Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1470 สาหัสหนัก
“ไอ้พวกสุนัขปีศาจ! จัดการฆ่าพวกมันให้หมด!”
“สู้! สู้กับพวกมัน!”
ทัพปีศาจมีจำนวนมากเกินไป แม้จะถูกปราบปรามลงด้วยธนูและหน้าไม้ยักษ์อันทรงอานุภาพไปแล้ว ทว่าทหารเผ่าปีศาจก็ยังคืบคลานปีนขึ้นมายังกำแพงเมืองได้อย่างรวดเร็วมากเช่นกัน
คล้อยหลังจากนั้นเป็นการสัประยุทธ์ระยะประชิด!
เมื่อพวกมันไม่สามารถป้องกันคลื่นระลอกแรกที่ถาโถมเข้ามาได้ไหว แนวป้องกันเบื้องหน้าจึงพังทลายลงทันที
“พร๊วดดด!”
ทหารฝ่ายมนุษย์เข้าสะบั้นเฉือนหัวหน้าปีศาจ พร้อมตะโกนสวนตอบน้ำเสียงบ้าคลั่งยิ่งว่า
“ไฉนไอ้พวกสุนัขปีศาจตัวนี้ถึงอ่อนแอนัก?”
“ด้านข้าด้วย!”
“ช่างอ่อนแอจริงๆ! แค่ลงมือสับครั้งเดียวก็เสร็จแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ อ่อนแอเหลือเกิน! ข้าละสะใจยิ่งนัก!”
…
บนกำแพงเมือง ปรากฏสุ้มเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจสุดขีด ยามนี้ทหารฝ่ายมนุษย์เริ่มมีกำลังใจฮึดสู้ราวกับถูกฉีดกระตุ้น
เมื่อหวังอี้เฟินเห็นปีศาจเหล่านี้ปีนขึ้นมาถึงกำแพงเมืองไวมาก สีหน้าการแสดงออกของเขาพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน
แต่เขากลับไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า ปีศาจพวกนี้ที่ปีนขึ้นมาจะอ่อนแอขนาดนี้ได้
หวังอี้เฟินลอบถอนหายใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอก เมืองทางใต้สถานการณ์เป็นอย่างไรกลับหาเป็นประจักษ์ ตอนนี้มีแต่จำต้องพึ่งคนเหล่านี้เพื่อปกป้องเมืองทางเหนือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ยามนี้ทัพเผ่าปีศาจอยู่ ณ ที่แห่งนี้ คนที่เขาส่งไปยังเมืองคังติงเพื่อขอกำลังเสริมล้วนถูกกำจัดทิ้งไปหมดแล้ว
ณ ปัจจุบัน เมืองแห่งนี้กลายมาเป็นเกาะร้างกลางสมุทรอันโดดเดี่ยวไปแล้ว!
ในทีแรกยามเห็นทหารปีศาจของตนปีนขึ้นบนกำแพงเมืองได้ ซิ่วเหล่ยพลันดีอกดีใจอย่างมาก
แต่ในไม่ช้า รอยยิ้มนั้นพลันจางหายลงไปทันที แปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อค้างเติ่งอยู่อบบนั้น เนื่องด้วยกลุ่มที่บุกขึ้นกำแพงเมืองเป็นระลอกแรกถูกกำจัดลงโดยสิ้นอย่างง่ายดายนัก
มันมิอาจเข้าใจได้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ชัยอยู่กลางสายตาเพียงเอื้อมมือ ทว่าในเสี้ยวพริบตาเดียวกลับสูญสลายหายเป็นควัน
คลื่นผลกระทบเช่นน้าทำให้พวกมันประสบความสูญเสียไปนับหลายพันนาย ดั่งว่าหัวใจของซิ่งเหล่ยถูกคมมีดกรีดจนเลือดสดหลั่งไหลออกมา
ตัวมันในยามนี้ปราศจากกำลังเสริมเข้ามาเพิ่มเติม ยิ่งตายจำนวนยิ่งลดลงอย่างรวดเร็ว!
“บุกประชิดอีกรอบ! โค่นล้มพวกมันในหนึ่งระลอกใหญ่พร้อมกัน! พลหอกอสูรมังกรเตรียมยิงระลอกสอง!”
