Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1525 กลับสู่สถานะเดิม
เมื่อสภาวะตัดชั่วฟ้าที่ไม่สมบูรณ์พัฒนากลายเป็นสภาวะตัดชั่วฟ้าที่สมบูรณ์แบบ ผลลัพธ์ที่ได้…คือความวิปโยค
เจิ้นเจี้ยนค้นพบชัดแจ้ง ยามนี้แม้แต่ปลายคมดาบของตนก็ไม่สามารถเตะสัมผัสชายเสื้อของเย่หยวนได้แม้สักนิด
ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นเย่หยวนที่เริ่มตีโต้สร้างความเสียหายแก่เขาเป็นครั้งคราว
ภายใต้สภาวะรุกคืบของเย่หยวน กลับเป็นเรื่องยากที่เจิ้งเจี้ยนจะรักษาความได้เปรียบได้อีกต่อไป
ท่ามกลางศึกสัประยุทธ์แลกกระบวนเดือดนี้ ตำแหน่งความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างทั้งสองเริ่มพลิกกลับแล้ว
ณ โลกภายนอก ยามเหล่าอัจฉริยะเห็นภาพฉากนี้ที่พลิกโผแปรเปลี่ยนในพริบตา พวกเขาต่างรู้สึกมึนงงยิ่งยวด
“นี่ไม่ถูกต้อง! ติงฟาน ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนเกินร้อยท่าแล้วกระมัง ไยถึงตัดสินแพ้ชนะไม่ได้? ติงฟาน? ติงฟาน?”
ปาถู่ที่เรียกขานแต่ไร้สุ้มเสียงเอ่ยตอบ เขาพลันเหลียวมองอีกฝ่ายทันทีด้วยความฉงนใจ แต่กลับต้องพบว่าคู่สายตาของติงฟานยามนี้จ้องภาพฉากตรงหน้าเขม็ง พร้อมใบหน้าที่แข็งค้างประดับแขวนความตกตื่นตกใจอยู่ทั่ว
“นี่…เจ้าเป็นอะไรไป?”
ปาถู่เข้าสะกิดติงฟานเล็กน้อย
ติงฟานสะดุ้งเฮือกพร้อมโพล่งอุทานลั่นว่า
“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”
ไป๋ถู่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า
“ข้ารู้แล้วว่ามันคือสภาวะตัดชั่วฟ้า มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งบอกข้าไปเอง? คู่ต่อสู้คนนั้นตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองแล้ว”
ติงฟานกล่าวตอบทันทีว่า
“นั้นคือสภาวะตัดชั่วฟ้าที่แท้จริง! บรรพกาลราตรีเข้าสู่อาณาจักรตัดชั่วฟ้าได้แล้ว!!”
“อะไรนะ?! เจ้าต้องล้อข้าเล่นแล้ว! อาณาจักรตัดชั่วฟ้ามันเข้าง่ายซะที่ไหน?”
ปาถู่สะดุ้งโหย่งพร้อมตะโกนลั่นสุดเสียงตื่นตกใจยิ่ง
เมื่อผู้คนโดยรอบได้ยินดังนั้น ทุกคนต่างแสดงสีหน้าตื่นตกใจไม่ต่าง พร้อม้เงี่ยหูฟังรอให้ติงฟานเอ่ยอธิบาย
ในบรรดาพวกเขาทั้งหมดในนี้มีเพียงความแกร่งกล้าระดับติงฟานเท่านั้นที่สามารถมองเห็นเงื่อนงำบางอย่างของการต่อสู้นี้ได้
“กระบวนเคลื่อนไหวเหมือนเดิม ระดับพลังยังคงเท่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ทว่ากลับเป็นบรรพกาลราตรีที่พลิกกลับมาไล่ต้อนคู่ต่อสู้คนนั้นแทน คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้คืออาณาจักรตัดชั่วฟ้าเท่านั้น! มีเพียงการเข้าถึงสภาวะนี้เท่านั้นที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้!”
ติงฟานเอ่ยอธิบายน้ำเสียงเจือหวาดหวั่นไม่คลายอ่อน
“อาณาจักรตัดชั่วฟ้าเลยงั้นรึ…พรสวรรค์ของบรรพกาลราตรีไม่วิปลาสเกินไปใช่ไหม?”
“พรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถของเขาท้าทายสวรรค์ยิ่งกว่าผู้ใด แม้แต่เหล่าผู้ทรงอำนาจอย่างบรรดาจ้าวทัพปีศาจยังต้องให้ความเคารพ ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่า แม้แต่ศาสตร์แห่งการต่อสู้เขาจะแกร่งกล้าวิปลาสได้ขนาดนี้! ผู้ใดได้พบเห็นเขาคงไม่สิ้นหวังไปตามๆกัน?”
“เมื่อเปรียบกับสินค้า เขาเกิดมาเพื่อฆ่าคนอื่นชัดๆ! ชายผู้นี้ไม่มีทางออกให้แก่เหล่าผู้คนเลยจริงๆ!”
“ว่ากันว่า ตราบใดที่สามารถเข้าสู่อาณาจักรตัดชั่วฟ้าได้ การันตีได้ว่าคนๆนั้นสามารถทะลวงขึ้นสู่ระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจได้แน่นอน เขาช่างน่าอิจฉาเสียจริง!”
…
เหล่าอัจฉริยะพวกนั้นต่างอ้าปากกันค้างเติง มีทั้งชื่นชมและอิจฉาปะปนกันไป แท้ที่จริงแล้วพวกเขาเหล่านี้ต่างเป็นยอดอัจฉริยะระดับหัวกะทิจากแต่ละเมืองหลวง ผู้คนต่างแห่แหนสรรเสริญจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่หยวนแล้ว พวกเขากลับกลายเป็นสินค้าที่ตั้งขายริมถนนแทน
ความแตกต่างที่ชัดแจ้งเกินไปเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกอึดดอัดใจยิ่ง
ถึงแม้พวกเขาจะเผชิญหน้ากับหกบุตรแห่งกล้วยไม้อริยะ แต่อัจฉริยะเหล่านี้ก็ยังไม่รู้สึกว่า ทั้งหกมิได้เหนือชั้นจนสูงเกินเอื้อม
ทว่ายามนี้พวกเขาทุกคนต่างสัมผัสได้อย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าชั่วชีวิตนี้พวกเขาจะขยันหมั่นเพียรสักแค่ไหน แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่หลังเท้าของเย่หยวนด้วยซ้ำ
ความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์นี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังโดยแท้
หากพวกเขารู้ในภายหลังว่า นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เย่หยวนเข้าสู่สภาวะตัดชั่วฟ้าได้ มิอาจทราบเลยว่าพวกเขาจะยิ่งสิ้นหวังแค่ไหน
ภายใต้สภาวะตัดชั่วฟ้า เย่หยวนทรงพลังยิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ชวิ้ง! ชวิ้ง! ชวิ้ง!
บาดแผนบนร่างของเจิ้งเจี้ยนเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดคมดาบนั้นของเย่หยวนก็ปราดทะลวงศีรษะของเขาสังหารสิ้นในดาบเดียว
ตายสนิท!
เมื่อร่างของเจิ้งเจี้ยนควบแน่นหลอมรวมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เขาพลันโพล่งตาโตแทบถลน จับจ้องเย่หยวนด้วยความตื่นตะลึงยิ่ง
ผู้ที่ไล่ต้อนอีกฝ่ายจนติดมุม ยามนี้กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสียเอง เขาคือยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานที่สุดแห่งยุค แต่กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับแม่ทัพปีศาจขั้นสุดในอีกหลายล้านปีต่อมา!
นี่คือความพ่ายแพ้อย่างที่สุดในชั่วชีวิตของเจิ้งเจี้ยน และเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดๆมากล่าวอ้างได้เลย
ในตอนนี้เขารู้สึกว่า วาจาแสนหยิ่งยโสที่ลั่นกล่าวกับเย่หยวนก่อนหน้า ยามนี้กลับฟังดูไร้สาระอย่างยิ่ง!
ไร้เทียมทานที่สุดในบรรดาระดับชั้นเดียวกันทั้งหมด?
แต่เขากลับมาพ่ายให้แก่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ข้ามระดับมาสู้!
