Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1430 ล้วงความลับ
เมื่อเห็นว่าเย่หยวนเริ่มปะทุโทสะขึ้น ไป๋เฉินเร่งก้าวแช่มตรงออกมาห้ามทันที
“ท่านอาจารย์เย่โปรดระงับโทสะ ท่านทูตผู้นี้เราไม่สามารถยั่วโทสะเขาได้!”
เย่หยวนมขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพยักหน้าและกล่าวว่า “แน่นอน ข้าย่อมเข้าใจดี! แต่…”
ไป๋เฉินยังไม่ทันตอบสนองอันใด เพียงเห็นปลายเท้าของเย่หยวนกระตุกวูบเป็นเงาเลื่อนลางซัดออกไป
บูมมม!
ทุกคนสัมผัสได้ถึงความแรงของลูกเตะนี้ ร่างของเหลยต้วนถูกเตะกระเด็นออกไปโดยตรง ก่อนหน้านี้ที่เหลยต้วนเคลื่อนไหว เป็นช่วงที่เย่หยวนกับหุบเขาถงเทียนจำลองกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ ด้วยขุมพลังของหุบเขาถงเทียนที่รั่วไหลออกมา มีหรือที่สหายตัวน้อยอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าจะทนทานไหว?
ด้วยเหตุนี้ เศษเสี้ยวพลังที่รั่วไหลออกไปจึงพุงกระแทกร่างอีกฝ่ายเต็มสูบ จนหมดสติลงทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นยิ่งตอนนี้เหลยต้วนอาการสาหัส ถูกเย่หยวนเตะเข้าไปเต็มแรงจนกระเด็นลอยเคว้งกลางอากาศ แต่เย่หยวนกลับไม่หยุดเพียงแค่นี้ และเตะอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่องไม่หยุดนับสิบครั้ง
บูมม! บูมมม!!
ร่างอันแกร่งกล้าของเหลยต้วนตกกระแทกล้มพับกลางพื้นอิฐ เหล่าเซียนทั้งหมดต่างจับจ้องที่ร่างที่นอนกองกันพื้น สภาพตอนนี้ของอีกฝ่ายดูไม่น่าสยดสยองนัก
แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด พวกเขาทุกคนรวมไปถึงไป๋ซิ่วถึงรู้สึกสะใจคล้ายได้รับการปลดปล่อยอย่างบอกไม่ถูก เหลยต้วนผู้นี้อาศัยว่าตัวเองเป็นทูต ตัวแทนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ จึงเชิดหน้าชูคอเหนือฟ้าดิน ทำตัวเอาแต่ใจถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังไม่สนด้วยว่าไป๋เฉินจะเป็นประมุขวังเทวะรัตติกาลฉายหรือไม่ การกระทำของเขาหยิ่งผยองไม่ไว้หน้าใครใดๆ เลย เหลยต้วนลงไม้ลงมือกับไป๋เฉินราวกับเป็นหลานชายหรือคนใกล้ตัวโดยไม่มียั้งมือหรือเกรงใจ เช่นนั้นแล้วจะให้ผู้อาวุโสของฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายปั้นหน้าอย่างไร?
แต่การกระทำของเย่หยวนในขณะนี้ ได้ระบายความในใจของพวกเขาไปหมดสิ้น เห็นสภาพอันน่าเวทนาของเหลยต้วน พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“อืมม…ประมาณนี้ก็น่าจะพอ เนื่องจากเขาหมดสติอยู่คงจำอะไรไม่ได้ พาเขาออกไป แล้วอย่าลืมจับห้องพักชั้นหนึ่งในแก่เขาบริเวณปีกวัง อย่าให้ผู้คนดูถูกได้ว่า พวกเราต้อนรับท่านทูตได้ไม่ดีพอ” เย่หยวนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงแผ่วเบา ทุกคนต่างสบสายตากันไปมาและเดินตามเย่หยวนเข้าห้องโถงใหญ่ไป
หลังจากมาถึงบริเวณโถงใหญ่ ทุกคนต่างหยุดสายตามองไปยังเย่หยวนด้วยความร้อนใจคล้ายต้องการเอยกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับยากยิ่งที่จะกล่าวออกไป
เย่หยวนเฝ้ารู้สึกสังเกตได้อย่างชัดแจ้ง ยามนี้เอ่ยปากแสยะยิ้มขึ้นว่า “มีอะไรอยากกล่าวกับข้าก็เชิญ ข้าหาใช่อสูรดุร้าย ไม่กัดพวกเจ้าหรอก”
พวกเขาทั้งหมดเหลียวมองหันไปจ้องไป๋เฉินกันเป็นตาเดียว ซึ่งไป่เฉิน ณ ขณะนี้ปวดเศียรกดดันอย่างที่สุด ก่อนจะประสานมือเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์เย่ แท้ที่จริงแล้ว ทุกคนต่างกังวลสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือที่ข้าได้กล่าวเล่าไป ดังนั้นข้าจึงขอเป็นตัวแทนของทุกคนเพื่อจะถามว่า…ท่านอาจารย์เย่ใช่ผู้บุกรุกต่างดินแดนหรือไม่? เพราะอย่างไรก็มิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ท่านขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรพระเจ้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย แถมระดับพลังของท่านยังไม่สอดคล้องกับเซียนของดินแดนนภาบรรพตอีกด้วย ดังนั้นทางวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์จึงส่งทูตมาเพื่อนำตัวท่านไปยังศาลไท่ลู่ และทุกความจริงจะถูกเปิดเผยโดยทั่วกันภายใต้ศาลไท่ลู่!”
