Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1460 ประเมินสูงไป
ในดินแดนทุรกันดารกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด ร่างทั้งสามกำลังทะยานพุ่งพร้อมสุดขีดแห่งความเร็ว
รัศมีกลิ่นอายของทั้งสามช่างไพศาลองอาจนัก อสูรที่อยู่โดยรอบต่างโห่ร้องกังวลลั่น
“ไอ้บัดซบน้อยนั้นตายยากตายเย็นโดยแท้! กระทั่งยามนี้ยังสามารถรอดชีวิตออกไปได้!”
ฉินจ้าวหยุนกัดฟันแน่นเอ่ยเกลียดชังสุดหัวใจ พลางเอ่ยกล่าวขึ้น
พวกฉินจ้าวหยุนทั้งสามไล่ล่าไล่ตามทุกหนทาง ในที่สุดกลับไม่สามารถติดตามอีกฝ่ายได้ทัน เช่นนั้นทั้งสามจึงร่อนลงพื้นอย่างน่าเจ็บใจ
พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เซียวเฟิงจะเลื่อนระดับชั้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วจริงๆ
เรื่องที่ไม่คาดคิดมากกว่านั้นคือ เซียวเฟิงใจเด็ดเดี่ยว ตัดสินจากถอนกิจการของหอมหาสมบัติออกจากเมืองหลวงหวูเมิ่งออกไป นี่นับเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดนัก และทั้งหมดทำไปก็เพื่อปกป้องเย่หยวนเพียงคนเดียว
ระหว่างทางฉินจ้าวหยุนกระทืบเท้าหนักด้วยความโกรธเกรี้ยว ทว่ากลับทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
“แต่มันคงลืมไปว่า เรายังสามารถติดตามตำแหน่งของเย่หยวนได้จากป้ายตราสถานศึกษา การกระทำของเซียวเฟิงนับว่าไร้ประโยชน์!”
จ่าวอี้เอ่ยกล่าวเสียงเคร่งขรึม
ได้ฟังเช่นนั้นจากความโกรธเกรี้ยวพลันแปรเปลี่ยนดูสุขใจขึ้นทันที ฉินจ้าวหยุนกล่าวว่า
“เหอะ พวกเราทั้งสามต่างเป็นยอดเซียนอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้น ขอดูหน่อยว่า เพียงเจ้าหนูอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าคนเดียว จะทำให้พวกเราขายหน้าได้แค่ไหนกัน!? แต่เซียวเฟิงกลับมิทราบว่า แค่นี้กลับไม่เพียงพอให้เย่หยวนหลุดมือพวกเรา!”
ความสามารถของเซียวเฟิงในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะส่งเย่หยวนออกนอกอาณาเขตของเมืองหลวงหวูเมิ่ง
ในเวลานี้ทั่วทั้งอาณาเขตของเมืองหวู่เมิ่งได้ป่าวประกาศรู้เห็นเป็นทางเดียว เย่หยวนจะสามารถหลบหนีออกจากรัศมีเขตแดนของเมืองหลวงหวูเมิ่งได้อย่างไร?
หากเย่หยวนต้องการหลบหนีให้รอดพ้นสายตา เขาไม่สามารถใช้ดาบขี่เหาะทะยานไปได้ วิธีนี้มันโจ่งแจ้งเกินไป
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“ข้าไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า เซียวเฟิงจะนำหน้าพวกเราไปอีกขั้นแล้ว สามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้แล้วจริงๆ! ทั้งๆที่ก่อนหน้า เขายังไม่ขึ้นแตะขอบเขตอาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งขั้นเสียด้วยซ้ำ! เย่หยวนหยิบใช้วิธีการใดกันแน่ ถึงทำให้เขาทะลวงขึ้นไปได้ในอึดใจเดียว?”