ณ ปัจจุบัน เย่หยวนยังไม่ฟื้นสติขึ้นจากสภาวะตัดชั่วฟ้า ภายใต้สภาวะนี้ทำให้เย่หยวนเข้าใจบัญญัติเทพแห่งถงเทียนระดับสามได้อย่างถ่องแท้!
เขากำลังจะเลื่อนระดับชั้นแล้ว!
วูบบ…!
ทั่วทั้งโถงกว้างสั่นสะเทือนหนัก คลื่นความปั่นป่วนแผ่กระจายไปทั่วเนื่องด้วยการเลื่อนระดับชั้นของเย่หยวนที่รุนแรงเกินจินตนาการ!
ทันใดนั้นเอง สีหน้าการแสดงออกของติงฟานพลันเปลี่ยนไปฉับพลัน
“เดี๋ยวก่อน! นี่มัน…กลิ่นอายเช่นนี้นี่มัน…มนุษย์!”
เย่หยวนหยิบใช้พลังของบัญญัติเทพแห่งถงเทียนเพื่อเลือนกลิ่นอายและพลังปราณแบบเผ่าปีศาจ ดังนั้นแล้ว ระหว่างที่กำลังเลื่อนระดับชั้น เขาจำต้องฟื้นตัวกลับสู่สภาวะดังเดิมหรือก็คือกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์นั้นเอง!
พลังปราณปีศาจที่ไหลเวียนก่อนหน้าดับสลายกลายมาเป็นพลังปราณเทวะอีกครั้ง และวิธีเลื่อนระดับชั้นของเขาเองก็มิได้เป็นไปตามแบบของเผ่าปีศาจ
สุดท้ายนี้ ในที่สุดเย่หยวนก็ฟื้นคืนสู่สถานะมนุษย์อีกครั้ง!
รัศมีกลิ่นอายของเย่หยวนขยับขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเข้าทำลายม่านพลังป้องกันที่ปิดกั้นระหว่างลานประลองวงแหวนกับภายนอกจนเชื่อมต่อกันอีกครั้ง
และเป็นติงฟานที่มีปฏิกิริยาและสัมผัสที่เฉียบแหลมที่สุด เขาสามารถตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ในทันที
“เป็นไปได้อย่างไร?! บรรพกาลราตรีเป็นมนุษย์จริงๆ อย่างนั้นรึ?!!”
“นี่…นี่เป็นไปไม่ได้! มนุษย์จะสามารถกลบกลิ่นอายได้อย่างไร้ที่ติขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
“แต่…แต่ด้านนอกมีเหล่าจ้าวเทพปีศาจมากมาย หรือเป็นไปได้ไหมที่ไม่มีใครสักคนมองออก?”
“นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว! ปรากฏว่าเด็กหนุ่มคนนี้หยอกเล่นกับพวกเขาอยู่บนฝ่ามือของเขามาโดยตลอด!”
…
เมื่อคนอื่นๆเริ่มตรวจจับความผิดปกตินี้ได้ ทั้งหมดล้วนตื่นตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่
พวกเขาไม่สามารถจินตนาการออกเลยว่า มนุษย์จะสามารถปลอมตัวเป็นปีศาจได้แนบเนียนปานนี้
วูบบ! วูบบ! วูบบ!
เช่นเดียวกับที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในสภาพตะลึงงันมิได้สติ เสี้ยวพริบตาต่อมา ร่างของพวกเขาก็พลันอันตรธานหายไปจากโถงกว้างทันที
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
“โอ๊ย!”
“ก้นข้า!”
…
เสียงตกกระแทกดังก้องไปทั่วบริเวณ ปรากฏว่าร่างของพวกเขาถูกส่งตัวออกจากซากโบราณสถานโดยตรง!
เหล่าอัจฉริยะล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นพร้อมความประหลาดใจ และไม่เข้าใจสักนิดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ติงฟาน นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น? พวกเจ้าทุกคนต่างประสบความล้มเหลวงั้นรึ?”
ทูตแห่งโถงโลหิตปรโลกสาขาเมืองจักรพรรดิตรงเข้าพบติงฟานและเอ่ยถามในทันที
ทว่าติงฟานยังมิได้เอ่ยตอบเขาทันที แต่กลับเหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบๆ เสมือนว่ากำลังมองหาใครบางคนอยู่
ทูตแห่งโถงโลหิตปรโลกเอะใจขมวดคิ้วแน่น และเอ่ยถามขึ้นว่า
“ติงฟาน เจ้ากำลังมองหาอะไรอยู่?”
