Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1435 ยักษ์หินโลกันตร์
หวีด
แสงคมดาบพุ่งทะลวงตัดฟ้าดิน พิฆาตอสูรปีศาจโลกันตร์ขาดครึ่งท่อน บูมมม!
ในเวลาเดียวกันพลันได้ยินเสียงกระแทกดังปัง ร่างเย่หยวนถูกสงบินออกไปโดยตรง
“พร๊วดดด!”
เย่หยวนกระอักเลือดสดคำโต แต่ไม่ช้าแช่มรอเร่งปรับตำแหน่งการยืนทันทีกลางอากาศ ก่อนจะกลับเข้ากลุ่มขบวนป้องกัน กลางเวหาสูง เย่หยวนปลดปล่อยคมดาบออกไปหลายสิบเล่มเพื่อตัดทะลวงอสูรปีศาจเหล่านั้น
“ท่านอาจารย์เย่!”
ดวงตาของไป๋เฉินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขณะตะโกนร้องเรียกลั่น หาใช่เพราะเย่หยวนช่วยสกัดเอาไว้ทันท่วงที เกรงกว่าไป๋เฉินต้องตายไปแล้วแน่นอน
“ข้าสบายดี! เจ้าพวกนี้เร็วเกินไป ระวังตัว!” เย่หยวนกล่าวเสียงเคร่งขรึม
เย่หยวนรู้สึกดังว่า เลือดภายในร่างกายกำลังเดือดปะทุขึ้นมา ยามนี้พลังปราณภายในกายชักพาสู่สถานการณ์โกลาหล โชคยังดีที่ร่างกายเนื้อของเขาได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก และวรยุทธบ่มเพาะกายเนื้อยังเป็นเคล็ดสมบัติศักดิ์สิทธิ์กายาเต่าดำ ดังนั้นพลังป้องการจึงสูงลิบลิวประดุจปราการเหล็กกล้าชั้นหนา ผลกระทบเพียงครั้งเดียวไม่สามารถสร้างความเสียหายขั้นร้ายแรงให้แก่เย่หยวนได้เลย
ไป๋เฉินขบกรามแน่น มากอารมณ์เอาแต่ตำหนิตนเองไปมา
“ใครบอกกันว่าผู้รุกรานต่างแดนล้วนเลวทรามต่ำช้ากัน?! ท่านอาจารย์ของข้าให้ความสำคัญในมิตรภาพยิ่งกว่าชีวิตของตนเสียอีก! เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่า ท่านอาจารย์เย่คุณธรรมสูงส่งกว่าคนของแดนนภาบรรพตไม่รู้กี่เท่า! ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง! ข้าอ่อนแอเกินไป! ข้าอยากจะแข็งแกร่งกว่านี! ข้าไม่อยากเป็นภาระของท่านอาจารย์อีกแล้ว!”
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของไป๋เฉินชุกโชนพุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย
“ฆ่า!”
ทวนยาวของไป๋เฉินแกร่งกล้าเปี่ยมพลังอย่างไรที่ติ พร้อมทะลวงโจจมตีฝ่าด้านหน้าไม่มีปรานี ในกรณีนี้ คล้ายว่าไป๋เฉินได้บรรลุรู้แจ้งอะไรบางอย่างภายในใจ เพราะแต่เดิมเขาไม่สามารถไล่กวดอสูรปีศาจโลกันตร์ได้เลย ทว่ายามนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง!
ปลายทวนควงสะบัด ชักช้าแปรควงทะลวงเจาะด้วยความเร็วเต็มสูบ
บูมมม!
กระบวนทวนเข้าพิฆาตอสูรปีศาจโลกันตร์ดับไม่เหลือ!