เมื่อคำกล่าวเหล่านี้ดังลั่นออกมา ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่เย่หยวนและเฝ้ารอคำตอบของอีกฝ่าย ในความเป็นจริงทุกคนที่อยู่ตรงนี้ลุ่นระทึกแทบอกแตกตายกันได้แล้ว! ท้ายที่สุดนี้ มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยิ่ง หากข่าวลือเรื่องนี้เป็นความจริงมันจะแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว และวังเทวะรัตติกาลฉายอาจถูกมองว่าเป็นกลุ่มกบฏ เช่นนั้นทุกคนจริงรู้สึกวิตกกังวลเป็นธรรมดา
สีหน้าของไป๋เฉินซีดขาวหนัก เพราะความกังวลและอาการบาดเจ็บก่อนหน้า เขาเอ่ยถามออกไปตามมารยาทตามที่ควรพึงกระทำ แต่ในความเป็นจริงกลับคิดในใจไปว่า เย่หยวนอาจความแตกแล้วแน่นอน ยิ่งประโยคสุดท้ายเป็นดั่งคำเตือนให้เย่หยวนรีบหนีออกไปจากดินแดนนภาบรรพต ก่อนที่ท่านทูตจะได้สติกลับมา!
เย่หยวนมองอีกฝ่ายพร้อมรู้ทันอ่านความคิดออกโดยปริยาย แต่ก็ยังยิ้มกล่าวว่า “กล่าวอธิบายอันใดไปก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อท่านทูตคนนี้ต้องการจะพาตัวข้าขึ้นศาลไท่ลู่ เช่นนั้นก็ให้อีกฝ่ายลองดูว่า ข้าผู้นี้จะเป็นผู้บุกรุกต่างแดนอย่างที่ลือกันหรือไม่!”
ทันทีที่ทุกคนได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยพร้อมเพรียงด้วยความโล่งอก
“ด้วยคำกล่าวนี้ของผู้อาวุโสสูงสุด ราวกับท่านได้ยกหินก้อนยักษ์ออกจากอกของพวกเราไปทันที!”
“แค่ข่าวลือไร้ซึ่งแหล่งที่มา! แต่ใครจะไปคิดว่าอำนาจจากข่าวลือจะปั่นหัวผู้คนได้ขนาดนี้กัน?”
“ก็สิ่งนี้กลับช่วยไม่ได้ เพราะผู้อาวุโสสูงสุดของเราอายุยังน้อยเกินไป แต่กลับทรงพลังแกร่งกล้าเหนือชั้นกว่าระดับของพวกเราโดยสิ้นเชิง! ใครๆต่างต้องสงสัยเป็นธรรมดา!”
“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว! ฮ่าๆๆ!”
…
หลังจากทุกคนแยกย้ายสลายตัวจากไป ภายในห้องลับ สีหน้าการแสดงออกของไป๋เฉินกับโม่หยุนกลับไม่ค่อยดีนัก
“ท่านอาจารย์เย่ ข้าเข้าใจว่าเป็นการดีสุดที่กล่าวเช่นนี้ออกไปเพื่อปิดปากทุกคน แต่ศาลไท่ลู่แห่งนี้กลับแตกต่างออกไป! มันถูกสร้างขึ้นเพื่อจับเท็จของผู้บุกรุกต่างแดนโดยเฉพาะ!” ไป๋เฉินกล่าวกระตุ้นด้วยวาจา
เย่หยวนอดสนใจมิได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตจะมีสถานะศักดิ์ต่ำกว่าหุบเขาถงเทียน แต่มันก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มิอาจลอกเลียนได้เช่นกัน
“แล้วศาลเจ้าไท่ลู่ที่ว่า คือสถานที่แบบใดกัน?” เย่หยวนเอ่ยถามขึ้นพร้อมความสงสัย
ไป๋เฉินเห็นว่าอีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเนื่องด้วยสนใจ ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยอธิบายโดยละเอียดทันที
ปรากฏว่า ภายในดินแดนนภาบรรพตมีเซียนต่างแดนเข้ามาแฝงตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนต่างมีวิธรปิดบังกลิ่นอายตัวเองนานาวิธี ตราบใดที่พวกเขามิได้กระตุ้นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง ก็เป็นไปได้ยากที่ได้รับการปฏิเสธจากศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนแห่งนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับเซียนอาณาจักรพระเจ้า แต่พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถปกปิดร้องรอยได้อย่างแนบเนียน
ศาลไท่ลู่กล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางสวรรค์สามดาวระดับสูงสุด ซึ่งภายในศาลแห่งนี้จะกอปรไปด้วยเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตระดับหนาแน่น ตราบเท่าที่มีผู้ใดสักคนเปิดใช้ศาลไท่ลู่ และสามารถจับตัวผู้บุกรุกต่างแดนเข้าไปได้ ตัวศาลจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและเข้าโจมตีอีกฝ่ายโดยตรง!