ประโยคนี้ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อจิตใจของอีกสองคนอย่างมาก
พวกเขาติดอยู่ในขอบเขตพลังนี้มาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้ว
ห่างออกไปเพียงครึ่งก้าว กลับห่างไกลดังฟ้าดินสุดขอบฟ้า และมิอาจข้ามผ่านได้ตลอดกาล
อย่างไรก็ตามแต่ เซียวเฟิงที่อยู่รั้งท้ายมาโดยตลอด ทว่ายามนี้กลับเป็นคนแรกในบรรดาพวกเขาที่ผงาดขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ในอึดใจเดียว เรื่องเช่นนี้จะให้พวกเขายอมรับโดยง่ายได้อย่างไร?
ฉินจ้าวหยุนกัดฟันกรอดกล่าวว่า
“คิดมากไปให้ได้อันใด? ตราบใดที่จับเจ้าเด็กนั้นได้ เช่นนั้นมิอาจง้างปากให้มันคลายความลับออกมาได้?”
แน่นอน วาจาคำกล่าวนี้ของฉินจ้าวหยุนทำเอาดวงตาของทั้งสองเปล่งประกายขึ้นทันที
“พี่ฉินกล่าวถูกต้อง รากฐานพลังของพวกเราดีกว่าของเซียวเฟิงมาก ตราบใดที่เจ้าเด็กนั้นยอมคายความลับออกมา พวกเราย่อมสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้อย่างไม่ยากเย็น!”
จ่าวอี้ดูตื่นอกตื่นเต้นขึ้นทันที
ฉินจ่าวหยุนยิ้มและกล่าว่วา
“เช่นนั้นยังรออันใดอยู่อีก? เจ้าเด็กนั้นอยู่ต่อหน้าเราแล้วมิใช่รึตอนนี้? มันกำลังเดินทางไปยังเมืองอีกาฉาย หากปล่อยให้มันหนีออกจากเมืองอีกาฉายไปได้ พวกเราจำต้องลำบากมากขึ้นเพื่อตามล่าตัวมันมา”
ทั้งสองเปล่งเสียงขานตอบในทันทีและสำแดงใช้วรยุทธเคลื่อนที่ ไล่ล่าทะยานติดตามต่อทันที
เมืองอีกาฉายเป็นเขตเมืองที่ติดกับพรมแดนระหว่างเมืองหลวงหวูเมิงกับอีกเมืองหลวงหนึ่ง หากเย่หยวนสามารถหนีออกไปจากที่นั้นได้ เขาจะเดินทางเข้าไปสู่อาณาเขตของเมืองหลวงอีกแห่งได้ทันที
แม้เมืองหลวงแห่งนี้จะเป็นเขตปกครองของจักรพรรดิเทพสวรรค์คนเดียวกัน ทว่าแต่ละเมืองหลวงกลับปกครองกันแบบตัดขาด ไม่เข้ารบกวนเกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย
…
สามวันต่อมา ณ เขตชายแดนของเมืองอีกาฉาย กลุ่มคนหลายร่างกำลังพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงสุด
ในขณะที่กลุ่มร่างเหล่านี้เข้าปิดล้อมอีกหนึ่งที่กำลังพุ่งทะยานหนีสุดชีวิต
ฉินจ้าวหยุนยามนี้พินิจท่าทีเย็นชาสุด เขากล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะลั่นว่า
“น่าเสียดายจริงๆ! อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น! แม้จะติดปัญหาเล็กน้อย แต่เราก็จับเจ้าได้ทุกครั้งไป ไฉนเจ้าไม่แปลกใจหน่อยรึ?”
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกล่าวว่า
“เย่หยวน คำสั่งของท่านเจ้าเมืองยากจะขัดขืน กลับไปกับพวกเราเถอะ”
แต่แววตาของจ่าวอี้จับจ้องเย่หยวนราวกับกำลังถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งความโลภ
“เจ้าหนู ส่งมอบวิธีในการทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าแล้ว แล้วพวกเราจะช่วยเจ้าออกจากหายนะครั้งนี้เอง!”
