Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1613 นี่หรือคืออัจฉริยะ
ตอนที่ 1613 นี่หรือคืออัจฉริยะ
เย่หยวนค่อย ๆ เปิดเตาหลอมออกอย่างใจเย็น เมื่อเขานำโอสถออกมา แน่นอนว่ากู่ฮั่นที่ได้เห็นต้องอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ข-ขั้นเทวะ! เป็นไปได้ยังไงกัน!” กู่ฮั่นพูดออกมาอย่างตื่นตระหนก
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กันเล่า?” เย่หยวนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม
กู่ฮั่นจึงยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่โอสถของเย่หยวน “เจ้าเป็นแค่จอมเทพโอสถสามดาว จะมีปัญญาหลอมโอสถดวงใจเมฆาอมตะขั้นเทวะได้อย่างไร?”
เย่หยวนจึงกล่าวขึ้น “นี่มันแค่โอสถระดับสาม ทำไมจอมเทพโอสถสามดาวจะหลอมขั้นเทวะไม่ได้? ที่เจ้าทำไม่ได้มันก็แค่เพราะว่าเจ้าไม่มีปัญญาก็เท่านั้น”
กู่ฮั่นถึงกับอ้าปากค้างตอบอะไรกลับไปไม่ถูก สีหน้าของเขาเปลี่ยนสีราวกับหนวดหมึกก่อนที่จะกัดฟันพูดออกมา “ข้าไม่ยอมรับ! ม-มาแข่งกันอีกครั้ง!”
เย่หยวนยักไหล่เป็นคำตอบออกไป “ย่อมได้ คราวนี้ตาเจ้าเลือกโอสถบ้าง”
กู่ฮั่นกัดฟันกรอดและพูดขึ้น “ข้าอยากแข่งหลอมโอสถจันทราลับควบฉีกับเจ้า!”
โอสถจันทราลับควบฉีนั้นคือโอสถที่กู่ฮั่นสามารถใช้ความสามารถที่มีในตอนนี้ออกมาได้ทั้งหมด
หากให้แบ่งตามความยาก มันคงอยู่ในขั้นสุดของระดับ 6
ด้วยความสามารถในปัจจุบันของกู่ฮั่น การหลอมโอสถนี้ให้ได้ถึงขั้นต่ำนั้นมันต้องใช้ความลำบากยากเข็ญอย่างถึงที่สุด
แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่ามันจะเหนื่อยยากแค่ไหน
เมื่อเทียบกับอัจฉริยะคนอื่น ๆ อายุของกู่ฮั่นนั้นเรียกว่าได้น้อยมาก ๆ จนทุกวันนี้เขายังมีอายุแค่ 500 – 600 ปีเท่านั้น
แต่วันนี้เขากลับแพ้ให้คนระดับเดียวกับที่มีอายุเพียงไม่ถึง 300 ปี เขาจะทนทานความอัปยศนี้ต่อไปได้อย่างไร
เย่หยวนยิ้มออกมา “ก็นึกว่าจะเลือกระดับความยาก 7 เสียอีก ไม่อยากจะเชื่อว่าลีลาไปมาสุดท้ายก็มาลงเอยที่ความยากระดับ 6 อยู่ดี ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องหลอมหรอก นั่งดูข้าหลอมไป เมื่อข้าหลอมเสร็จแล้วเจ้าค่อยประเมินว่าตัวเองจะหลอมได้ดีกว่าข้าไหม ถึงตอนนั้นแล้วค่อยลงมือหลอมมันก็ยังไม่สายไปใช่ไหมล่ะ?”
กู่ฮั่นโกรธจนควันออกหู!
เพราะตั้งแต่เขาไต่เต้าขึ้นมาในเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์นั้นไม่เคยมีใครเลยที่กล้าดูถูกเหยียดหยามเขามากขนาดนี้
ความหมายในคำพูดของเย่หยวนคือ การหลอมของกู่ฮั่นมันช้าและเสียเวลามากเกินไป!
นั่นทำให้กู่ฮั่นต้องรู้สึกอับอายอย่างไม่มีที่จะระบายออกมา
หลายวันมานี้เขาได้เที่ยวจัดการยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปจนหมดสิ้น
แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นทีของเขาบ้าง
และก่อนที่กู่ฮั่นจะได้ตอบอะไรเย่หยวนก็เริ่มลงมือทำการหลอมโอสถไปแล้ว
ยิ่งกู่ฮั่นได้มองดูมันมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้น เพราะตอนนี้เขาได้แต่ตะลึงทึ่งกับทักษะการหลอมของเย่หยวนจนกระพริบตาไม่ลง
จอมเทพโอสถสามดาวทำได้ถึงขนาดนี้เลย?
การหลอมโอสถที่แสนน่าเบื่อกลับกลายเป็นศิลปะอันสวยงามในมือของเย่หยวน ทำให้ผู้ได้พบเห็นต้องเกิดความรื่นเริงขึ้นมาในใจ
โลกนี้มันมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ?