แม้วิธีปกปิดร่องรอยของเหล่าผู้บุกรุกจะท้าทายสวรรค์เพียงใด แต่ก็มิอาจซ่อนตัวได้จากปฏิกิริยาของศาลไท่ลู่ได้เลย เพียงหยดโลหิตลงไปหนึ่งหยด ความจริงเป็นอย่างไรย่อมกระจ่างชัดทันตาเห็น
“เท่าที่ข้าทราบมา มีผู้รุกรานต่างแดนแบบท่านไม่น้อยกว่าหลายร้อยคนแล้วที่ต้องตายลง เมื่อเข้าไปในศาลไทลู่! ท่านเย่หยวน ทางที่ดีท่านควรจะรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด!” โม่หยุนกล่าวเสริมต่อทันที
เย่หยวนกระดกลิ้นหนี่งทีเจือแววประหลาดใจมิคลายอ่อนเมื่อได้ฟัง ความสามารถของเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนแห่งนี้ช่างน่าสนใจนัก ผู้ใดสวมรอยปรับแก้ให้เหมือนอย่างไรก็มิอาจรอดพ้นสายตาได้ เหล่านักสร้างเครื่องรางของที่นี่ช่างน่าประทับใจยิ่งนัก!
คล้อยหลังฟังจนจบ เย่หยวนคลี่ยิ้มบางและกล่าวว่า “ข้าเคยกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ เพื่อศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ ต่อให้ทำอะไรข้าก็ยอม! พวกเจ้าวางใจได้เลย ข้าสามารถซ่อนตัวจากศาลไท่ลู่ได้แน่นอน และไม่มีวันยอมให้เรื่องนี้กระทบถึงพวกเจ้า!”
จากที่สังเกตเห็นท่าทางของอีกฝ่าย เย่หยวนสามารถกล่าวได้ทันทีว่า ไป๋เฉินกำลังกังวลใจเรื่องความปลอดภัยของตน แต่ถ้าหากเรื่องตัวตนของเขาถูกเปิดเผยออกมาจริงๆ แม้เหลยต้วนจะไม่สามารถทำอันตรายเย่หยวนได้ แต่คงเป็นเรื่องยากเช่นกันที่เขาจะหนีออกไป
เย่หยวนยิ้มพลางเดินเข้าไปตบไหล่ไป๋เฉินเล็กน้อย ก่อนจากลาออกไป
…
เหลยต้วนสะดุ้งตื่นขึ้นก่อนลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ
“อ๊ากก! เจ็บ…เจ็บปวดเหลือเกิน!”
เส้นประสาทสีเขียวปูดโปนสั่นระริกบนหน้าผากของเหลยต้วน เหงื่อเย็นจำนวนมากชโลมชุ่มทั่วร่างในทันที คลื่นความปวดร้าวเสียดแทงยันขั้วหัวใจ แผ่กระจายออกไปทั่วทั้งร่างกายประดุจกระแสไฟ
ตุบบ!
เหลยต้วนกลิ้งร่วงลงจากเตียงพร้อมนอนขดอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส แม้แต่จะส่งเสียงร้องเรียกให้ช่วยเหลือยังไม่มีปัญญา ลูกเตะลวกๆ ของเย่หยวนคล้ายดูธรรมดาทั่วไป แต่แท้ที่จริงแล้ว ในแต่ละการเตะล้วนเล็งไปยังจุดสำคัญของร่างกายทั้งสิ้น
สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม พื้นเพแต่แรกเริ่มของเย่หยวนเป็นมาอย่างไร? เขาคุ้นเคยกับจุดฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์ยิ่งกว่าอะไร และบางทียังชำนาญการเสียยิ่งกว่าศาสตร์แห่งการต่อสู้ด้วยซ้ำ อาศัยความแกร่งกร้าวทางกายภาพระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้า ลูกเตะเพียงไม่กี่ครั้งแต่เข้าจุดสำคัญ ย่อมสร้างความเสียหายแก่ร่างกายได้ถึงขีดสุด ถึงขั้นที่ว่าเขาได้สติขึ้นมาเพราะอาการเจ็บปวดที่มิอาจทนทานได้ไหว ทันทีที่อาการปะทุขึ้น เขาได้แต่นอนขดตัวชักกระตุกไปมา พร้อมความทรมานอยู่แบบนั้นไปครู่ใหญ่
…………………………………