ซิ่วเหล่ยคำรามสั่งการอีกครั้ง
เหล่าปีศาจจำนวนมากรีบไต่ขึ้นกำแพงเมืองอีกครั้งทันที พวกมันเร่งความเร็วเป็นทวีเท่า ทว่านั้นกลับยิ่งทำให้พวกมันถูกกำจัดง่ายยิ่งกว่าเดิม!
เมื่อพวกมันขึ้นถึงบนสุดของกำแพงเมือง ปีศาจเหล่านั้นกลับถูกเฉือนทิ้งทันทีอย่างง่ายดายประดุจคมมีดร้อนจัดตัดเนยก้อน แต่นี่ราวกับว่าปีศาจทุกตนสูญเสียพละกำลังอย่างที่ควรจะเป็นลง
บูมมม!
ซิ่วเหล่ยยกฝ่ามือซัดพาออกไป เข้าจำกัดทหารปีศาจกลุ่มหนึ่งที่ขี้ขลาดหนีกลับออกมา
เหล่าทหารปีศาจที่เหลือเห็นดังลั่นพลันจับจ้องอย่างว่างเปล่าชั่วขณะ พวกมันยามนี้ทำได้เพียงเหลียวหลังกลับ และวิ่งไปทางกำแพงเมืองเพื่อปีนไต่บุกเข้าประชิดต่อ
“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเราไม่สามารถตรึงกำลังรั้งไว้ได้อีกต่อไป!”
ผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งเร่งรุดเข้ามารายงานกับซิ่วเหล่ยท่าทีตื่นตระหนกยิ่ง
คู่คิ้วของซิ่วเหว่ยขมวดเข้ม ใบหน้าเปี่ยมล้นความเศร้าโศกเกินพรรณนา
“เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่?”
ผู้ใต้บัญชากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงขมขื่นยิ่งว่า
“ทั้งหมดเป็นเพราะ ผงวิญญาณเนตรเขียว!”
ทันทีที่ซิ่วเหล่ยได้ยินเช่นนั้น สีหน้าการแสดงออกของมันพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก มันตะโกนลั่นน้ำเสียงเดือดดุก้องว่า
“ถอนทัพ! เร่งถอยทัพเดี๋ยวนี้!”
เหล่าทหารปีศาจดูคล้อยเร่งรีบลาถอยออกมาโดยไว ทันทีที่ได้ยินคำสั่งการของซิ่วเหล่ย พวกมันก็หมุนตัวกลับ วิ่งหนีกลับไปทันที
ภาพฉากในยามนี้เสมือนกับเหล่าสุนัขที่กำลังวิ่งหางจุกตูดกลับโดยไว
“ฮ่าๆ หนีวิ่งไปเลยไอ้พวกสุนัขทั้งหลาย!”
“เมื่อครู่ยังทำเป็นเก่งอยู่เลยมิใช่รึ? รีบๆปีนขึ้นมา! ท่านปู่ผู้นี้กำลังรอพวกเจ้าอยู่!”
“ไอ้พวกสุนัขขี้ขลาด! ไปไหนกันหมดแล้ว! ไม่อวดดีดั่งก่อนหน้าแล้วรึ?”
…
ด้านบนกำแพงเมือง เหล่าทหารฝ่ายมนุษย์ต่างดีอกดีใจกันยกใหญ่ และเริ่มตะโกนเย้ยเยาะไล่หลังพวกมันอย่างสนุกสนาน
คลื่นกำลังร่นถอยออกห่าง พวกปีศาจถอยทัพออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก ระหว่างนั้นมีพวกมันกว่าห้าถึงหกพันนายที่ถูกสังหารทิ้งไป ยามเห็นเป็นเช่นนั้น พวกเขาแต่ละคนต่างโห่ร้องดีใจขึ้นมาทันทีอย่างอดมิได้
ราคาที่ฝ่ายมนุษย์ต้องนำจ่ายออกไปถือเป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะอย่างค่อนข้างมึนงงฉงนใจ แต่สิ่งเหล่านี้พวกเขาหาได้นำพาใส่ใจไม่
สีหน้าการแสดงออกของซิ่วเหล่ยดูหวาดกลัวไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันมันเอ่ยปากถามผู้ใต้บัญชาย้ำเป็นคำรบสองทันทีว่า
“เจ้าแน่ใจแล้วรึว่าเป็นผงวิญญาณเนตรเขียว?”