มือของเย่หยวนหยุดตัวทวนเล็กน้อยก่อนจะเหวียงไปโดนคนอื่นเป็นลูกหลง เย่หยวนคลี่ยิ้มกว้างชื่นชมในตัวอีกฝ่าย
“ฮ่าๆ ในที่สุดข้าก็ทำได้!” ไป๋เฉินโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
“ทำได้ดีมาก แต่ควรต้องระวังอีกนิด!” เย่หยวนกล่าวเตือน
สีหน้าไป๋เฉินผันเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นหลายสวน เขาพยักหน้ารับทราบและร่ายเพลงทวนอีกกระบวนใหญ่ออกไปอีกครั้ง! ในพริบตาต่อมา พวกอสูรปีศาจนับร้อยตัวถูกซัดกระเด็นออกไปทั้งหมด บนกำแพงชั้นหินหนืดปรากฏเป็นร่องรอยหลุมมากมายโดยทั่ว
เย่หยวนเพียงคนเดียวสามารถกวาดล้างอสูรปีศาจเหล่านี้ไปได้กว่าครึ่ง มิฉะนั้นพรรคพวกของเขาคงได้รับบาดเจ็บหนักจากศึกนี้เป็นแน่
ไป๋เฉินรุกขึ้นหน้าตรงมาหาเย่หยวนพร้อมท่าทีเชิงต้องการตำหนิตนเอง เขากล่าวว่า “ท่านอาจารย์เย่ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง! ที่ทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บเช่นนี้!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว! อสูรปีศาจโลกันตร์เหล่านี้หาใช่สิ่งที่เจ้าสามารถต่อกรได้เลยด้วยซ้ำในตอนนี้ แต่เจ้าแสดงให้เห็นแล้วว่า ในที่สุดเพลงทวนของเจ้าก็พัฒนาขึ้นมาก! ยินดีด้วย!”
ด้วยความแกร่งกล้าของไป๋เฉิน สกัดกั้นทำลายจังหวะของพวกมันพร้อมกันหนึ่งถึงสองตัวยังพอทำเนา แต่ระดับพลังความแกร่งกล้าของพวกมันบางตัว ทรงพลังเกือบถึงอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้า แล้วนี่จะเป็นสิ่งที่เขาสามารถจัดการตามลำพังได้อย่างไร? ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ไป๋เฉินผึกปรือเพลงทวนอย่างหนัก เพื่อปรารถนาที่จะไต่ไปให้ถึงขอบเขตความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับเย่หยวนที่แสดงให้ดูในคราวนั้น ทั้งหมดนี้เขาย่อมอยากให้เย่หยวนได้เห็นกับตาสักครั้งโดยธรรมชาติ และในที่สุดนี้ เพลงทวนของเขาก็ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้พลังต่อสู้ของไป๋เฉินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
“หุหุ เพลงดาบของผู้อาวุโสสูงสุดเย่หยวนช่างน่าประทับใจเสียจริง! การเผชิญหน้ากับพวกอสูรปีศาจโลกันตร์นับร้อยตัวเช่นนี้โดยมิให้ใครตายลงได้ นับว่าน่าทึ่งยิงนัก!”
ในเวลานั้นเอง กลุ่มคนอื่นๆก็ร่อนลงมาจากท้องเวหาสู่พื้นดิน ซึ่งเป็นฮั่นเทียนหยานคนแรกทีเอ่ยปากกล่าวเสียดสีทันที
เย่หยวนทราบดีว่าพวกเขามาถึงนานแล้ว แต่ก็ยังเฝ้าดูอยู่บนฟ้าอย่างเฉยเมย โดยไม่คิดยื่นมือมาช่วยเหลือใดๆ เลย เป็นไปได้ว่า คนพวกนี้ต้องการจะให้ฝ่ายวังเทวะรัตติกาลฉายประสบความสูญเสียและได้รับบาดเจ็บสาหัส
ภาพฉากที่ไป๋เฉินพลาดท่าจนเกือบถูกอสูรปีศาจโลกันตร์ฆ่าตาย ฮั่นเทียนหยางเองก็เฝ้ามองอยู่จากที่สูงด้วยความตื้นเต้นลุ้นระทึกยิ่ง
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือ แท้จริงแล้วเย่หยวนยังคงสามารถรักษาเสถียรภาพความแข็งแกร่งของตนได้ ถึงขั้นแบ่งเวลามาช่วยชีวิตไป๋เฉินได้อย่างทันท่วงที ขณะเดียวกัน แม้คำกล่าวนี้จะเต็มไปด้วยถ้อยคำเสียดสี แต่มันก็ยังสื่อเป็นคำชื่นชมได้อยู่
เย่หยวนเพียงยิ้มบางส่วนเป็นคำตอบ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “ต้องขออภัยด้วยที่จำต้องทำให้เจ้าผิดหวัง อุปสรรคแค่นี้ เย่คนนี้ยังสามารถแก้ไขสถานการณ์ไม่ยากเกินมือ เพียงว่าเส้นทางนี้ท่านผู้อาวุโสระดับสูงน่าจะมีการตรวจสอบมาก่อนหน้าแล้ว แต่ไฉนถึงปิดปากเงียบ ไม่คิดจะกล่าวอันใดหน่อยรึ ท่านผู้อาวุโสระดับสูง?”
