Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1417 ข้าไม่เห็นด้วย!
ร่างไป๋เฉินสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเจือตกใจสุดขีด
“ปะ เป็นไปไม่ได้! ท่านอาจารย์เย่จะเป็นเซียนต่างแดนได้อย่างไร? ข้า…ข้าไม่เห็นรู้สึกตัวมาก่อน!”
ไม่ว่าจะเป็นเซียนต่างแดนหรือเรื่องนอกดินแดนหาใช่ความลับอันใดเลยในหมู่บุคคลระดับสูงของดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ และด้วยสถานะของไป๋เฉินย่อมเคยได้ยินมาก่อนเป็นธรรมชาติ
โม่หยุนสูดหายใจเข้าแช่มลึกและกล่าวว่า “ข้าเห็นไม่ผิดแน่นอน! โอสถเม็ดนี้ทั้งลักษณ์และกลิ่นอายเหมือนกับของเซียนต่างแดนคนนั้นอย่างมาก เพียงว่าประสิทธิภาพของโอสถกลับเหนือกว่ามาก!”
เบื้องลึกนัยน์ตาของไป๋เฉินเผยหลากอารมณ์แสนสับสนรวนเรยิ่ง เห็นได้ชัดว่าภายในใจกำลังขัดแย้งกันดิ้นรนอย่างรุนแรง ครั้นหนึ่งทางฝ่ายวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เคยออกลั่นกฎเหล็กอันพึงปฏิบัติอย่างเข้มงวดว่า ยามพบเจอเซียนต่างแดนจงฆ่าทิ้งโดยไม่มีข้อแม้!
แล้วตอนนี้พวกเขาควรทำอย่างไรดี? เซียนต่างแดนท่านนี้เป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตสองศิษย์อาจารย์คู่นี้เอาไว้!
“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว…พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี? ไป…เดินทางไปยังวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เพื่อรายงานเรื่องนี้ให้ทราบดีหรือไม่? ไม่…ไม่มีทาง! ท่านอาจารย์เย่เป็นผู้มีบุญคุณต่อชีวิตข้า ข้าไม่สามารถตอบแทนสินน้ำใจด้วยสิ่งพวกนี้ได้! ข้าทำไม่ลง!”
ไป๋เฉินไม่คิดที่จะรายงานเรื่องเย่หยวนขึ้นไปแน่นอน แต่เขาเองก็ไม่ทราบว่ายามนี้ควรทำอย่างไรดี? มาตรได้ว่าตกสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกโดยสมบูรณ์
โม่หยุนกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ในสายตาของเซียนต่างแดนล้วนมองดินแดนนภาบรรพตของเขาเป็นดั่งแหล่งเพาะพันธุ์เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จะช่วยเหลือหรือฆ่าทิ้งอย่างไรก็ได้ตามใจนึก พวกเราเหล่านักสู้แห่งดินแดนนภาบรรพตถูกมองแบบนั้นจริงๆ! แล้วคนแบบนี้จะไปส่งเสริมได้อย่างไร?”
สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินยามนี้รวนเรหนักข้อ สองความคิดตีกันในหัวไม่หยุดหย่อนพร้อมเงียบลงไปพักใหญ่
ท้ายที่สุดนี้ เขายังคงเอ่ยปากกล่าวว่า “ข้าไป๋เฉิน ต่อให้ถูกประจานว่าเป็นคนกบฏบ้านเมืองไปอีกเจ็ดชั่วโคตรย่อมรับได้ แต่สิ่งที่ข้ารับไม่ได้คือ การตอบแทนผู้มีพระคุณด้วยการทรยศหักหลัง! ท่านอาจารย์เย่ยอมตกลงช่วยเหลือข้าภายใต้สถานการณ์จนตรอกขนาดนี้ หากทรยศเขาแบบนี้ ข้าหรือจะต่างอะไรกับหมูหมา? ท่านอาจารย์โม่หยุน ข้าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน แต่ข้าก็มิได้บังคับความคิดท่านเช่นกัน หากมองว่าไม่สมควรก็สามารถนำเรื่องนี้ไปรายงานได้เลย! แต่ข้าจะขออยู่ตรงนี้และยืนรอความตายไม่ไปได้!”
