Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1623 ไร้ยางอาย
ตอนที่ 1623 ไร้ยางอาย
ตี้เอิ่นถามขึ้นด้วยสีหน้าสุดสงสัย “เจ้าหมายความถึง?”
ดาราสวรรค์ตอบกลับมา “นั่นแหละ! ตอนนั้นเจ้าเด็กบรรพกาลราตรีปลอมตัวเป็นปีศาจ รูปร่างของมันดูไม่คล้ายกับเจ้าเด็กคนเมื่อกี้หรือ?”
ตี้เอิ่นหลับตาลงทันทีที่ได้ยิน ไม่นานนักเขาก็พูดขึ้นมาต่อ “หากเจ้าไม่บอกข้าก็คงจำไม่ได้ มันเป็นเจ้าเด็กนั่นจริงๆ ด้วย!”
มันไม่ใช่เพราะว่าตี้เอิ่นเป็นคนขี้ลืมหรืออะไรแบบนั้น แต่เย่หยวนตอนเป็นมนุษย์กับเย่หยวนตอนปลอมตัวเป็นปีศาจมันมีท่าทางและรูปแบบพลังแตกต่างกันมาก
บวกกับเรื่องที่เย่หยวนตัดแปลงรูปร่างตัวเองไปนิดหน่อยด้วยแล้ว มันจึงทำให้ตี้เอิ่นจำเขาไม่ได้เลย
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของดาราสวรรค์เขาก็จำได้ขึ้นมาทันที
ตี้เอิ่นตะโกนขึ้น “หยุดก่อน! กลับไปตรวจสอบดูอีกรอบ!”
ด้วยตำแหน่งของตี้เอิ่นที่มีในทัพ ทำให้คำพูดของเขามีความหมายมาก
ทำให้ผู้นำทัพอีกคน เชียนอันถามขึ้น “มีเรื่องอันใดตี้เอิ่น? เจ้าจะบอกว่าพวกมนุษย์มีปัญญารอดออกมาจากค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณได้อย่างนั้นหรือ?”
ตี้เอิ่นจึงตอบไป “หากมันเป็นแค่คนพวกนั้นก็คงไม่มีทาง! แต่ตอนนี้ในกลุ่มพวกมันมีตัวแปรที่น่ากลัวอยู่ด้วย!”
เชียนอันที่ได้ยินแบบนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสัยทันที “เจ้าหมายถึงคนที่พวกเจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้น่ะหรือ? แต่แค่อาณาจักรบรรพชนพระเจ้าจะเก่งกาจปานนั้นเชียว?”
และเป็นดาราสวรรค์ที่สวนขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ “มันทำให้เมืองจักรพรรดิกล้วยไม้อริยะและโถงโลหิตมรณะกลายเป็นแค่ของเล่นในกำมือของมัน พร้อมขโมยสมบัติออกไปก่อนที่จะหนีไปได้ด้วย เจ้าคิดว่ามันน่ากลัวไหมล่ะ?”
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าโถงบัลลังก์ม่วงมีค่าแค่ไหน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่ง
คำพูดนั้นทำให้เชียนอันพูดขึ้นมาด้วยท่าทางประหลาดใจ “เจ้าเด็กคนนี้คือคนที่ทำให้พวกเจ้าต้องสูญเสียในครั้งนั้นรึ?”
ดาราสวรรค์จึงตอบกลับไป “เจ้าเด็กเวรนั่น ต่อให้มันปลอมตัวเป็นฝุ่นข้าก็ยังจำมันได้! คราวนี้แหละที่ข้าจะไปสอนให้มันรู้จักคำว่า ‘สิ้นหวัง’”
…
“ไปไกลๆ เดี๋ยวนี้!”
