Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1544 แหกตาสุนัขของเจ้าดูซะ!
ณ หอเต๋ออี้ อู๋เฟินยังคงนั่งแช่มจิบชารอฟังข่าวมาโดยตลอด
เมื่อได้ฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ของร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด อู๋เฟินก็พลันคลี่ยิ้มดีใจอย่างยิ่ง
“หุหุ เราชายชราไม่คิดไม่ฝัน เจ้าเด็กคนนี้จะก่อความเกรี้ยวโกรธต่อสาธารณชนขนาดนี้! ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่ามันจะผ่านวันนี้ไปได้อย่างไร!”
อู๋เฟินยิ้มกล่าว
เถ้าแก่เองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งเมื่อทราบข่าวนี้
เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่ากลุ่มอิทธิพลทั้งหกของเมืองทางตอนใต้จะแห่เข้ามารังแกเด็กน้อยผู้อ่อนแอคนนั้น
แต่เมื่อคิดไปแล้วเถ้าแก่เองก็รู้สึกอุ่นใจไม่น้อย
ไอ้เด็กเหลือขอนั้นหยิ่งผยองเกินไป ยืนกรานแขวนป้ายรับจ้างสารพัดได้อย่างหน้าตาเฉย นี่กำลังชักพาปัญหาเข้าตัวกระมัง?
“ครานี้ท่านปรมาจารย์ลงไม้หนัก! หวางเชียนคนนั้นแม้แต่จอมเทพสี่ดาวยังไปไม่เป็น หากเด็กคนนั้นไม่สามารถช่วยเหลือได้นับว่าน่าเสียดายนัก”
เถ้าแก่เอ่ยเสียดสีแสยะยิ้มกว้าง
อู๋เฟินยิ้มกล่าวว่า
“เหอะ ไอ้เปี๊ยกนั้นมันหยิ่งผยองเกินไป ข้ากำลังสอนให้เขาทราบว่าตนควรปฏิบัติอย่างไร! มหาพิภพถงเทียนแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล เขาหรือที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่กี่วัน จะหาญกล้าทัดเทียม? มันโอ้อวดไร้ยางอายเกินไป!”
หากย้อนกลับไปตอนที่อู๋เฟินให้สัญญากับหวางห่าวหลาน นั้นมิใช่เพียงเพราะความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองเท่านั้น แต่ตอนนั้นที่ทราบว่าอาการของหวางเชียนไม่สามารถรักษาให้หายได้ อู๋เฟินเองก็ไม่คิดยอมแพ้เช่นกัน หนึ่งอาจเป็นเพราะความต้องการเอาชนะยามพบเจออุปสรรคยากลำบาก
นักหลอมโอสถล้วนดื้อรั้นกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่อู๋เฟินเช่นกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อู๋เฟินอยากจะเอาชนะโรคนี้ให้จงได้
เพื่อตัวหวางเชียนเอง อู๋เฟินถึงขั้นแบกหน้านำหวางเชียนเข้าไปในหอโอสถในเขตเมืองชั้นใน เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์ของเขาอีกที
ทว่าท้ายที่สุด อีกฝ่ายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เช่นกัน
อาจารย์ของอู๋เฟินเป็นถึงจอมเทพโอสถสี่ดาวแห่งหอโอสถ ทว่าแม้แต่เขาผู้นั้นยังไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วไอ้เปี๊ยกนั้นรึจะช่วยได้?
อู๋เฟินขอไม่คิดเชื่อแม้นต้องถูกตีจนตายก็ตาม!
…
ในเวลานั้นเอง ณ เขตเมืองชั้นใน ชายชราคนหนึ่งรีบวิ่งแจ้นเข้ามารายงานกับชายหนุ่ม
“ทางเราทราบข่าวของน้องสาวท่านแล้ว! ปัจจุบัน นางอยู่ในเขตเมืองทางตอนใต้! เร่งออกไปพากลับมาดีหรือไม่?”