โม่หยุนคาดไม่ถึงเลยว่า ศิษย์คนนี้จะเป็นคนเอ่ยปากลั่นวาจาเช่นนี้ออกมาจริงๆ สีหน้าการแสดงออกดูขัดแย้งโดยพลัน ครุ่นคิดหนักใจอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดจำต้องยอมจำนน เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวว่า “เอาล่ะ กลับช่วยมิได้ที่เราสนิทรักใคร่ดั่งพ่อลูก! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าคนนี้ขอร่วมเดินไปกับเจ้าจนกว่าจะตายกันไปข้าง!”
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้นเอง ทั้งไป๋เฉินและโม่หยุนกลับไม่รู้เลยว่า ทุกการกระทำของสองคนนี้ล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของเย่หยวนทั้งสิ้น และการตัดสินใจเช่นนี้ของพวกเขาก็เป็นสิ่งช่วยชีวิตพวกเขาเอง คิดหรือว่าคนรอบคอบช่างระวังตัวอย่างเย่หยวน จะทำเรื่องง่ายๆ พลาดขนาดนี้?
เขาจงใจมอบโอสถศักดิ์สิทธิ์ให้อีกฝ่ายเอง เพื่อเปิดโอกาสให้ไป๋เฉินเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง
หากเขาช่วยไป๋เฉินชิงตำแหน่งประมุขวังคืนมาได้สำเร็จ สิ่งตอบแทนที่เขาต้องการร้องขอย่อมเป็นศิลาชีวิตนิจนิรันดร์แน่นอน ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ไป๋เฉินย่อมจะสงสัยในตัวตนของเขาแน่นอน ในเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเย่หยวนกำลังจะถูกเปิดโปงในไม่ช้า จึงเป็นการดีกว่าหากเขาบอกให้ไป๋เฉินให้รับรู้ตั้งแน่เนิ่นๆ
หากเมื่อครู่ไป๋เฉินคิดทรยศเขา เย่หยวนก็พร้อมฆ่าคู่ศิษย์อาจารย์ทิ้งทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เป้าหมายของเย่หยวนในการเดินทางมาที่ดินแดนนภาบรรพตค่อนข้างชัดเจน ทั้งหมดก็เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์! นั้นคือสิ่งเดียวที่สามารถช่วยชีวิตมู่หลินเสวียได้ และเย่หยวนไม่ยอมให้ตัวแปรใดเข้ามาทำให้แผนการล้มเหลวเด็ดขาด!
แม้เขาจะไม่เต็มใจฆ่าไป๋เฉินก็ตาม
ทว่าก็ยังโชคดีที่ไป๋เฉินเลือกยืนอยู่ข้างเขา
………………..
ณ ห้องโถงใหญ่แห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย ไป๋ซิ่วนั่งบนตำแหน่งอันทรงเกียรติประดับคู่คิ้วขมวดเป็นปมแน่น
“ข้าเพิ่งได้รับรายงานมาว่า ทัพศึกเหล่าเซียนจากวังเทวะพิรุณร่วงโรยกลุ่มใหญ่ได้ผ่านเข้ามาอาณาเขตของวังเทวะรัตติกาลฉายแล้ว! และอีกไม่กี่วันพวกมันก็จะมาถึงที่นี่! ไม่ว่าอย่างไร…พวกเราจักต้องได้ข้อสรุปกันในวันนี้!”
เมื่อเรื่องนี้ถูกเผยออกไป สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันแปรเปลี่ยนต่างกันไป บางคนดูกังวล บางคนดูหวาดกลัวและบางคนดูโกรธเกรี้ยวอย่างมาก โฉมหน้าที่แท้จริงของมนุษย์มักเผยออกมาในเวลาวิกฤตเช่นนี้
“รองประมุข ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว! ตำแหน่งประมุงวังคนต่อไป ไม่ว่านายน้อยจะเต็มใจยอมรับหรือไม่ แต่ท่านก็คือบุคคลที่เหมาะสมที่สุดแล้ว!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น
เมื่อความเห็นเช่นนี้ถูกแสดงเผยออกมา ก็มีอีกหลายคนกล่าวเสริมเห็นด้วยกันทันที
“ถูกต้องแล้ว ยามนี้เผชิญศึกใหญ่กับศัตรูตัวฉกาจ ถึงนายน้อยจะมีพรสวรรค์ดีเลิศเพียงใด แต่ในแง่ประสบการณ์กัดกุมศึกกลับยังไม่มี การควบคุมมวลชนและสร้างขวัญกำลังใจแก่ขุมกำลังฝ่ายเรา จำต้องเป็นบุคคลทรงบารมีที่ทุกคนต่างเคารพเลื่อมใส เรื่องนี้ไม่ต้องถกเถียงให้เสียเวลาอีกต่อไป ท่านรองประมุขเหมาะสมที่สุด!”