ตอนนี้กู่ฮั่นได้เข้าใจแล้วว่าตัวเขาไม่ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกับเย่หยวนเลยแม้แต่น้อย
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเย่หยวนก็ได้หลอมควบโอสถจนเป็นเม็ดแล้ว ความเร็วนี้มันทำให้กู่ฮั่นแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
โอสถความยากระดับ 6 ขั้นสุด แต่ชายคนนี้กลับใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น?
เจ้าหมอนี่มันทำได้ยังไงกัน?
เย่หยวนไม่รอช้ารีบเปิดหม้อหลอมออกในทันที
เมื่อกู่ฮั่นได้เห็นโอสถจันทราลับควบฉีขั้นเทวะ ลูกตาของเขาก็แทบจะพุ่งถลนออกมาจากเบ้า
“ว่ายังไง? หากเจ้าสามารถหลอมโอสถจันทราลับควบฉีขั้นเทวะโมฆะได้ข้าจะยอมแพ้ให้” เย่หยวนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกู่ฮั่นได้ยินแบบนั้นเขาก็ได้แต่ต้องอ้าปากค้างอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
ขั้นเทวะโมฆะ?
เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม?
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายท่านกู่ฮั่น เมื่อกี้ยังดูอวดเก่งอยู่เลยนี่นา? ทำไมไม่ทำตัวอวดเก่งต่อแล้วล่ะ!”
“นายท่านกู่ฮั่น ไหนนายท่านบอกว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เราไม่มีใครสู้ท่านได้ไง?”
“นายท่านกู่ฮั่น ตอนนี้ท่านแพ้ลงแล้ว ทางเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์ยังจะส่งใครมาอีกไหม?”
“นี่ เจ้าแพ้แล้ว รีบ ๆ ก้มหัวให้ผู้อาวุโสเย่ของเราเสียที!”
“นี่หรือคืออัจฉริยะ?! ในรุ่นเดียวกันไม่มีใครต้านทาน?! เมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเย่เราเจ้ามันก็เป็นได้แค่ขยะชิ้นหนึ่ง!”
…
เหล่าคนทั้งหลายที่มามุงดูในที่สุดตอนนี้ก็ทนไม่ไหวเริ่มตะโกนขึ้นมาในที่สุด
พวกเขาเรียก ‘นายท่านกู่ฮั่น’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างประชดประชันจนถึงที่สุด
เพราะความคับแค้นใจที่สั่งสมมานับเดือน ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็ได้ปลดปล่อยออกมา!
เดิมทีการปะทะท้าดวลกันของเด็กรุ่นใหม่นั้นมันมิใช่อะไรที่น่าสนใจมากมายเลย
แต่กู่ฮั่นคนนี้กลับโอหังอวดดดี ใครที่แพ้แก่เขาต้องก้มหัวคารวะเขาถึงสามครั้งพร้อมเรียกเขาว่านายท่านกู่ฮั่น
การที่เขาทำตัวแบบนี้ แน่นอนว่าคนในเมืองเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ต่างไม่พอใจ
และวันนี้ก็เป็นวันที่พวกเขาทั้งหลายจะได้เล่นงานกู่ฮั่นกลับให้สมใจอยากเสียที พวกเขาจึงอดทนอดกลั้นได้ไม่นานนัก
เย่หยวนหันมามองกู่ฮั่นและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเงียบไปล่ะ? หรือว่าเจ้ายังไม่คิดยอมแพ้? อัจฉริยะแห่งเมืองจักรพรรดิธารนิรันดร์นี่มันมีแค่ชื่อเรอะ!”
กู่ฮั่นนั้นกำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนไม่ทันได้สนใจตัวตนของเย่หยวนที่เป็นผู้อาวุโส
แต่ที่นี่ไม่ได้มีแค่กู่ฮั่นอยู่ พวกศิษย์พี่ของเขาทั้งหลายเองก็กำลังมองดูการแข่งขันนี้อยู่ด้วย
และตอนนี้ชายหนุ่มถือดาบยาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มคนอย่างเชื่องช้า เขามองดูเย่หยวนอย่างเกลียดชังก่อนจะพูดขึ้น “น้องชาย ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมพวกเขาทั้งหลายนั้นถึงเรียกเจ้าว่าผู้อาวุโสเย่?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “การที่พวกเขาเรียกข้าว่าผู้อาวุโส มันก็หมายความว่าข้าคือผู้อาวุโสแห่งหอโอสถแน่นอนอยู่แล้วสิ”
สีหน้าของชายหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนไปทันทีด้วยความตื่นตกใจ
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้เย่หยวนคงไม่สามารถที่จะกลบเกลื่อนมันได้อีกต่อไป
งั้นมันก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งหอโอสถ?
บ้าบอจนเกินจะรับไหว
หลังจากนิ่งไปพักใหญ่ชายถือดาบก็ก้มหัวลงทำความเคารพเย่หยวนในทันที “ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสของหอโอสถ การเข้ามาจัดการศิษย์น้องของข้าแบบนี้มันจะไม่นับว่าเป็นการกลั่นแกล้งผู้น้อยมากเกินไปหน่อยรึท่าน?”