ในหมอกสีแดงนั้น เกาหยุนมีดวงตาสีแดงก่ำ ตอนนี้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว
ค่ายกลนี้มันช่างทรงพลัง ทั้งๆ ที่มีจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ระดับเขา แต่เกาหยุนกลับไม่สามรถต้านทานมันไว้ได้
แม้ว่าเขาจะพยายามลืมตาตั้งสติไว้แค่ไหน สติของเขาก็ยังค่อยๆ หลุดลอยออกไปเรื่อยๆ
“ให้ตายสิ! ข้าคนนี้เอาตัวรอดมาได้ในทุกสถานการณ์ นี่ต้องมาตายลงด้วยค่ายกลโง่ๆ แบบนี้หรือ?”
เกาหยุนได้แต่ร่ำร้อง เขาอยากจะออกไปจากค่ายกลนี้เสียเหลือเกิน แต่สติของเขากลับเลือนลางไปเรื่อยๆ อย่างหยุดไม่ได้
ตู้ม!
จู่ๆ ก็เกิดเสียงเหมือนอะไรสักอย่างระเบิดดังขึ้น เป็นวินาทีนั้นเองที่เกาหยุนรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของตัวเองเริ่มสบายขึ้น และค่อยๆ กลับมาตั้งสติได้
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกันนี่? ข้าทำอะไรลงไป?”
“อ่า! ศิษย์น้อง ใครกันที่มันฆ่าเจ้า? ข้า… ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าให้จงได้!”
“นี่มัน… ผู้อาวุโสเย่ช่วยเราไว้!”
…
ไม่ไกลไปนัก ตอนนี้ที่ข้างๆ กายเย่หยวนมีฐานค่ายกลที่ถูกทำลายลงอยู่
และที่รอบๆ เองก็มีอีกหลายฐานที่ถูกทำลายลง
มันชัดเจนมากว่าผู้ที่ทำลายค่ายกลลวงคือเย่หยวนนี่เอง
“ขอบพระคุณมาก… ขอบพระคุณมากผู้อาวุโสเย่ที่ช่วยชีวิตพวกเรา!”
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสเย่ ไม่เช่นนั้นเราคงถูกสังหารหมู่ไปแล้ว!”
“ผู้อาวุโสเย่นั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ชายแก่คนนี้ขอคารวะ!”
…
ตอนนี้เหล่ายอดฝีมือที่รอดออกมาจากค่ายกลได้ต่างเข้ามาขอบคุณเย่หยวนกันเป็นการยกใหญ่
เพราะหากไม่มีเย่หยวน พวกเขาก็คงต้องตายลงโดยที่ยังไม่ได้ทันได้สู้ศัตรูเสียด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่ทุกคนยังคาใจอยู่ก็คือทำไมเย่หยวนถึงไม่โดนผลของค่ายกลไปด้วย?
เหตุผลนั้นง่ายดาย เพราะว่าค่ายกลนี้มันจะเข้าไปปั่นป่วนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่เย่หยวนนั้นมีไข่มุกสยบวิญญาณคอยป้องกันจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไว้ มีหรือที่ค่ายกลแบบนี้จะทำอะไรเขาได้?
แถมเย่หยวนยังมีเนตรสุริยันจันทราเทวะที่มองทะลุผ่านภาพมายาได้ทุกชนิด ทำให้เขาสามารถเห็นฐานของค่ายกลได้อย่างง่ายดาย
และตราบเท่าที่ฐานค่ายกลถูกทำลายลง ค่ายกลนี้เองก็จะพังลงเช่นกัน
เจิ่งชีนั้นยังรู้สึกกลัวไม่หาย ตอนนี้เขาได้มั่นใจแล้วว่าการพาเย่หยวนมาด้วยเป็นความคิดที่ถูกต้องจริงๆ
หากไม่มีเย่หยวน พวกเขาทั้งหลายคงต้องสิ้นชีพลงตรงนี้แล้ว
“ฮึ่ม! หากมันไม่ช่วยเรา ตัวมันก็คงไม่รอดจากพวกปีศาจไปได้หรอก!” เกาหยุนพูดขึ้นมา
เมื่อเจิ่งชีได้ยินแบบนั้นเขาก็สวนกลับไปด้วยอารมณ์โกรธในทันที “เจ้าแก่หงำเหงือกนี่ช่างไร้ยางอาย กล้าพูดแบบนี้ออกมาต่อหน้าผู้มีพระคุณ”
เกาหยุนสวนกลับมาทันที “แล้วข้ากล่าวผิด? ด้วยพลังฝีมืออย่างมันมีหรือที่จะต่อกรกับปีศาจจำนวนมากมายได้? พูดอย่างกับว่ามันไม่ได้อยากได้สมบัติอย่างนั้นแหละ!”