“ท่านรองประมุข ยามนี้ท่านคือบุคคลที่แกร่งกล้าที่สุดในบรรดาวังเทวะรัตติกาลฉายทั้งหมด เรื่องประสบการณ์ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เจนจัดผ่านสมรภูมิเป็นตายนับครั้งไม่ถ้วน ทุกคนต่างเลื่อมใสเชื่อมั่น หากมีท่านเป็นเสาหลัก ศึกครานี้พวกเขากุมชัยไปกว่าครึ่งแล้ว! โปรดรับตำแหน่งประมุขวังคนต่อไปเถิด!” ผู้อาวุโสอีกคนกล่าวเสริม
ณ ปัจจุบันมีผู้อาวุโสในโถงใหญ่ทั้งหมดแปดคน ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าทั้งสิ้นขณะนี้ที่พวกเขาพูดออกมา มีผู้อาวุโสสามในแปดคนที่เอ่ยปากเห็นด้วยแล้ว ส่วนที่เหลือสีหน้าพวกเขาแต่ละคนยังดูลังเลตัดสินใจไม่ขาด แต่มีแววเอนเอียงไปทางไป๋ซิ่วมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“นี่พวกเจ้ายังรออะไรอยู่อีก? หรือไม่รอให้วังเทวะรัตติกาลฉายของเราพังพินาศก่อนค่อยตัดสินใจได้กระมัง?” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยแทรกขึ้นทันทีเจือหงุดหงิด
สีหน้าของที่เหลือพลันผันแปรอีกระลอก ประโยคนี้ได้สะบั้นตัดฟางเส้นสุดท้ายลงในทันใด
“เช่นนั้น…ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าก็เห็นด้วย!”
“ข้า…เห็นด้วยเช่นกัน!”
เหล่าผู้อาวุโสที่เหลือเริ่มเผยแสดงทัศนคติออกมาทีละคนสองคน ทุกคนในตอนนี้ต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ ให้ไป๋ซิ่วขึ้นสืบทอดตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป
ไป๋ซิ่วรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมากอย่างลับๆ แต่ภายนอกสีหน้าที่แสดงออกไปกลับเปี่ยมล้นความลำบากใจและกล่าวว่า “แต่…นี่จะเป็นไปได้อย่างไร? บรรพชนผู้ก่อตั้งวังเทวะรัตติกาลฉายคือบรรพบุรุษของบรรพบุรุษของท่านประมุขวังคนก่อน ตำแหน่งนี้ผู้สืบทอดได้ล้วนต้องมีสายเลือดทางตรงเท่านั้น และที่สำคัญที่สุด มีหรือที่ข้าจะพาวังเทวะรัตติกาลฉายไปได้สูงกว่าท่านประมุขวังคนก่อน หากตำแหน่งนี้อยู่ในมือข้า เกรงว่าจะทำให้เหล่าบรรพชนอับอายขายขี้หน้าได้?”
“ท่านรองประมุขโปรดหยุดปฏิเสธเถิด! ท่านเองก็แซ่สกุลไป๋มิใช่รึ? และท่านยังเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านประมุขวังคนก่อนมานับครั้งไม่ถ้วน! แล้วผลงานจะด้อยกว่าท่านประมุขวังคนก่อนได้อย่างไร? ท่านรองประมุขอย่าได้ปฏิเสธอีกเลย ทัพศึกวังเทวะพิรุณร่วงโรยเจียนมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว!”
“ใช่แล้วท่านรองประมุข ข้าเห็นด้วย!”
……………….