ผู้ใต้บัญชาตนนั้นเอ่ยตอบทันทีว่า
“ไม่ผิดแน่! ยิ่งไปกว่านั้นระดับชั้นความบริสุทธิ์ของผงวิญญาณเนตรเขียวนั้นสูงมาก ข้าที่สูดดมเข้าไปเล็กน้อย ยังแทบไม่สามารถระดมพลังปราณปีศาจได้!”
ซิ่วเหล่ยสูดหายใจแช่มลึกสุดขั้วปอด ยามนี้เอ่ยกล่าวด้วยความตกใจขึ้นว่า
“ฤทธิ์รุนแรงขนาดนั้นเชียว? แต่จะมีคนสร้างวิธีหลอมกลั่นผงวิญญาณเนตรเขียวในหมู่มนุษย์ได้อย่างไร?”
ผงวิญญาณเนตรเขียวนี้ไม่มีผลกระทบใดๆต่อมนุษย์ แต่สำหรับเผ่าปีศาจ โดยเฉพาะกับพวกปีศาจระดับต่ำ กลับมีผลกระทบที่รุนแรงจนน่ากลัว
เมื่อผงเหล่านี้เข้าผสมเจือปนกับสายลม มันจะไร้สีไร้กลิ่น
เผลอสูดดมเข้าไปเพียงเล็กน้อยจะไม่สามารถทำให้ปีศาจตนนั้นๆไม่สามารถระดมพลังปราณปีศาจเลย จะเป็นตายหรืออย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับความเมตตาของผู้เข้ามาพบเห็นแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ ถึงสิ่งนี้จะดูน่าเกรงขามเป็นดาวพิฆาตของบรรดาเผ่าปีศาจ ทว่ามีน้อยคนนักเช่นกันที่สามารถหลอมกลั่นผงวิญญาณเนตรเขียวนี้ได้
และในความเป็นจริง มีผู้ที่รู้จุดอ่อนข้อนี้น้อยมากเช่นกัน
มันคาดไม่ถึงเลยว่า จะมีใครบางคนที่ทราบถึงวิธีหลอมกลั่นผงวิญญาณเนตรเขียวนี้จริงๆ นี่นับเป็นข่าวที่น่าสลดใจยิ่งสำหรับพวกมัน
“ไอ้บัดซบ! มันเป็นใครกัน ไฉนศัตรูของเขาถึงมีรอบทิศขนาดนี้?”
ซิ่วเหล่ยโมโหเดือดจัดแทบเป็นบ้า ศัตรูที่มองไม่เห็นผู้นี้ทำให้มันรู้สึกไม่สบายใจอย่างที่สุด
ทีแรก มันตัดขาดเส้นทางการหลบหนีและลำเลียงกำลังเสริมของพวกมัน ต่อมายังสำแดงใช้ผงวิญญาณเนตรเขียวอีก จนปัญญานักที่จะทราบว่า บุคคลนี้ยังมีวิธีการใดหยิบใช้สำหรับรับมือพวกมันอีก!
ในตอนนี้ซิ่วเหล่ยมั่นใจว่าตนสามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้แน่นอน
ทว่ามันกลับไม่ทราบว่าอีกฝ่ายที่ว่าเป็นใครมาจากไหน!
“แม่ทัพใหญ่ พวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
ผู้ใต้บัญชาตนนั้นเองถามขึ้นทันทีอย่างหมดหนทาง
สีหน้าการแสดงออกของซิ่วเหล่ยรวนเรหลากอารมณ์ทับซ้อน ทันใดนั้นมันก็ตัดสินใจขึ้นได้และกล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“ถอยทัพกลับมารวมพล และเริ่มสั่งการโหมโจมตีในทีเดียว! ระดมพลังผสานโจมตี จงรัดเร้นพลังทั้งหมดออกมาและโจมตีใส่เป็นจุดเดียว ตราบใดที่เราสามารถทะลวงฝ่าปราการนี้ไปได้ เมืองกระแสพิรุณจักต้องถูกพวกเรายึดครองได้แน่นอน! บรรดาแม่ทัพอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าออกไปเป็นแนวหน้า!”
สีหน้าการแสดงออกของผู้ใต้บัญชาพลันแปรเปลี่ยนอย่างหนัก
“ท่านแม่ทัพใหญ่ แน่ใจหรือว่าจะสามารถเลี่ยงหลบหน้าไม้ยักษ์นั้นได้?”