แน่นอนว่าด้วยคำพูดนี้ ความรู้สึกขอบคุณของคนรอบๆ ก็เริ่มลดน้อยลง
เพราะคนเรามันเห็นแก่ตัว แม้เรื่องที่ว่าเย่หยวนช่วยชีวิตตัวเองไว้จะเป็นความจริง แต่พอคิดได้ว่าเย่หยวนอาจจะขโมยสมบัติไปพวกเขาก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา
เกาหยุนมีสีหน้าพึงพอใจทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า
เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมันเป็นเพราะพวกเขานั้นประมาท หากต่อจากนี้ไปพวกเขาเดินทางไปอย่างระมัดระวัง พวกปีศาจเหล่านั้นมันก็ไม่มีอะไรน่ากลัว
จะให้เขาไปขอบคุณเย่หยวนเหรอ? ไม่มีทาง!
“ไร้ยางอายสิ้นดี!” เจิ่งชีสบถออกมา
เย่หยวนที่อยู่ใกล้ๆ จึงยิ้มและพูดบอกเจิ่งชีไป “ผู้อาวุโสใหญ่ อย่าได้โกรธเคืองไปเลย สุภาพบุรุษนั้นซื่อตรงเปิดเผย ส่วนผู้ร้ายนั้นมักคิดเล็กคิดน้อยถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ปล่อยเขาไปเถอะ”
เย่หยวนเข้าใจดีว่าเกาหยุนคือคนที่มีจิตใจคับแคบเป็นทุนเดิม
เมื่อจิตใจของเขามืดหม่น เขาก็จะคิดว่าทุกคนมีจิตใจชั่วช้าเหมือนตัวเอง
ไม่ว่าจะทำดีต่อคนแบบนี้ไปมากแค่ไหน พวกเขาก็จะหาเรื่องตำหนิว่าจนได้ในที่สุด
สำหรับคนแบบนี้ วิธีจัดการที่ดีที่สุดคือ อยู่ให้ห่างไว้
แต่แน่นอนว่าหากมีโอกาสเย่หยวนก็ไม่ลังเลที่จะต้อนเขาให้จนมุมเพื่อแก้แค้นให้แก่เจิ่งชี
ซุ่บ! ซุ่บ! ซุ่บ!
จู่ ๆ ก็มีเงาร่างพุ่งออกมาหาพวกเขาทั้งหลาย เงาร่างเหล่านั้นมันกำลังขวางทางไปต่อของพวกเขาไว้อย่างพอดิบพอดี ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเงาร่างเหล่านี้คือยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่กลับมาตรวจดูค่ายกล
ตี้เอิ่นพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเหยียบ “เจ้าเด็กคนนี้มันมีปัญญาจริงๆ ด้วย แม้แต่ค่ายกลเมฆาปีศาจกลืนกินวิญญาณก็ยังไม่สามารถจับตัวมันไว้ได้! โชคยังดีที่เรากลับมาทัน ไม่เช่นนั้นอนาคตคงมีแต่เรื่องแน่!”
การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ทำให้สีหน้าของยอดฝีมือฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนไปทันที ตอนนี้พวกเขาเพิ่งรอดพ้นจากค่ายกลมาได้ ยังมีสภาพไม่เต็มที่นัก แต่จู่ๆ ยอดฝีมือของเผ่าปีศาจก็ปรากฏตัวออกมาแบบนี้
ที่สำคัญ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นทัพของฝ่ายปีศาจ และนั่นทำให้พวกเขาต้องขนลุกตั้งชัน
เรียกได้ว่าเผ่าปีศาจนั้นมียอดฝีมือมากมายราวกับดวงดาว!