เย่หยวนปราศจากสีหน้าสุขใจหรือเศร้าสร้อย เขาถูกทั้งสามดักล้อมไว้โดยตนเองอยู่ ณ ใจกลาง ทว่าท่าทางการแสดงออกยังคงสงบนิ่ง มิได้สิ้นหวังอย่างที่ทั้งสามจินตนาการไว้
เย่หยวนช้อนสายตามองฉินจ้าวหยุน ก่อนถ่มน้ำลายคำหนึ่งและกล่าวว่า
“กลับโง่กันทั้งตระกูล! โง่โดยแท้! ด้วยกลอุบายเด็กน้อยของเจ้า คิดหรือว่าจะจับตัวท่านปู่เย่คนนี้ได้?”
สีหน้าของฉินจ้าวหยุนพลันมืดทมิฬลงฉับพลัน ขณะเตรียมปราดพุ่งเข้าจับตัว ทว่ากลับเห็นเย่หยวนเดาะป้ายตราสถานศึกษาในมือเล่นอย่างสบายอารมณ์
เย่หยวนมองฉินจ้าวหยุนด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้มและกล่าวว่า
“เจ้าสุนัขแก่ คงพอใจกับแผนการตัวเองนักใช่ไหมว่า ท่านปู่เย่คนนี้คงไม่มีทางหนีรอดพ้นมือเจ้าไปได้? หวังพึ่งแค่ของเด็กเล่นชิ้นนี้ชิ้นเดียว?”
ฉินจ้าวหยุนใจหายวาบดิ่งลึกถึงตาตุ่ม ทันทีทันใดพลันรู้สึกได้ว่าทั้งสามกลับถูกเย่หยวนต้นเสียจนเปลือย!
“นี่…หรือนี่คือร่างปลอม?”
จ่าวอี้หน้าเสียเอ่ยกล่าวอย่างเศร้าหมอง
เหวินอี้หยางถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางกล่าวว่า
“เราทุกคนประเมินเขาต่ำเกินไป!”
เย่หยวนหัวร่อครืนเสียงลือลั่น เหลียวจับจ้องฉินจ้าวหยุนด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า
“เจ้าสุนัขแก่ เตรียมใจรอข้าได้เลย! เมื่อใดที่ข้า เย่หยวนผู้นี้หวนกลับมาอีกครั้ง นั่นจะเป็นวันที่พวกเจ้าตระกูลฉินถูกกำจัดออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์! เจ้าฝากไปบอกฉินเซียวด้วยว่า จงดูแลตัวเองให้ดี ท่านปู่เย่ผู้นี้จะกลับมาสะสางบัญชีแน่นอนในไม่ช้า!”
เมื่อกล่าวจบร่างของเย่หยวนก็ระเบิดกลายเป็นสะเก็ดเพลิงทันที
กริ๊ง!
ป้ายตราสถานศึกษาตกลงกระแทกพื้นเกิดเป็นเสียงแหลมสูง
ฉินจ้าวหยุนกัดฟันกรอดด้วยความโกรธจัดจนใบหน้าสั่นคลอน ควันพิโรธแทบพวยพุ่งออกจากทวารทั้งเจ็ด
พวกเขาทั้งสามไล่ล่ากันเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ทว่ากลับไม่คิดไม่ฝันที่ไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตายกลับเป็นแค่ร่างปลอม!
“เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์นัก!”
จ่าวอี้กัดฟันแน่นด้วยความโกรธจัด
ในขั้นต้นนี้ พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยวิธีเพื่อทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าใครจะไปคิดที่พวกเขาลงแรงพยายามไปกว่าหนึ่งเดือนเต็ม สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี
…
ณ เขตชายแดนอีกแห่งของเมืองหลวงหวูเมิ่ง เย่หยวนกำลังรักษาบาดแผลของตนภายในถ้ำ ทันทีทันใดมุมปากพลันกระตุกยิ้มเยียดขึ้น
เย่หยวนเจนจัดมากประสบการณ์เรื่องหนีตายมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง? คิดหรือว่าเขาจะมาพลาดท่าง่ายๆเช่นนี้?
แม้สถานศึกษาหวูเมิ่งจะไม่เคยป่าวประกาศมาก่อน แต่เย่หยวนจะนำของศัตรูพกติดตัวอยู่ตลอดได้อย่างไร?