ซิ่วเหล่ยเอ่ยตอบเสียงขรึมว่า
“ไม่แน่ใจนัก! แต่หากยืนนิ่งไม่ทำอะไรอยู่แบบนี้ พวกเราตายแน่นอน! ศัตรูที่เร้นแฝงซ่อนตัวอยู่ผู้นั้นน่าเกรงขามเกินไป ข้ารู้สึกว่า เจตนาอีกฝ่ายทำไปเพื่อถ่วงเวลาพวกเราอย่างชัดเจน เป็นไปได้มากว่า…กำลังเสริมของพวกมนุษย์กำลังมาถึงแล้ว!”
ผู้ใต้บัญชาคนนั้นชะงักนิ่งงันไปครู่หนึ่ง มันเอ่ยกล่าวสีหน้าแลดูหวาดกลัวยิ่งว่า
“ไม่มีทางเป็นไปได้! กลุ่มคนที่พวกเขาส่งออกไปนอกเมือง ล้วนถูกพวกเราฆ่าตายสิ้นแล้ว!”
สีหน้าการแสดงออกของซิ่วเหล่ยมืดทมิฬน่าเกลียดยิ่งนัก ขณะกล่าวตอบไปอย่างไร้หนทางไปว่า
“เราไร้ซึ่งทางเลือกอื่นใด! ยึดเมืองไม่ได้ก็เท่ากับตาย! เวลามิอาจรั้งรอ! โจมตี!”
“รับทราบ!”
ภายใต้คำสั่งการของซิ่วเหล่ย ผู้ใต้บัญชาทั้งหมดเร่งติดตามเข้าไปและผสานการโจมตีในทันที
ซิ่วเหล่ยก้าวย่างตรงออกมาเป็นแนวหน้า และตะโกนสั่นการลั่นกองพันน้ำเสียงเดือดดุ
“ทั้งหมดตามข้ามา! ไม่มีผู้ใครได้รับอนุญาตให้ร่นถอยเด็ดขาด! ฆ่า!”
กล่าวจบ มันเหาะทะยานบินตรงไปที่กำแพงเมืองทันที!
หวังอี้เฟินหน้าถอดสีหนัก เขาตะโกนสั่งการตอกสวนทันทีว่า
“พลหน้าไม้ยิงมัน!”
วูบบบ!
ลูกธนูยักษ์อันแหลมคมฉีดห้วงอากาศฝ่าคลื่นลมสวนออกมา ปราดพุ่งลุถึงหน้ามันโดยไม่มีเวลาให้ทันหายใจ!
กระทั่งยอดเซียนอย่างซิ่วเหล่ยเองยังสายเกินไปจะเลี่ยงหลบ หรือตอบสนองได้ทันท่วงที ยามนี้ทำได้เพียงพยายามเอียงเคลื่อนหลบเล็กน้อย
“พร๊วดด!”
ซิ่วเหล่ยส่งเสียงกรีดร้องพร้อมธารเลือดสดกระอึกพ่นออกมาคำโต ปรากฏเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ใจกลางอกของมัน!
หวังอี้เฟิยลอบถอนหายใจเจือสงสารอยู่เบื้องลึก ขอเพียงโจมตีโดนจุดสำคัญของซิ่วเหล่ย สิ่งนี้ย่อมสามารถเอาชีวิตมันได้แน่นอน
แต่การโจมตีครั้งนี้ อาจไม่ถึงขั้นเอาชีวิต ทว่าซิ่วเหล่ยเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เหล่าแม่ทัพกองคนอื่นๆต่างกระโจนขึ้นปีนไต่บนกำแพงเมืองอีกระลอกใหญ่ พร้อมกองทหารปีศาจที่ตามมาติดๆอยู่พ่วงท้ายหลังเป็นแถวยาว
ผงวิญญาณเนตรเขียวยังไม่สิ้นฤทธิ์ กองทัพอสูรจำนวนมากที่ปีนขึ้นกำแพงต่างล้มหายตายจากอีกครั้งหนึ่ง
ซิ่วเหล่ยหาได้สนใจอาการบาดเจ็บของตนไม่ พรอมขึ้นทะยานไปยังด้านบนของกำแพงเมืองด้วยพลังทั้งหมดที่มี
แต่ในเวลานั้นเอง กลับมีร่างหนึ่งเดินตรงเข้ามาจากด้านหลังกองทัพอสูรอย่างเงียบงัน
…………………………………