Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1480 เสียหน้ากระมัง
เบื้องหน้าของไคซินมีสมบัติทั้งแปดชิ้นวางไว้อยู่
แต่ละอย่างล้วนเป็นของหายากยิ่งทั้งสิ้น
“สมบัติทั้งแปดชิ้นนี้เจะเป็นของสามคนที่อยู่ในอันดับแรก! หลังจากที่ทุกคนตัดสินใจลงสนามแล้ว จะไม่มีการยอมแพ้เด็ดขาด ไม่เข้ารอบต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น มีแต่เข้ารอบไปเรื่อยๆจนกว่าจะหาผู้ชนะได้ ทุกคนมีสิ่งใดขัดข้องหรือไม่?”
“ไม่! ไม่! ไม่มี!”
“ไม่มีแน่นอน!”
…
เหล่าผู้พิทักษ์ประจำตระกูลของแต่ละฝ่ายต่างโบกมือปัดไปมา พวกเขาไม่มีสิ่งใดต้องค้านคำกล่าวของไตซินเลย
กฎประเภทนี้ถือว่าโหดและหายากยิ่งในดินแดนของเผ่ามนุษย์
แต่ในดินแดนของเผ่าปีศาจนับเป็นเรื่องธรรมดามาก
หากการต่อสู้นี้ไร้ซึ่งคนเจ็บและไม่มีการสูญเสีย นั่นแหละที่เป็นเรื่องแปลกแทน
แต่อย่างไรก็ตาม การจะสังหารปีศาจกลับมิใช่เรื่องง่าย
จุดสำคัญถึงชีวิตของเผ่าปีศาจคือแกนวิญญาณปีศาจ ตราบใดที่แก่นวิญญาณปีศาจยังไม่ถูกทำลายลง พวกมันก็สามารถฟื้นคืนชีพได้ตลอด
ดังนั้น เว้นเสียตาความแข็งแกร่งจะอยู่ห่างชั้นกันมาก มิฉะนั้นการจะฆ่าเหล่าปีศาจให้ตายจริงๆกลับเป็นเรื่องยากมาก
เมื่อโอกาสนี้มาถึง เหล่าตระกูลใหญ่ต่างต่อสู้ห้ำหั่นกันในเงามืดอยู่แล้ว คนที่พวกเขาพามาก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่พวกเขามั่นใจที่สุด
แต่มีเพียงคนเดียวที่เป็นแม่ทัพปีศาจสองดาวคือเย่หยวน
เจตนาของการแข่งขันในคราวนี้ชัดเจนเกินไป
การแข่งขันจะมีทั้งหมดสามรอบ ในมุมมองของคนอื่นๆ ความเป็นไปได้ที่เย่หยวนจะมีชีวิตรอดถึงรอบที่สามเท่ากับศูนย์
ผู้พิทักษ์ที่มีดีแค่รูปลักษณ์หน้าตา คนเช่นนี้จะมีพละกำลังเพียงใดกัน?
“สุริยันดารา เจ้าเป็นหนึ่งในสามที่ข้าเลือก! ข้าเห็นว่าทุกคนล้วนมีความแกร่งกล้าที่น่ากลัวยิ่ง ดังนั้นเจ้าห้ามทำให้ตำหนักเจ้าเมืองเสื่อมเสียชื่อเสียงเด็ดขาด!”
ไคซินตรงเข้ามากล่าวกับผู้พิทักษ์ของฝ่ายตนเอง ซึ่งความหมายของเขาก็ค่อนข้างชัดแจ้งมีนัยสำคัญเร้นแฝงอยู่
ตราบใดที่เขาคนนี้วิ่งเข้าหาเย่หยวน เขาต้องฆ่าอีกฝ่ายแน่นอน
“ขอให้นายท่านจงเชื่อใจ สุริยันดาราผู้นี้จะไม่ทำให้เสียหน้าแน่นอน และจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
สุริยันดาราก้มศีรษะกล่าว
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง หลี่จีกระซิบบอกเย่หยวนว่า
“น้องบรรพกาลราตรี เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของคนพวกนั้นเลย พอเริ่มเมื่อใด เจ้าแสร้งทำเป็นเจ็บและขอยอมแพ้ไปซะ! ทางฝั่งพี่ใหญ่ยังมียอดฝีมืออีกสองคน ตระกูลฟางของเราไม่แพ้แน่นอน!”
