Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1510 คำสาปวิญญาณเลือด
“เจ้าคือบรรพกาลราตรี?”
ดาราสวรรค์เร่งปรับขนาดสายตาจับจ้องเย่หยวน พลางอดประหลาดใจใบหน้าหน้าอันหล่อเหลาของเย่หยวนมิได้
หากกล่าวตามตรง เขาไม่เหมือนปีศาจเลย
อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังปราณปีศาจอันบริสุทธิ์ที่ไหลเวียนในร่างกายของเย่หยวน ทำให้เขาตรวจพบความผิดปกติไม่
“ขอทำความเคารพท่านอาวุโสดาราสวรรค์!”
ท่าทางการแสดงออกของเย่หยวนหาได้ปีนเกลียวหยิ่งผยองแต่อย่างใด แต่เขาเองก็หาได้แสดงความเคราพต่ออีกฝ่ายเป็นพิเศษ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นนักปรุงโอสถปีศาจระดับสี่ก็ตามที
เขาพิจารณาคาดการณ์เรื่องเหล่านี้ได้นานแล้ว ไม่มีทางแน่นอนที่โถงโลหิตปรโลกสาขาใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะจะเฝ้ามองยอดอัจฉริยะอย่างเขาอยู่เฉยๆเป็นแน่
ในความเป็นจริง เย่หยวนไม่คิดไม่ฝันด้วยซ้ำว่าตนจะสามารถกระตุ้นให้เกิดปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าขึ้นได้เสียด้วยซ้ำ มิฉะนั้นเขาคงไม่ออกไปบรรยายต่อหน้าสาธารณชนแน่นอน
หากคำอื่นรู้เรื่องนี้เข้า ถึงแม้จะน่าประทับใจก็จริง แต่นั่นก็เป็นการดึงดูดปัญหาเข้าตัวเช่นกัน
ดาราสวรรค์เดินทางมาที่เมืองหลวงคาโปน ย่อมมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือ ทำอย่างไรก็ได้เพื่อดึงเข้าให้เข้าร่วมกับโถงโลหิตปรโลก!
นักปรุงโอสถปีศาจที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าได้ ความสำคัญของเขาต่อโถงโลหิตปรโลกนับว่าพิเศษเป็นอย่างมาก
เย่หยวนคาดการณ์ทุกอย่างไร้นานแล้ว และก็ทราบตระหนักดีว่า หากเขาไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายกลับหลงเหลือเพียงหนทางเดียวตรงหน้า
นั้นคือความตาย!
โถงโลหิตปรโลกไม่ยอมให้เย่หยวนเข้าร่วมกับกลุ่มอิทธิพลอื่นแน่นอน มิฉะนั้นเขาจะกลายมาเป็นศัตรูทันที
ยอดอัจฉริยะจำต้องมีความตระหนักรู้ดั่งเช่นอริยะชนเช่นกัน
ความเย่อหยิ่งเป็นคุณลักษณะโดยธรรมชาติของอัจฉริยะอยู่แล้ว
แม้ว่าเย่หยวนจะมิได้หยิ่งผยองไร้ขอบเขตขนาดนั้น แต่ต่อหน้าดาราสวรรค์ เขาจำต้องแสดงความภาคภูมิคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของอัจฉริยะเช่นกัน
เพราะอัจฉริยะที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าได้ หากไร้ซึ่งความหยิ่งยโสใดๆกลับดูผิดธรรมชาติเกินไป และอาจทำให้อีกฝ่ายกังขาสงสัยได้
ดังนั้นแล้วเขาจำต้องแสดงทัศนคติดั่งที่อัจฉริยะพึงมีต่อหน้าดาราสวรรค์เฉกเช่นตอนนี้
แน่นอนว่า ภายในใจของเย่หยวนเองก็หาได้เคารพเกริ่นเกรงต่อนักปรุงโอสถระดับสี่เช่นกัน
เขาที่สามารถเรียกปรากฏการณ์ทำนองแห่งยอดเต๋าได้ มันแสดงให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่า ขอบเขตความเข้าใจของเย่หยวนอยู่เหนือจินตนาการคนอื่นไปแล้ว ดั่งว่าเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้
“ฮ่าๆๆ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าเกรงขามนัก! ทุกคนต่างบอกว่านักปรุงโอสถของเผ่าปีศาจนั้นมาตรฐานต่ำช้าเกินไป และไม่มีทางให้กำเนิดยอดนักปรุงโอสถที่เก่งกาจได้ ทว่าตอนนี้ ใครที่ได้เห็นเจ้าต่างต้องหุบปากให้สนิท!”