ติงฟานยังคงไม่เอ่ยตอบใดๆ พร้อมเหลียวมองไปทั่วทุกมุมแต่กลับไม่พบร่างเย่หยวน สีหน้าการแสดงออกเผยให้เห็นถึงความผิดหวังทันที
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวขึ้นทันทีว่า
“เกิดเรื่องขึ้นแล้ว! ท่านอาวุโสติงเอ๋ออยู่ที่ไหน”
ทันใดนั้นรัศมีแรงกดดันอันทรงพลังพลันพวยพุ่งลงมาจากท้องนภา ปรากฏเป็นร่างของติงเอ๋อเหาะเหินลงมา
สีหน้าการแสดงออกของติงฟานแปรเปลี่ยนดูจริงจังขึ้นถนัดตา และเริ่มเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในซากโบราณสถานให้ฟัง
ทุกคนต่างหน้าถอดสีกันยกใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอวี้หาน ที่ยามนี้ใบหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษพูดอะไรไม่ออกอยู่พักใหญ่
“เจ้ากล่าวว่าอันใด?! บรรพกาลราตรี…เขา…เขาเป็นมนุษย์อย่างงั้นรึ?! เป็นไปไม่ได้!!”
ผู้รับใช้ชายชราคนหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าแขนของติงฟาน บีบรัดแน่นจนกระดูกแทบแหลกคามือ
“อ๊ะ! ปล่อยข้า!”
ติงฟานร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด
เมื่อทูตแห่งโถงโลหิตปรโลกเห็นว่าผู้รับใช้ชราจู่ๆก็พุ่งเข้ามาทำร้ายคนของเขา จึงคำรามสวนขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า
“ไร้มารยาท! ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้!”
ปรากฏว่าผู้รับใช้ชายชราคนนี้คือดาราสวรรค์ที่ปลอมตัวมานั้นเอง เขาหันขวับตวาดลั่นสวนอีกฝ่ายอย่างเดือดดุ
“หลีกไป!”
ทันทีทันใดขุมพลังระดับชั้นจ้าวทัพปีศาจเก้าดาวพลันปะทุคลั่งออกมาจากร่างดาราสวรรค์ ทำให้ทุกคนโดยรอบต่างหวาดผวาหนัก
“จ้าวทัพปีศาจเก้าดาว!! เขา…เขาเป็นใครกัน?”
ทุกคนต่างร้องอุทานลั่น
“บัดซบน้อย บอกข้าเดี๋ยวนี้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวเล่าไปทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ!!”
ดาราสวรรค์ตวาดเสียงเยียบเย็นใส่
ใบหน้าของติงฟานบิดเบี้ยวน่าเกลียดยิ่งด้วยความเจ็บปวดสุดจะทน จนเอ่ยปากพูดไม่ออก
ในเวลานี้ปาถู่เร่งตรงเข้ามาเบื้องหน้าและกล่าวแทนว่า
“ท่านอาวุโส ติงฟานมิได้โกหกท่าน! พวกเราทั้งหมดต่างเห็นกับตา! หากมิใช่เพราะบรรพกาลราตรีเลื่อนระดับชั้นกะทันหัน เรื่องนี้คงไม่แดงออกมาแน่ และเขายังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดต่อไป!”
“ใช่แล้วท่านอาวุโส! พวกเราทุกคนต่างคิดว่าเขาเป็นปีศาจ แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เขากลับทะลวงขึ้นสู่จอมทัพปี-…ไม่สิ…อาณาจักรบรรพชนพระเจ้า! ยามนั้นพลันเผยให้เห็นถึงรัศมีกลิ่นอายของมนุษย์ชัดแจ้ง! มิเช่นนั้นพวกเราจับมิได้แน่!”
อีกคนเร่งกล่าวเสริมขึ้นทันที
ดาราสวรรค์ยามนี้รู้ตัวแล้วว่า ตนน่าจะถูกอีกฝ่ายหลอกแล้วจริงๆ!
…………………………………………..