เย่หยวนเหลือบตามองต้วนเฟยเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มประดับกว้าง ส่วนต้วยเฟยเอ่ยตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ผู้อาวุโสเย่มีฝีมือเยี่ยมยุทธ์ หากคราวนี้ไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน หวังว่าในอนาคตเราจะได้ทำงานร่วมกัน!”
วาจาคำกล่าวของต้วนเฟยทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
ที่แห่งนี้มีล้วนเต็มไปด้วยเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าหลายสิบคน แต่ในหมู่พวกเขาทั้งหมด ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยปากกล่าวเลยว่า ตนจะสามารถขึ้นกลายเป็นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าได้สักคน การทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้ามันยากเกินจินตนาการนัก!
ดังนั้นวาจาของต้วนเฟยที่กล่าวประเมินเย่หยวนออกไป จึงกล่าวได้ว่า มิใช่ต่ำเตี้ยแต่อย่างใด ทว่ากลับสูงลิบลิ่ว!ทุกคนในที่นี้ต่างหัวไวเฉลียวฉลาด ย่อมทราบดีถึงนัยยะในคำกล่าวเหล่านี้
เย่หยวนเพียงยิ้มและกล่าวว่า “เย่คนนี้คงไม่โชคดีขนาดนั้น! บางทีอาจตายอยู่ที่นี่!”
สีหน้าการแสดงออกของทุกคนแปรเปลี่ยนไปในทันที ช่างกล้าตีฝีปากขนาดนี้ ความฮึกเหิมของเย่หยวนน่ากลัวโดยแท้ ความหมายในคำกล่าวของเย่หยวนย่อมชัดเจนเป็นธรรมชาติ หนึ่งไม่ประชดแช่งตัวเอง ก็หมายความว่า ต้วนเฟยอาจตายลงก่อนในที่แห่งนี้ จึงไม่มีบุญวาสนาได้ร่วมงานกันในอนาคต!
ระหว่างวาจาคำกล่าวของทั้งสอง เหล่าผู้คนอื่นๆชักจจะได้กลิ่นจิตสังหารออกมาอ่อนๆ
สีหน้าการแสดงออกของต้วนเฟยมืดขรึมลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเย็นชืดว่า “ผู้อาวุโสเย่ เชิญไปก่อน!”
เย่หยวนเอ่ยปากกล่าวอย่างไม่แยแส “ไป!”
