่อไป แม้รากฐานตระกูลฉินจะค่อนข้างหยั่งลึกในเมืองหลวงหวูเมิ่ง แต่เจ้าเมืองก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกฝ่ายขนาดนี้จริงหรือไม่?
มาตรการแก้ไขปัญหาแบบนี้หาได้กระทบต่อตัวเหวินอี้หยางอยู่แล้ว แต่เขากังวลว่าเย่หยวนจะเก็บเรื่องนี้ไปคิดเล็กคิดน้อยมากกว่า!
………………………………………