ชายชรากล่าว
ชายหนุ่มเผยท่าทีลำบากใจมิน้อย พร้อมโค้งคำนับกล่าวว่า
“ท่านอาจารย์ซวนอี้ น้องสาวของข้าเอาแต่ใจเกินไปจนทำให้ท่านลำบาก”
ซวนอี้ยิ้มและกล่าวว่า
“น้องสาวของท่านมีมากพรสวรรค์หลากหลายด้าน นางย่อมเอาแต่ใจเป็นธรรมดา ทั้งพรสวรรค์ในศาสตร์แห่งโอสถ และนี่หาใช่สิ่งเดียวที่นางเชี่ยวชาญ ความสามารถของคนอื่นๆล้วนอ่อนด้อยกว่านาง แต่น่าเสียดายที่นางไม่ค่อยขยันนัก!”
ชายหนุ่มเหงื่อแตกพลัก มือแทบก่ายหน้าผาก
“ท่านอาจารย์กล่าวตรงเกินไป จับนางกลับมาคราวนี้ข้าจะอบรมนางเป็นอย่างดี!”
ซวนอี้ยิ้มพร้อมกล่าวว่า
“เจ้าไม่จำต้องทำเช่นนั้นไป เจ้าก็ทราบดีว่า นางมีนิสัยคล้ายผู้ชาย หากเจ้าใช้ไม้แข็งกับนางมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งพยศเจ้ามากขึ้นเท่านั้น กล่าวตามตรงอย่าไปบังคับจับนางกลับมาเลย ตอนนี้ปล่อยให้นางอยู่ข้างนอกไปสักพัก นี่อาจเป็นเรื่องดีสำหรับนาง การประลองในหอโอสถกำลังใจเริ่มขึ้นเร็วๆนี้ ขอเพียงพานางกลับมาให้ทันก็เป็นพอ”
ชายหนุ่มผสานมือโค้งคำนับและกล่าวว่า
“เข้าใจแล้วท่าน!”
…
ภายในร้านขายโอสถรับจ้างสารพัด ความเร็วในการวินิจฉัยและรักษาของเย่หยวนค่อนข้างรวดเร็วยิ่ง
เนื่องจากเย่หยวนยังต้องรักษาคนอื่นตามลำดับ หลังจากวินิจฉัยเฉียนปิงก่อนเล็กน้อยก็สั่งให้ติงซ่งนำไปต่อแถวที่ด้านหลังก่อน ยามนี้พวกเฉินเปาและที่เหลือต่างก็รอนานแล้ว ทว่าสีหน้าการแสดงออกกลับค่อนข้างแตกต่างจากตอนแรกที่เข้ามา
คนเหล่านั้นที่ต่อแถวอยู่ก่อนหน้า ยามนี้อาการป่วยของคนพวกนั้นหายอย่างน่าอัศจรรย์ และยิ่งเห็นผลชัดเจนขึ้นเมื่อโอสถออกฤทธิ์
และพวกที่ร้องข้าให้หลอมกลั่นโอสถให้ สิ่งที่ทุกคนนำกลับไปล้วนแล้วแต่เป็นโอสถขั้นเทวะ!
ขั้นเทวะจริงๆ!
แม้สิ่งที่เย่หยวนหลอมกลั่นไปในวันนี้จะมิใช่โอสถที่ยุ่งยากซับซ้อนนัก แต่การหลอมกลั่นได้ขั้นเทวะทุกเม็ด สิ่งนี้บ่งบอกได้ถึงปัญหาอย่างชัดเจน!
ชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถจริงๆ!
และในไม่ช้าแทนที่เฉินเปาและติงซ่งจะหน้าเสีย แต่กลับกันเลย พวกเขากลับรู้สึกสบายใจขึ้นแทน
บางทีเด็กคนนี้อาจช่วยคนของพวกเขาได้จริงๆ!
แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่สามตระกูลใหญ่ สองกลุ่มอิทธิพลส่งมาที่นี่ในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็น ผู้ป่วยที่มีโรคประหลาดดซับซ้อนขึ้นชื่อประจำเขตเมืองทางตอนใต้ และไม่มีใครสามารถรักษาได้เลย
ในที่สุดตอนนี้ก็ถึงตาของเฉินเปา
“อุ้มเขามา”
เย่หยวนเอ่ยกล่าวเสียงชืดเย็น
เฉินเปาโบกมือสั่งและให้คนกลุ่มหนึ่งแบกเปล่มาต่อหน้าเย่หยวน
“เจ้าหนู หากช้าข้าจะทุบป้ายเจ้าทิ้งซะ!”
เฉินเปากล่าวขู่เย่หยวน
ทันทีที่หัวหน้าห้าได้ยินแบบนั้น เขาก็ลุกขึ้นพรวดดแสยะยิ้มเย็นกล่าวว่า
“เจ้าลองขยับดูสิ! ข้าจะพากลุ่มอัสนีคำรนมาถล่มเจ้าทันที!”
แต่เฉินเปากลับเอ่ยกล่าวอย่างเฉยเมยว่า
“ข้าพาคนป่วยมารักษา หากเกิดอะไรขึ้นกับเขามันคือความรับผิดของพวกเจ้า! หากเขาเกิดตายลงที่นี่ แสดงว่าไอ้ร้านรับจ้างสารพัดนี้มันก็แค่เรื่องหลอกลวง! แล้วทำไมข้าถึงจะทุบป้ายไม่ได้!”
หัวหน้าห้าสำลักโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น ยามนี้อดกล่าวน้ำเสียงเย็นชามิได้ว่า
“ท่านปรมาจารย์เย่ยังมิทันรักษาอย่าเพิ่งตัดสินใจไป! เฉินเปา หากเจ้ากล้าก่อปัญหาขึ้น วันนี้อย่าคิดเดินออกจากร้านง่ายๆ!”
เฉินเปาหยิบเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ออกมาชิ้นหนึ่งและยิ้มกล่าวว่า
“บิดาเจ้าเถอะที่เดินออกไปไม่ได้! เจ้าหรือจะทำอะไรข้าได้?”
คนอื่นๆต่างจับจ้องภาพฉากปะทะคารมของทั้งสองอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส
ณ ปัจจุบันคนพวกนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ถูกสั่งการมาให้ก่อปัญหาแก่เย่หยวน ดังนั้นพวกเขาย่อมเข้าข้างเฉินเปาโดยธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น การที่สามตระกูลใหญ่และสองกลุ่มอิทธิพลออกโรงพร้อมกันเช่นนี้ ล้วนดึงดูดความสนใจของฝูงชนจำนวนมาก ยามนี้รุมล้อมเฝ้าดูกันไม่วางตา
โดยปกติแล้ว พวกเขาคงสนใจกันครู่เดียวก่อนจะแยกย้ายกันออกไป
แต่วันนี้พวกเขาเองก็อยากเห็นภาพฉากสนุกๆ อย่างน้อยก็อยากจะเห็นคนพวกนี้ทุบป้ายร้านนี่ทิ้งซะ
“หัวหน้าห้า นี่เจ้ากลับเป็นฝ่ายผิด! ในเมื่อเขาเข้ามาในฐานะคนไข้ เจ้าก็ต้องดูแลพวกเขา!”
“ถูกต้องกล่าว กล่าวแบบนี้กลับไม่ยุติธรรม ไม่ว่าจะไปร้านขายโอสถที่ใด หากเกินอะไรขึ้นล้วนแต่เป็นความผิดของนักหลอมโอสถทั้งสิ้น และเจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ!”
“เจ้านี่มันบ้าไปแล้วรึไง ปล่อยให้พวกเราต่อแถวตั้งนาน พอถึงคตอนนี้ยังคิดข่มขู่ทำร้ายกันอีก?”