เย่หยวนยังคงเป็นผู้นำ พร้อมนำทางพาเหล่าสมาชิกของวังเทวะรัตติกาลฉายมุ่งหน้าไปต่อในฐานะตัวตายตัวแทนของคนอื่นๆ เบื้องหน้าทุกคนในขณะนี้ปรากฏเป็นสะพานหินกว้าง สองข้างทางภายใต้สะพานแห่งนี้เป็นบ่อหินหนืดขนาดใหญ่อันร้อนระอุ
เย่หยวนสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายจากบ่อหินหนืดสองข้างทางได้อย่างชัดแจ้ง ก่อนย่างเท้าก้าวลงบนสะพานหินตรงหน้าอย่างระมัดระวัง เย่หยวนเข้าใจได้ทันทีว่า ความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งเปลวไฟของจักรพรรดิเทพสวรรค์ผู้สร้างดินแดนนภาบรรพต จะต้องลึกซึ้งเป็นอย่างที่สุด
ลืมไปเลยสำหรับเซียนอาณาจักรพระเจ้าในสามระดับชั้นแรก ต่อให้เป็นยอดเซียนราชันพระเจ้าเองก็ไม่สามารถต้านทานความร้อนนี้ได้เช่นกัน หากจมลงไป
“ดูนั้นเร็ว! ทรายม่วงทอง! นั้นยังเป็นทรายม่วงทองก้อนใหญ่มาก!” ไป๋เฉินตะโกนเอ่ยลั่นออกไปทันที
ดวงตาคู่นั้นของต้วนเฟยแพรวสว่างระยิบระยับทันใด ก่อนจะเห็นว่าปลายสะพานหินมีก้อนหินทรายขนาดมหึมาฝังติดอยู่บนนั้น ขนาดของมันใหญ่เท่ากับคนสามคนช่วยกันโอบกอดได้ ก้อนทรายม่วงทองขนาดเท่านี้ อาจกล่าวได้ว่ามีมูลค่าสูงกว่าเมืองหลายเมืองรวมกันเสียอีก แต่สีหน้าการแสดงออกของทุกคนกลับมิได้มีความสุขนัก เนื่องจากตามกฎของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทรายม่วงทองเป็นหนึ่งในวัตถุดิบต้องห้าม ซึ่งทั้งหมดต้องตกเป็นของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ “ประมุขวังไป๋เฉิน ไปถอนทรายม่วงทองเหล่านี้ออกมา ถึงเวลาที่วังเทวะรัตติกาลฉายต้องแสดงความภักดีออกมาแล้ว!” ต้วนเฟยหันไปกล่าวกับไป๋เฉินด้วยวาจาแสนเฉยเมย
ไป๋เฉินโมโหจัดแทบระเบิดออกมา เขาหันไปจ้องต้วนเฟยเขม็งและกล่าวว่า “ที่ใดมีทรายม่วงทองปรากฏอยู่ ที่นั่นย่อมมียักษ์หินโลกันตร์อยู่! หากผู้อาวุโสระดับสูงต้องการให้พวกเราตายนัก ไฉนถึงไม่กล่าวกันตรงๆ!?”
ต้วนเฟยยิ้มและกล่าวว่า “ความหมายของประมุขวังไป๋เฉินคือ วังเทวะรัตติกาลฉายคิดจะต่อต้านวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์?”
สีหน้าท่าทีของไป๋เฉินยิ่งทวีความโกรธจัด ต้วนเฟยคนนี้กำลังบีบให้วังเทวะรัตติกาลฉายไปตายอย่างชัดเจน!
“เช่นนั้นข้าไปเอง เป็นคำสั่งของผู้อาวุโสระดับสูง พวกเรามิอาจคัดค้านได้!” เย่หยวนกล่าวเสียงเย็นชืด
“ท่านอาจารย์! แต่พวกยักษ์หินโลกันตร์เหล่านี้สุดจะแกร่งกร้าวยิงนัก ทั้งยังมีทั่วสารทิศ พวกมันมิใช่ศัตรูที่ท่านจะปราบปรามได้ ขุมพลังพวกมันสูงถึงอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าชั้นกลาง!”
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ผ่อนคลายเถิด ง่ายดายนัก”
เมื่อกล่าวจบ คู่เท้าเย่หยวนกระตุกวูบทะยานหายไป ก่อนจะปราดถึงบริเวณที่มีทรายม่วงทองอยู่ในพริบตา
ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!
เย่หยวนปลดปล่อยคมดาบออกมาหลายหลาก พร้อมตัดทรายม่วงทองออกมาโดยตรง
ตึ้ง!
ตึ้ง!
ตึ้ง!
เป็นไปตามคาด เหล่ายักษ์หินโลกันตร์ต่างปรากฏตัวออกมาต่อหน้าทุกคน ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยเปลวไฟสุดน่าสะพรึงขวัญนัก
รอยยิ้มแสยะเย็นฉีกกว้างบนมุมปากของต้วนเฟย แต่ในไม่ช้า จู่ๆรอยยิ้มนั้นจำต้องแข็งค้างไปโดยพลัน!
…………………………………