หากนับกันแค่จำนวน พวกมันก็มีมากมายกว่าพวกเขาหลายขุมแล้ว!
ที่สำคัญพวกเผ่าปีศาจยังมีแต่ยอดฝีมือที่มากมายกว่าเผ่ามนุษย์มากนัก
พวกมันมีอาณาจักรราชันพระเจ้าสามดาวมากมายมหาศาล
นี่เป็นทัพที่ทำให้มนุษย์ต้องรู้สึกสิ้นหวังไปเลย
ดาราสวรรค์หันหน้ามามองเย่หยวนและทักขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คงไม่คิดไม่ฝันล่ะสิเจ้าหนู? ว่าเราจะได้มาเจอกันอีกในที่แบบนี้!”
แต่จริงๆ เย่หยวนเห็นพวกดาราสวรรค์มาก่อนแล้วด้วยเนตรสุริยันจันทราเทวะ การพบพานในครั้งนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายสำหรับเขาเลย
เย่หยวนยิ้มน้อยๆ ออกมาก่อนจะตอบกลับไป “ดูสารรูปเจ้าสิ ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง!”
คำพูดและรอยยิ้มนั้นทำให้ดาราสวรรค์ระเบิดอารมณ์ออกมา “เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ? สมบัติที่เจ้าขโมยไป เฒ่าคนนี้จะนำมันกลับคืนมาเอง! พร้อมด้วยหม้อหลอมมณีเหลืองพิสุทธิ์และชีวิตของเจ้าด้วย เฒ่าคนนี้จะรับมันไปทั้งหมดเลย!”
ตี้เอิ่นพูดเสริมขึ้นมา “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครกล้าหาเรื่องกับโถงโลหิตมรณะเรามาก่อน เด็กน้อยบรรพกาลราตรีเจ้ามันช่างกล้าเสียจริงๆ”
เย่หยวนจึงสวนกลับไปอย่างไม่แยแส “หากเจ้าทำได้ก็ลองทำ เชิญเข้ามาเอาไปได้เลย!”
ดาราสวรรค์จึงตะโกนขึ้นสั่ง “สังหารพวกมัน! อย่าให้มีใครเหลือรอด!”
แต่ก่อนที่เหล่ายอดฝีมือของฝั่งปีศาจจะได้เคลื่อนไหว เกาหยุนก็ตะโกนขึ้นมาขัดพวกเขาก่อน “ช้าก่อน!”
ดาราสวรรค์หรี่ตามองและถามขึ้น “มีอะไรจะสั่งเสียก็บอกมา!”
ได้ยินแบบนั้นสีหน้าของเกาหยุนจึงกระด้างขึ้นมา แต่เขาก็พยายามกดความโกรธของตัวเองและกล่าวออกไป “พวกเจ้าล้วนมีเรื่องราวกับเจ้าเด็กเหลือขอนี่ ชายแก่คนนี้เองก็เช่นกัน! ตอนนี้ทุกผู้คนมาที่นี่เพื่อสมบัติที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้น เส้นทางข้างหน้ายังไม่แน่นอน ตอนนี้พวกเราทั้งหลายควรจะร่วมมือกันก่อนมากกว่า เราจะมอบเด็กเวรคนนี้ให้ จากนั้นเราค่อยไปตามหาสมบัติด้วยกัน แล้วใครจะได้มันไปก็เป็นเรื่องของความสามารถที่มีแล้ว เจ้าว่ายังไงล่ะ?”
ใบหน้าของเจิ่งชีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขาตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง “เกาหยุน! เจ้าคิดจะทำสัญญากับพวกมันและขายเพื่อนพ้องของตัวเองจริงๆ เรอะ!”