เย่หยวนมองดูที่ใบหน้าของอีกฝ่ายพร้อมตอบกลับไป “หากศิษย์น้องของเจ้าเก่งกาจได้เท่าข้า เขาเองก็สามารถขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสได้เช่นกัน จุดสำคัญมันมิใช่สถานะของข้าแต่เป็นฝีมือของข้าต่างหาก! ไม่ใช่ว่าตัวศิษย์น้องของเจ้าบอกเองว่าอยากท้าทายยอดอัจฉริยะของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์รึ? แม้เย่คนนี้จะไร้ฝีมือแต่หากนับกันตามอายุร่างกายที่ข้าได้เกิดขึ้นมาดูโลกแล้ว ข้าก็คงนับได้ว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับศิษย์น้องของเจ้า แถมพลังบ่มเพาะของเรายังใกล้เคียงกัน มีอะไรตรงไหนที่เป็นการกลั่นแกล้งผู้น้อยกัน?”
คำพูดของเย่หยวนทำให้ทั้งสองคนต้องแทบสำลัก
เพราะเย่หยวนนั้นใช้ความสามารถฝีมือของตัวเองล้วน ๆ ในการไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้อาวุโส
ในความเป็นจริงเย่หยวนั้นมีอายุไม่แตกต่างจากพวกเขามากนัก และอาจจะหนุ่มกว่าเสียด้วยซ้ำ
การที่คนอย่างเย่หยวนเดินหน้าเข้ามารับคำท้าทายนี้ มันคงไม่มีใครที่จะกล่าวโทษเขาได้
ฝ่ายชายหนุ่มถือดาบยาวจึงพูดขึ้นต่อ “ไม่ว่าจะยังไงผู้อาวุโสเย่ก็มีสถานะสูงส่ง มันไม่เหมาะไม่ควรเลยที่ท่านจะมาร่วมในการประลองของเด็ก ๆ แบบนี้”
เย่หยวนจึงมองเหยียดกลับไปหลังได้ยินเช่นนั้น “ความหมายของเจ้าคือ มีแต่พวกตัวเองที่ชนะได้ ฝั่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ห้ามชนะ?”
ใบหน้าของชายหนุ่มถือดาบยาวเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอายในทันที ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าผู้อาวุโสเย่นั้นไม่ใช่คนที่จะจัดการลงได้ง่าย ๆ ด้วยคำพูด
แต่ว่ากู่ฮั่นนั้นเป็นคนที่ทั้งหนุ่มและหยิ่งยโส คำของเย่หยวนจึงปักลงกลางใจเขาอย่างแรง
ตอนนี้อารมณ์ของกู่ฮั่นพุ่งถึงขีดสุดก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเต็มเสียง “ผู้อาวุโสเย่ใช่ไหม? ข้ายอมรับว่าท่านมีอายุรุ่นเดียวกับข้า และข้าก็ขอยอมรับด้วยว่าวิชาการโอสถของข้านั้นเทียบท่านไม่ได้! แต่ข้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้! สำหรับข้าแล้ววิชาโอสถมันก็แค่เครื่องประดับ วิชายุทธต่างหากคือสิ่งที่ข้าฝึกฝนมาอย่างจริงจัง! ผู้อาวุโสเย่ กู่ฮั่นคนนี้ขอท้าผู้อาวุโสเย่ในการยุทธ! สงสัยเหลือเกินว่าท่านจะพอรับคำท้านี้ไว้ได้ไหม?”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวออกมาคนที่มุงดูอยู่ก็เริ่มแสดงสีหน้าแปลก ๆ ขึ้น
หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาคงคิดว่าเย่หยวนไม่มีทางชนะกู่ฮั่นได้
แต่ตอนนี้เย่หยวนนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งแห่งหอยุทธ์!
สองปีก่อนเขาได้กลายเป็นคนแรกและคนเดียวที่กลับออกมาจากห้วงมิติสืบทอดได้
ด้วยความสามารถที่น่าเกรงขามปานนี้ ใครกันจะกล้าเอาตัวเองไปเทียบ?
กู่ฮั่นคนนี้ไม่ยอมแพ้จนถึงที่สุด เป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
ชายหนุ่มถือดาบยาวกล่าวเสริมขึ้น “ผู้อาวุโสเย่ ผู้เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะนั้นย่อมมีฝีมือทั้งทางยุทธและทางโอสถ! ท่านเองก็เป็นถึงผู้อาวุโสแห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ ข้าคาดว่าท่านเองก็คงมีฝีมือด้านยุทธอยู่ไม่น้อย หากท่านสามารถชนะศิษย์น้องข้าได้ในการยุทธด้วย พวกเราจะยอมรับให้ท่านเป็นผู้เหนือกว่าอย่างหมดหัวใจ!”
กู่ฮั่นเสริมขึ้น “ผู้อาวุโสเย่ หากท่านชนะข้าได้ในวิชายุทธด้วยข้าจะขอน้อมก้มกราบท่านสามครา!”
เย่หยวนหันไปมองคนทั้งสองและพูดขึ้นด้วยท่าทางละเหี่ยใจ “หากพวกเจ้าว่าเช่นนั้น ผู้อาวุโสคนนี้ก็คงต้องขอน้อมรับไว้แต่โดยดี”