ดาราสวรรค์เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมระเบิดหัวเราะลั่น
สำหรับเรื่องนี้เอง เย่หยวนคัดค้านภายในใจไม่หยุดหย่อน ไอ้คนที่กล่าวเช่นนั้นมันพูดถูกต้องแล้ว มาตรฐานของนักปรุงโอสถเผ่าปีศาจมันไม่มีอะไรน่าดูเลย แล้วหน้าอย่างดาราสวรรค์หรือจะมาดูแลยอดอัจฉริยะอย่างเขาได้?
ดาราสวรรค์เป็นที่รู้จักในนามนักปรุงโอสถระดับสี่ แต่เย่หยวนคิดว่ามาตรฐานของอีกฝ่ายเองก็มิได้สูงเท่าไหร่นัก
เมื่อเทียบกับจอมเทพโอสถระดับสี่ของเผ่ามนุษย์ ดาราสวรรค์ตนนี้ยังคงห่างไกลนัก
“ความกล้าแกร่งของนักปรุงโอสถขึ้นอยู่กับบุคคล หาใช่เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์”
แม้ภายในใจของเขาจะดูหมิ่นหยามเหยียดเพียงใด แต่สีหน้าวาจาคำกล่าวที่แสดงออกมา เย่หยวนกล่าวออกมาเสมือนว่าภาคภูมิใจ
ดาราสวรรค์เองก็คิดแบบนั้นก่อนจะหัวร่อเสียงเบากล่าวว่า
“นั่งสนทนากันเกรงว่าจะคอแห้ง เชิญชิมชาโลหิตพระเจ้าที่เราชายชรานำมา สิ่งนี้หาใช่ผู้คนชนชั้นทั่วไปจะสามารถหาดื่มได้!”
ขณะที่เอ่ยกล่าวขึ้นมา ดาราสวรรค์ก็ผลักชุดหม้อชาไปทางเย่หยวน พร้อมกลิ่นสุคนธรสประดับหอมล้นในทันใด
เย่หยวนกวาดสายตาเหลือบมองชาสีเลือดเล็กน้อย ก่อนจะไม่พบสิ่งใดผิดแปลก
แต่ทันใดนั้นเองหลู่เฉินก็กล่าวเตือนขึ้นว่า
“เย่หยวน ชายคนนี้ต้องการร่ายคำสาปวิญญาณเลือดใส่เจ้า!”
“คำสาปวิญญาณเลือด?”
เย่หยวนเอ่ยสงสัยขึ้น
ตั้งแต่ที่เย่หยวนเดินเข้ามาในห้องนี้ เขาก็ปราดสายตาสำรวจตรวจสอบก่อนแล้วในระดับหนึ่ง ภายในใจคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอด
เว้นเสียว่าเขาจะพบสิ่งใดแปลกปลอม
“คำสาปวิญญาณเลือดเป็นคำสาปที่น่ากลัวมากของเผ่าปีศาจ มันหาใช่สมุนไพรหรือโอสถ เจ้าจึงไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ เจ้าเห็นโคนไฟรูปทรงต่างๆที่ประดับอยู่มุมห้องหรือไม่?”