ทันทีที่เย่หยวนถูกเซียวเฟิงใช้พลังปฐพีโยกย้ายร่างของเขาออกไป เขาก็แบ่งจิตพลังปราณสร้างร่างปลอมขึ้นโดยใช้เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาว พร้อมนำตราสถานศึกษาให้และหนีออกไปอีกทาง
ตัวปลอมไปทางหนึ่ง ในขณะที่เย่หยวนตัวจริงไปอีกทางหนึ่ง
เนื่องจากภูตเพลิงให้กำเนิดกายวิญญาณดั่งเดิมขึ้นมาได้ ดังนั้นเย่หยวนจึงไม่สามารถพาเขาฝ่าห้วงอวกาศออกมาได้
แต่เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวที่เป็นขุมพลังดั้งเดิมยังคงอยู่ในร่างเย่หยวนตั้งแต่แรกแล้ว
เขาจึงสามารถนำติดตัวออกมาได้
ตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งร้อยปี เพลิงบัวฟ้าขจัดจันทร์ขาวเองก็พัฒนาขึ้นสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับระดับความก้าวหน้าของเย่หยวน มันยับคงเชื่องช้ากว่ามาก
ระหว่างทางมานี้ เย่หยวนระมัดระวังตัวเองสุดขีด และพยายามไม่เปิดเผยกลิ่นอายพลังทวนทิ้งเป็นร่องรอย พร้อมแอบซุ่มตามจุดต่างๆ ตามเหลือบซอกของเขตชายแดน
ศึกสัประยุทธ์ครั้งใหญ่ก่อนหน้า ทำให้เย่หยวนบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์อย่างมาก
นอกจากนี้ ยิ่งเดินที่เย่หยวนต้องหลบหนีอยู่ตลอด มันยิ่งไปกระตุ้นอาการบาดเจ็บจนกำเริบหนักเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อไม่นานมานี้เขากลับค้นพบถ้ำแห่งหนึ่ง เขาจึงหนีเข้ามาหลบภัยเพื่อรักษาบาดแผลของเขาให้ดีขึ้นเสียก่อน
ทันใดนั้นเอง เย่หยวนพลันถอนหายใจเสียวยาวกล่าวขึ้นว่า
“คราวนี้ข้าคิดว่าตนเองคงไม่รอดแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพี่เซียวจะสำเร็จอาณาจักรราชันพระเจ้าได้ทันท่วงที และออกมาช่วยข้าไว้”
ในขณะเดียวกัน ร่างของหวูเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นมา
“แท้ที่จริงแล้ว กลับเป็นเจ้าที่ช่วยเหลือตนเองเอาไว้ ที่เขาสามารถทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้ เป็นเพราะความช่วยเหลือของเข้าครั้นอดีต บางทีนี้อาจเป็นลิขิตสวรรค์!”
เย่หยวนยิ้มขื่นกล่าวว่า
“ตอนนั้นข้ารู้สึกพูดคุยถูกปากกับเขาเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นประโยชน์ครั้งมหาศาลเช่นนี้ เฮ้ออ…แม่นางหวางหรู นางคงผิดหวังมิใช่น้อยเมื่อได้ทราบข่าวนี้ เจ้าท้วม ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขาจนกว่าข้าจะกลับไป เมืองหลวงหวูเมิงไม่มีที่ให้ข้าพักพิงอีกต่อไป เช่นนั้นข้าควรไปที่ไหนต่อดี?”
หวูเฉินกล่าวว่า
“เจ้าไม่สามารถดำรงอยู่ในอาณาเขตของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ได้อีกต่อไป ด้วยความแกร่งกล้าระดับชั้นอาณาจักรราชันพระเจ้า เมื่อใดที่ฉินเซียวรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ เพียงยกฝ่ามือขึ้นมันก็สามารถฆ่าเจ้าได้แล้ว ทางที่ดีควรหนีออกไปให้ไกลที่สุด”
……………………………………………………….