หลี่จีไม่ต้องการให้เย่หยวนถูกฆ่าทิ้งแน่นอน ท้ายที่สุดนี้ เขาที่สามารถฆ่าหลางเก๋อได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดเท่านั้น
แต่ผู้พิทักษ์ตระกูลเหล่านี้ล้วนหาใช่ยอดฝีมือธรรมดาทั่วไปไม่
ความแข็งแกร่งของหลางเก๋อไร้ซึ่งคุณสมบัติยืนเผชิญหน้ากับคนเหล่านี้ด้วยซ้ำ
เหตุผลที่หลี่จีเชิญชวนให้เย่หยวนเข้ามาเป็นอาคันตุกะและผู้พิทักษ์ประจำตัวนาง เป็นเพราะหลี่จีเห็นถึงศักยภาพแฝงในตัวของอีกฝ่าย และมองข้ามเรื่องความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไป
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า
“คุณหนูหลี่จีมั่นใจได้ บรรพกาลราตรีคนนี้รู้ดีว่าควรทำอย่างไร?”
…
“เหอะ มีภารระเฉกเช่นมันอาจทำให้เรามิได้รับสมบัติเหล่านั้นก็เป็นได้! หากมิใช่เพราะมีเด็กนี่เป็นตัวถ่วง พวกเราสามารถคว้าชัยได้แน่!”
ลั่วฉีเอ่ยลั่นอย่างเกลียดชัง
“มีเด็กจูงไข่อยู่แบบนี้ อย่าหาเกะกะมือเขาก็เป็นพอ มิฉันั้นเจ้าจักต้องได้รับผลแน่นอนในอนาคต!”
เป่ยหลานกัดฟันด้วยความเกลียดชังและกล่าวขึ้น
ณ สนามฝึกซ้อนลานเล็กแห่งนี้ หลังจากที่พวกเขาลงสู่สนามฝึกซ้อม ทั้งคู่ก็แยกเขี้ยวใส่เย่หยวนทันที
เย่หยวนกวาดสายตามองพวกนั้นและกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นตัวถ่วงข้า”
“ตัวถ่วงเจ้า? ฮ่าๆๆ หากมิใช่เพราะเจ้าสนิมชิดเชื้อกับคุณหนูหลี่จี และใช้หน้าตาหลอกล่อนาง มีหรือที่เจ้าจะมีคุณสมบัติได้มายืนอยู่ตรงนี้?”
หลัวฉีระเบิดหัวเราะเยาะ
เย่หยวนกลอกตาพลางกล่าวว่า
“เจ้าสมองทึบ!”
“เจ้าพูดอันใด?!”
หลัวฉีระเบิดความโกรธออกมาทันที แต่โชคยังดีที่เป่ยหลานทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบรั้งอีกฝ่ายไว้และกล่าวว่า
“เอาล่ะ เอาล่ะ นี่มิใช่เวลามาทะเลาะกันเอง! ไม่ว่าบาดหมางกันอย่างไร กลับไปคอยคุยกัน!”
หลัวฉีสาดสายตาใส่เย่หยวนอย่างเลือดเย็นและกล่าวว่า
“จำใส่กะโหลกไว้ซะ! เมื่อเขากลับไป เจ้าโดนดีแน่! อย่างคิดว่าเจ้าจะทำตัวอย่างไรก็ได้! คุณหนูหลี่จีช่วยเจ้ามิได้ทุกเรื่อง!”