เย่หยวนเหลือบสังเกตสิ่งของโดยรอบทันที แน่นอนว่าเขาเห็นโคมไฟรูปทรงประหลาดประดับอยู่ทั่วห้องจริง
ทีแรกพลางคิดไปว่ารสนิยมความชอบของเผ่าปีศาจแตกต่างจากเผ่ามนุษย์อย่างมาก ดังนั้น เย่หยวนหาได้กังวลเกี่ยวกับรูปทรงแปลกๆของมันเช่นกัน
เย่หยวนแอบคิดไปว่า เขาคงหลงกลสนิทแล้วหากไม่ได้หวู่เฉินมาเอ่ยเตือนเช่นนี้
“ข้าเห็นแล้ว โคมไฟเหล่านี้มีรูปทรงแปลกประหลาดจริงๆ”
เย่หยวนเอ่ยตอบ
หวูเฉินกล่าวว่า
“โคมไฟเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า ตะเกียงหลอมวิญญาณ มันถูกสร้งาขึ้นจากเส้นเอ็นของผู้คนนับไม่ถ้วน วิญญาณที่อยู่ในไส้ตะเกียงหลอมวิญญาณจะถูกเปลวเพลิงแผดเผาไม่มีที่สิ้นสุด แน่นอนว่าวิญญาณที่อยู่ภายในนั้นล้วนเปี่ยมล้นความอาฆาตพยาบาท แต่แค่มองผ่านเพียงผิวเผินย่อมไม่สามารถสังเกตทราบได้เลย อย่างกล่าวถึงพวกมนุษย์ กระทั่งเผ่าปีศาจด้วยกันเองยังมิอาจสัมพันธ์รับรู้การมีอยู่ของมันได้”
เย่หยวนที่ได้ยินเช้นนั้นถึงขั้นสูดไอเย็นแช่มลึกสุดขั้วปอด ช่างหวาดหวั่นใจนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าสิ่งนี้จะโหดร้ายมิใช่น้อย
สมาชิกเผ่าปีศาจล้วนแต่เป็นคนพวกโหดเหี้ยมเลือดเย็นยิ่งนัก!
หากย้อนกลับไปในตอนนั้น เผ่าปีศาจเองยังเคยใช้วิธีคล้ายกันโดยการาสังหารหมู่เพื่อรวบรวมพลัง
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว…ชาโลหิตพระเจ้าเกี่ยวข้องอันใดกับคำสาปวิญญาณเลือดกัน?”
เย่หยวนเอ่ยถาม
“ชาโลหิตพระเจ้าเป็นชาวิญญาณที่หายากมากของเผ่าปีศาจ มันจะช่วยเพิ่มพูนพลังแกนวิญญาณของพวกปีศาจคล้ายกลับกันบริโภคโอสถ เพียงว่าชาโลหิตพระเจ้ายังเป็นกุญแจสำคัญที่จะเชื่อมต่อร่างของเจ้ากับคำสาปวิญญาณเลือด! ชาโลหิตพระเจ้าเป็นดั่งการรดน้ำด้วยเลือดให้แก่วิญญาณเหล่านั้น เมื่อเจ้าดื่มชาโลหิตพระเจ้าลงไป วิญญาณอันเคียดแค้นภายในตะเกียงจะออกมารวมตัวกันและสาปเจ้าด้วยคำสาปวิญญาณเลือด! คนที่โดนสาปไปจะไม่รู้สึกรู้สาอันใดแม้แต่น้อย แต่เมื่อมีคนไปกระตุ้นคำสาปวิญญาณเลือด เจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง จากการถูกกลืนกินจิตวิญญาณและประสบความทรมานเสียยิ่งกว่าความตาย! ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องการใช้วิธีนี้เพื่อควบคุมเจ้า!”
หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนใจหายวูบปรดุจดิ่งลงเหวลึก เขาไม่คิดเลยว่า ดาราสวรรค์ผู้นี้จะวางกับดักเขาตั้งแต่ตั้งแรกที่เจอกัน ยามนี้เพลิงพิโรธภายในใจโหมปะทุขึ้นทันทีพร้อมคำสาปแช่งมากมาย
โถงโลหิตปรโลกแห่งนี้สมควรแล้วที่ได้รับสมญานามว่าเป็น กลุ่มอำนาจใต้ดิน การดำรงอยู่ของพวกมันน่ากลัวเสียยิ่งกว่าฝ่ายตำหนักเจ้าเมืองหลายเท่าทวีนัก
เขายังไม่เคยไปยั่วยุกลุ่มคนเหล่านี้เลย ทว่าพวกมันกลับใช้วิธีโหดร้ายเช่นนี้จัดการกับเขา!
“ท่านอาวุโสมีวิธีจัดการกับคำสาปวิญญาณเลือดหรือไม่? หากข้าไม่ดื่มชานี้ ตาแก่เจ้าเล่ห์นี่คงไม่ยอมปล่อยข้าไปเช่นกัน!”