เหล่าผู้อาวุโสวิตกกังวลไม่ต่าง หากยามนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป เกรงว่าจัดทัพเตรียมต้านข้าศึกไม่ทันแน่นอน! ดังนั้นทุกคนต่างพร้อมใจเรียกร้องให้ไป๋ซิ่วยอมรับตำแหน่งประมุขวังคนต่อไปอย่างสุดกำลัง แม้ไป๋ซิ่งจะเป็นคนสกุลไป๋แต่เขากลับเป็นเพียงญาติห่างๆของท่านประมุขวังคนก่อน ในแง่ของสายเลือดแล้ว บุตรชายย่อมมีสายเลือดที่บริสุทธิ์กว่าคนโดยธรรมชาติ
เพียงว่านี่มิใช่เวลามานั่งสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
ไป๋ซิ่งถอนหายใจเสียงยาวไม่หยุดหย่อนและกล่าวว่า “ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้ ข้าไป๋ซิ่วเองก็ขอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดและขอยอมรับตำแหน่งประมุขวังคนต่อไป! แต่ข้าขอประกาศให้ทราบ ณ ที่แห่งนี้ก่อนว่า นี่เป็นเพียงตำแหน่งชั่วคราวเท่านั้น หลังจากวังเทวะรัตติกาลฉายของเราผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ เราจะทำการเลือกองค์ชายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดเพื่อรับสืบทอดตำแหน่งประมุขวังที่แท้จริงอีกครั้ง!”
ทันทีที่กล่าวจบ เสียงถอนหายใจระบายออกมาบรรยากาศก็ดูผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน เหล่าผู้อาวุโสแต่ละคนเผยสีหน้าดูโล่งใจกันขึ้น
“ท่านประมุขวัง ช่างมีจิตใจประเสริฐยึดหลักคุณธรรมเที่ยงตรง! เรื่องในวันหน้าค่อยให้วันหน้าพินิจตัดสิน! วันนี้เราจะประกาศให้ทั่วทั้งวังเทวะรัตติกาลฉายทราบกันโดยทั่ว ในนามของสภาอาวุโสแห่งวังเทวะรัตติกาลฉาย ขอแต่งตั้งให้ไป๋ซิ่วรับสืบทอดประมุขวังคนต่อไป!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆพยักหน้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างพอใจกับผลการตัดสินเช่นนี้
ไป๋ซิ่วยิ้มกล่าวว่า “เอาล่ะมาคุยเรื่องในวันนี้ก่อน! ศึกคราวนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว ดังนั้นข้าต้องไปจัดการบางเรื่องเสียก่อน ส่วนเรื่องประกาศประมุขวังคนปัจจุบัน จำต้องรบกวนพวกท่านแล้ว!”
“ข้าไม่เห็นด้วย!” ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังฉีกขึ้นมา เย่หยวนที่นั่งเงียบมาโดยตลอดในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น ร่างของชายหนุ่มคนนี้ปราศจากร่องรอยพลังปราณเทวะใดๆ ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนธรรมดายังกล้าปริปากกล่าวออกมาในที่แบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าเด็กเหลือขอนี่มาจากไหน? ไยถึงหาญกล้าคัดค้านยุ่งเรื่องสภาอาวุโสของเรา! เรื่องนี้พวกเราเหล่าสภาอาวุโสต่างลงมติชัดแจ้งเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าเป็นใครมาจากไหนถึงกล้าไม่เห็นด้วย!?”
ผู้อาวุโสที่เป็นตัวตั้งตัวตีเสนอชื่อไป๋ซิ่วขึ้นมาในตอนแรก ยามนี้โพล่งขึ้นพรวดพร้อมชี้หน้าคำรามใส่เย่หยวนอย่างโกรธเกรี้ยว ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ ชื่อของไป๋เฉินถูกปัดตกไปเป็นเวลานานแล้ว
แม้เขาและโม่หยุนจะมาร่วมฟังคำหารือของสภาอาวุโสด้วยเช่นกัน แต่กลับไม่มีใครสนใจความคิดเห็นของทั้งคู่เลย กล่าวได้ว่าไม่เห็นหัวกันเลยด้วยซ้ำ ทว่าเย่หยวนที่ดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง กลับหาญกล้าเอ่ยวาจาแทรกแซงพวกเขาแถมยังลั่นคำคัดค้านอย่างไร้ซึ่งยางอาย
เจ้าหนุ่มคนนี้มันหยิ่งผยองมาจากที่ใดกัน!
เย่หยวนไม่แม้แต่จะแยแสเสียงขุ่นเคืองของอีกฝ่าย ก่อนเหลือบมองไปที่ไป๋ซิ่วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“หุหุ ฝีมือการแสดงของท่านนับว่าไม่เลว! แต่…ทุกอย่างคงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ ในเมื่อข้ากล่าวว่าไม่เห็นด้วย ดังนั้นท่านก็ไม่มีวันขึ้นเป็นประมุขวังได้!”
……………………………………………….