สี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงคาโปนได้แก่ ตระกูลไค, ตระกูลโหย่ว, ตระกูลโม่ และตระกูลฟาง
คู่ต่อสู้ของตระกูลฟางในรอบแรกคือ องค์รักษ์ประจำตระกูลโหย่ว
เมื่อทั้งสามเห็นคู่ต่อสู้ตรงหน้า พวกเขาก็เผยสีหน้าดูถูกเข้าทันที พลางหัวเราะเยาะขึ้นว่า
“เฮ้ออ..โชคดีจริงๆที่มาเจอเจ้าโง่ทั้งสามหน่อ ก่อนจะสู้กับพวกมัน พวกมันคงตีกันเองก่อน ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ นายน้อยเนี่ยเองก็ตามจีบคุณหนูหลี่จีอยู่นานแล้ว เขาก็สั่งให้พวกเราจำกัดไอ้เด็กเหลือขอนั้นเช่นกัน!”
“ปล่อยเด็กนั้นให้ข้าเอง เตรียมส่งลงปรโลก!”
“เหอะ หนานฉี เจ้าเลือกแต่เป้าหมายง่าย! งั้นรีบปิดฉากให้ไว! ยามเสร็จแล้วรีบมาสมทบพวกเราทันที!”
“ได้!”
ทันทีทันใดทั้งสามก็ลงดาบโทษประหารใส่เย่หยวนกันเสร็จสรรพ
กฎของการต่อสู้เป็นแบบสามต่อสาม
หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้หรือเสียชีวิตลง ผู้ชนะย่อมสามารถเข้ารุมเป็นสามต่อสอง หรือสองต่อหนึ่งจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแพ้ลง!
ดังนั้นแล้ว หากยอดฝีมือคนใดมีฝีมือโดดเด่นเป็นพิเศษ พวกเขาจะเข้าจัดการคนที่อ่อนแอที่สุดของอีกฝ่ายก่อน
หนานฉีจับจ้องไปที่เย่หยวนพร้อมกล่าววาจาเหยียดหยามขึ้นว่า
“ตื่นได้แล้วเจ้าหนู ข้าไม่ยอมให้เจ้าแกล้งเจ็บยอมแพ้ไปก่อนแน่นอน!”
เย่หยวนกลอกตาไปมาพลางกล่าวล้อเล่นขยับปากตามอีกฝ่ายแบบไร้เสียง และกล่าวขึ้นว่า
“ไฉนที่แห่งนี้มีแต่พวกหัวทึบ?”
“ไอ้สารเลว คอยดูเลยว่าอีกสักพักเจ้าจะได้ตายอย่างไร!”
หนานฉีแสยะยิ้มกล่าววาจาเสียงเย็น
โหย่วเนี่ยเฝ้าดูภาพฉากนั้นด้วยความสนใจ พลางเอ่ยกล่าวกับโหย่วตันที่อยู่ข้างๆว่า
“พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าไอ้เด็กนั้นจะแสร้งเจ็บทำเป็นยอมแพ้ทุกรอบเลยหรือไม่?”
โหย่วตันยิ้มและกล่าวตอบว่า
“แล้วเจ้าคิดว่าไคซินจะยอมปล่อยให้เขาทิ้งการแข่งไปง่ายๆรึเปล่าล่ะ?”
คู่สายตาของโหย่วเนี่ยมืดลงเล็กน้อย ขณะกล่าวว่า
“ช่างโง่เขลาและตาบอดเสียจริง กล้าออกมาพร้อมกับหลี่จี ข้าหวังว่าหนานฉีจะเผด็จศึกให้จบเร็วไว!”
“การแข่งขันในรอบแรก เริ่มขึ้นได้!”
ในเวลานี้เองผู้พิทักษ์ของฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองตะโกนให้สัญญาณโดยตรง
วูบบบ!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เพียงเห็นเป็นริ้วแสงสีเย็นกระตุกวูบพ้นผ่าน!