…
เหล่าฝูงชนและกลุ่มก่อกวนต่างตะโกนเสียงโห่ร้องดังลั่น จนหัวหน้าห้าใบหน้าสั่นเทาด้วยความโกรธจี๊ด
“เอาล่ะ แบกออกไป!”
ทันทีทันใดเสียงเย็นพลันดังออกมาจากด้านในร้าน
ทุกคนต่างตกตะลึงยิ่ง ในขณะที่ติงซ่ง หวางห่าวหลานและกลุ่มก่อกวนพลันฉีกยิ้มกว้างอย่างสุขใจขึ้นทันที
รักษาเร็วปานนี้เชียว?
ไอ้เด็กนี่มันรักษาไม่ได้มากกว่า! “ฮ่าๆๆๆ พี่น้องทุกคนชวนข้ากระทืบป้ายร้านมันที! กระทืบให้หนัก!! ฝีมืออ่อนหัดเช่นนี้ ยังกล้าเขียนว่ารับจ้างสารพัด?”
เฉินเปาระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นในทันใดพร้อมตะโกนเชิญชวนทุกคนโดยไว
“เจ้ากล้า?!”
แต่ทันทีทันใดกลับมีโฉมสะคราญร่างงามพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินเปา
“สาวน้อย เจ้าเป็นใครกัน? เบื่อหน่ายกับชีวิตปานนั้นเชียว?”
เฉินเปาจ้องหนิงซื่ออวี๋เขม็งด้วยสายตาสุดดุร้าย
แต่หนิงซื่ออวี๋กลับยืนนิ่งหาได้เกรงกลัวไม่ พร้อมยิ้มกล่าวแสนหยามเหยียดว่า
“แหกตาสุนัขเจ้าดูเถอะ อีกฝ่ายฟื้นตัวขึ้นแล้ว ดังนั้นยังมีสิทธิ์อันใดทุบป้ายร้านของเรา?”
ทุกคนโดยรอบต่างค้างแข็งในทันใด เฉินเปาหัวเราะเยาะลั่นกล่าวว่า
“ฮ่าๆๆ ฟื้นตัวแล้ว? ไหน? ก็เห็นอยู่ว่าเขากำลังนอน…นอน…เจ้า! เจ้าฟื้นแล้ว!?”
ขณะที่เฉินเปาระเบิดหัวเราะเยาะไม่หยุดหย่อน ชายวัยกลางคนที่นอนอยู่บนเปลหามค่อยๆลืมตาขึ้นและลุกขึ้น
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นต่างโพล่งตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงยิ่ง
ผิวพรรณสีขี้ผึ้งทั่วร่างยามนี้หายไปแล้ว ใบหน้าของเขายังดูซีดเซียวก็จริง แต่ดูเหมือนว่าจะพ้นขีดอันตรายแล้วเช่นกัน
“นี่…นี่เกิดอะไรขึ้น?”
“สวรรค์! น่าทึ่งเกินไปแล้ว! ในเวลาไม่กี่อึดใจที่เราคุยกัน เด็กนั้นกลับรักษาเขาได้จริงๆ?”
“ท่านปรมาจารย์ผู้นี้มิได้คุยโม้! เขามีความสามารถจริงๆ!”
…
ทั่วทั้งใบหน้าของทุกคนประดับค้างความตื่นตะลึงมิคลายอ่อน จนมิอาจปกปิดได้เลย
เฉินเปาประหลาดใจสุดขีด เย่หยวนกลับคืนชีวิตให้แก่อีกฝ่ายได้เร็วปานนี้?
นี่มัน…ประหลาดเกินไปแล้ว!
อาการเจ็บป่วยนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้ไม่ว่าใคร เขาที่พยายามเดินเตร่ขอความช่วยเหลือไปทั่วเขตเมืองทางตอนใต้ แต่สุดท้ายจำต้องผิดหวัง ทว่าเมื่อมาที่นี่ ยังสนทนากันไม่กี่ประโยค อีกฝ่ายก็หายขาดเสียแล้ว?
…………………………………