เย่หยวนเอ่ยถามน้ำเสียงเคร่งขรึม
เขาสามารถทำลายโซ๋ตรวงแห่งเต๋าโอสถลงได้เพราะการบรรยายครั้งนี้ แต่นั่นกลับชักนำปัญหาใหญ่ตามมาเช่นกัน
นับเป็นโชคลาภที่มาพร้อมกับความโชคร้ายโดยแท้!
แต่หวูเฉินกลับยิ้มและกล่าวว่า
“เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าข้าผู้นี้เป็นใคร? ไข่มุกสยบวิญญาณเป็นบรรพบุรุษแห่งวิญญาณทั้งมวล เว้นเสียแต่เป็นวิญญาณระดับชั้นจักรพรรดิเทพสวรรค์ออกโรงเป็นการส่วนตัว ที่เหลือจากนั้นมีวิญญาณใดบ้างทำอันตรายเจ้าได้? กับแค่คำสาปเด็กน้อยเช่นนี้มีหรือที่ข้าจะปราบไม่ใกล้? ยิ่งไปกว่านั้นนี่กลับเป็นผลดีเสียมากกว่า ข้ามีวรยุทธลับจิตศักดิ์สิทธิ์มากมายไว้เล่นงานวิญญาณอาฆาตเหล่านั้น ทั้งยังให้ไข่มุกสยบวิญญาณกลืนกินเข้าไป นับเป็นยาบำรุงข้าชั้นดี! เจ้าแค่ดื่มชาโลหิตพระเจ้าไป ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเย่หหยวนพลันลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาคลี่ยิ้มเล็กน้อยและยกหม้อต้มรินชาใส่ถ้วย ก่อนนำมาดื่มอย่างสบายอารมณ์
แลเห็นภาพฉากนี้ มุมปากของดาราสวรรค์พลันกระตุกยิ้มเล็กน้อย แผนการชั่วของเขาประสบความสำเร็จอย่างง่ายดาย
“รสชาติเป็นอย่างไร?”
ดาราสวรรค์เอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
เย่หยวนพยักหน้าเอ่ยชมขึ้นว่า
“ชาชั้นเยี่ยม! ไม่เพียงแต่ชำระความมัวมองให้จิตใจสดชื่น ทั้งยังช่วยบำรุงพลังปราณปีศาจอีกด้วย!”
ดาราสวรรค์ระเบิดหัวเราะขึ้นเสียงดังโข
“ฮ่าๆๆ หากเจ้าชอบข้ายังมีอีก เช่นนั้นขอมอบให้เจ้าแล้วกัน”
เย่หยวนรีบเร่งกล่าวตอบทันทีว่า
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ชาวิญญาณหายากเช่นนี้มูลค่าคงไม่น้อยกระมัง? บรรพกาลราตรีผู้ต่ำต้อยมิอาจรับของมีค่าขนาดนี้ได้โดยไม่มีสิ่งตอบแทน!”
ดาราสวรรค์พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมยิ้มกล่าวว่า
“น้องบรรพกาลราตรี ข้าขอเรียกเจ้าว่าน้องชายเสียแล้วกัน เจ้าเป็นคนฉลาดหลักแหลม คงเดาจุดประสงค์ที่ข้ามาวันนี้ได้แล้วกระมัง? ขุมพลังอำนาจของโถงโลหิตปรโลกยิ่งใหญ่เกินกว่าเจ้าจะคาดถึง ด้วยความสามารถของเจ้า ขอเพียงเข้าร่วมกับพวกเขา อนาคตต่อไปในภายภาคหน้าของเจ้าจักต้องเปล่งประกายยิ่งกว่าผู้ใด!”
เย่หยวนมิได้เผยแสดงสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้มว่า
“ท่านอาวุโสดาราสวรรค์ใจดีเกินไปแล้ว เพียงว่า…บรรพกาลราตรีคนนี้ยังไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมฝักฝ่ายใด”
ดาราสวรรค์เองก็หาได้แปลกใจเช่นกันที่ได้ยินแบบนั้น เขากล่าวขึ้นอย่างมีนัยแฝงขึ้นว่า
“อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ เจ้าลองกลับไปพิจารณาดูก่อน บางที…เจ้าอาจเปลี่ยนใจในภายหลัง?”
…………………………………