ร่างของหนานฉียังคงยืนนิ่งอยู่อบบนั้น ทว่าแสงสีเย็นกลับพุ่งโฉบผ่านทะลวงร่างของเย่หยวนไปเสียแล้ว
เมื่อโหย่วเนี่ยเห็นดังนั้น เขาก็อหัวเราะมิได้พร้อมระเบิดเสียงขึ้นลั่นว่า
“ฮ่าๆๆ! มันช่างอ่อนแอเหลือเกิน! ไม่สามารถต้านรับไว้ได้แม้แต่กระบวนเดียว! หลี่จี ผู้พิทักษ์ของเจ้าตัวนี้อ่อนแอเกินไป!”
แต่ทันทีทันเสียงหัวเราะลั่นของโหย่วเนี่ยพลันแข็งทื่อไปชั่วขณะ ก่อนจะค้นพบว่าไม่มีใครสนใจเขาเลยสักคน
ช่างเป็นการหัวเราะที่น่าอึดอัดนัก
โหย่วเนี่ยยังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่เมื่อช้อนสายตามองไปที่สนามอีกครั้ง รอยยิ้มนั้นกลับแข็งค้างไปในทันที
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด เย่หยวนและหนานฉีกลับสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันไปเฉยๆ!
และเย่หยวนมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!
“มะ-เมื่อครู่มันอะไรกัน? ภาพซ้อนอย่างงั้นรึ?”
ในพริบตาเดียว ทั้งสองกลับพุ่งสวนกันพร้อมสลับตำแหน่งการยืนโดยตรง
สิ่งนี้ย่อมบ่งบอกได้ทันทีว่า เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วเกินไป จนเกิดภาพซ้อนขึ้นจากทั้งสองฝ่าย
ลืมไปเลยสำหรับหนานฉี แต่ทำไม…เย่หยวนถึงทำได้เช่นกัน?
โหย่วตันเหลือบมองน้องชายของเขาอย่างช่วยมิได้ และกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจว่า
“ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ฝึกปรือให้นานกว่านี้! แต่เจ้ากด็ไม่ฟัง! อย่างไรล่ะ…เสียหน้าหรือไม่?”
ยามนี้ทุกคนกลับแข็งค้างท่ามกลางความตื่นตะลึง
ทุกคนต่างไม่คิดฝันมาก่อนเลยว่า แม่ทัพปีศาจสองดาวชั้นกลางจะรักษาความเร็วจนเทียบชั้นได้กับจแม่ทัพปีศาจสองดาวขั้นสุดได้จริงๆ!
นอกจากนี้ความเร็วยังดูเหนือชั้นกว่าหนานฉีอีกเวย
แม้ว่าความแข็งแกร่งโหย่วเนี่ยจะอ่อนแอดที่สุดในบรรดากลุ่มคนพวกนี้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงแม่ทัพสองดาวขั้นสุดอยู่ดี
แม้แต่เขาเองยังไม่สามารถไล่ตามความเร็วของหน่านฉีได้ทัน ทว่าเย่หยวนกลับสามารถทำได้จริง!
“นี่…อาจบังเอิญกระมัง?”
ไคซินขมวดคิ้วพลางเอ่ยกล่าวขึ้น
แต่เหลียนฉวากลับส่งยิ้มหวานประดับใบหน้างามของนางและกล่าวว่า
“หุหุ ดูเหมือนว่า…เขาคนนี้จะค่อนข้างน่าสนใจมิน้อย! ข้าเริ่มสนใจในตัวเจ้าหนุ่มตัวน้อยมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว!”
ยามประสบความล้มเหลว สีหน้าการแสดงออกของหนานฉีพลันบูดบึ้งถึงขีดสุด
“ไอ้เด็กเหลือขอ ลงนรกไปซะ!”
หนานฉีคำรามลั่นพร้อมปราดพุ่งใส่เย่หยวนทันที
…………………………………